xs
xsm
sm
md
lg

อำนาจประชาชน จักประกาศชัย !

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

สิ่งที่กำลังเป็นไปในขณะนี้ เราต้องทำความกระจ่าง และเข้าร่วมปฏิบัติการในทันที !

4-5 วันแห่งการรอคอย มิใช่คำตอบ เพราะคำตอบของประชาชนคือ “วันนี้” !


ศึกยกสุดท้ายของ “สงครามมวลชน”


ตามทฤษฎี “สงครามมวลชน” ที่ผู้เขียนนำเสนอ หมายถึงการขับเคี่ยวกันของสองอำนาจที่จะกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศไทย ซึ่งก็คือระหว่าง “อำนาจทักษิณ” กับ “อำนาจประชาชน”

ในห้วงเจ็ดปีกว่าที่ผ่านมา ขบวนการการเมืองภาคประชาชน นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้สร้างอำนาจประชาชนขึ้นมาระดับหนึ่ง ยืนหยัดซัดสู้กับอำนาจทักษิณมาเป็นลำดับ เปิดทางให้แก่การเกิดขึ้นของอำนาจประชาชนเต็มรูปแบบ ดังที่ได้ปรากฏเป็นจริงแล้วในวันนี้

ณ วันนี้ “อำนาจประชาชน” ได้ปรากฏเป็นจริงแล้ว เมื่อมวลมหาชนทุกภาคส่วน ทุกสาขาอาชีพ ทุกเพศวัย ทุกแห่งหน ก็ว่าได้ พากันเคลื่อนไหวชุมนุมต่อต้านการออกกฎหมายล้างผิด(พ.ร.บ.นิรโทษกรรม)ของกลุ่มอำนาจทักษิณ และเดินหน้าขับไลรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยต่อไป

ถึง ชั่วโมงนี้ ผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ชัยชนะจักเป็นของประชาชน !

“อำนาจประชาชน” จักบดขยี้ “อำนาจทักษิณ” ลงไปได้อย่างราบคาบ ระบบอำนาจที่ตั้งอยู่บนฐานของอำนาจประชาชนจักได้รับการสถาปนาขึ้นแทนที่ระบบอำนาจที่ตั้งอยู่บนฐานอำนาจทักษิณ โดยอำนาจกลุ่มอื่นๆจักต้องหันมาเข้าร่วม ผสมผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับอำนาจประชาชน

สรุปคือ อำนาจประชาชน จะเป็น “อำนาจแกน” สามัคคีอำนาจกลุ่มต่างๆในสังคมไทย ขับเคลื่อนประเทศไทยไปในทิศทางที่ถูกต้อง บรรลุสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์และยาวไกล !

อีกนัยหนึ่ง การก่อตัวขึ้นของ “อำนาจประชาชน” อย่างเป็นจริงเช่นที่กำลังเป็นอยู่นี้ นับเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่จะพลิกหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยครั้งใหญ่ ส่งผลกระทบยาวไกลที่เกินกว่าใครๆจะคาดคิด

เหตุผลคือ การรวมตัวของมวลชนเรือนแสนเรือนล้านครั้งนี้ เกิดขึ้นบนฐานของความ “ตื่นรู้” ในเหตุแห่งปัญหาวิกฤติต่างๆนานาที่ดำรงอยู่ในประเทศไทยว่า “ปฐมเหตุ”อยู่ตรงที่นักการเมืองในระบบรัฐสภา หรือหากจะพูดเจาะจงไปเลยก็คือ ระบบรัฐสภาที่ปัจจุบันได้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มทุนสามานย์ โดยเฉพาะคือกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ดำเนินนโยบายปล้นชาติปล้นประชาชน เป็น “ปฐมเหตุ” แห่งความทุกข์ยากแสนสาหัสของคนไทยโดยรวม

ความตื่นรู้นี้ สั่งสมกันมาอย่างยาวนาน เริ่มตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดำเนินระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งไม่เป็นผลตามความคาดหวังของประชาชน ระหว่างนั้น ได้เกิดวิกฤติทางการเมืองที่สะท้อนความเรียกร้องต้องการเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติระบบการเมือง ให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนเป็นระยะๆ เช่นการประท้วงการเลือกตั้งในปี 2500 การเรียกร้องประชาธิปไตยในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ การต่อสู้กับอำนาจทหารในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และการชุมนุมต่อต้านกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณจนกระทั่งนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549 การชุมนุมขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดสมัคร-สมชายอย่างยื้อเยื้อ 193 วันในปี 2551 และการชุมนุมกดดันให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ปกป้องดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร 158 วันในปี 2554 จนกระทั่งการชุมนุมใหญ่คัดค้านการออกกฎหมายล้างผิด(พ.ร.บ.นิรโทษกรรม)ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยพรรคเพื่อไทยเป็นหัวหอก ตามเจตจำนงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการล้างผิดตนเอง แล้วเดินทางกลับประเทศไทย กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทย โดยถือเอาผลประโยชน์ตนและครอบครัวเป็นที่ตั้ง

การสั่งสมของความ “ตื่นรู้” ที่เป็นนามธรรมอันยาวนานนี้ เมื่อมีการจุดชะนวน(โดยการเร่งเกมของทักษิณจนพลังเงียบทนไม่ไหว) ก็ได้เกิดการระเบิดใหญ่ (Big Bang) เป็น “ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย” อย่างเป็นรูปธรรม อันเป็นกระบวนการแปรเปลี่ยนอย่างยิ่งใหญ่ จากความคิดทฤษฎีของแกนนำสู่การปฏิบัติของมวลมหาชนเรือนแสนเรือนล้าน

ในทัศนะของผู้เขียน บัดนี้ “อำนาจประชาชน” ที่เป็นจริงนี้ ได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็น “อำนาจกำหนด” หรือด้านหลักของคู่ขัดแย้งหลักในสังคมไทยอย่างเป็นจริงแล้ว นี่คือ “อำนาจใหม่” ที่จะกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนของสังคมไทยได้อย่างเป็นจริง

ประเทศไทยนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะมี “อำนาจประชาชน” นำการเปลี่ยนแปลงในทุกๆด้าน ประวัติศาสตร์ไทยยุคใหม่จะถูกจดจารึกด้วยน้ำมือของประชาชนอย่างแท้จริง

นี่คือ กระบวนการ “ธรรมจัดสรร” โดยการปฏิบัติของคนไทยตื่นรู้ !

มันเป็นสิ่งที่ต้องเกิด ต้องเป็นไป ตาม “กฎ”ภววิสัย และเกิดได้ด้วยน้ำมือของคนไทยตื่นรู้ !

เป็นปรากฏการณ์ที่ “100 ปีไม่เคยมี อีก 100 ปีก็ไม่น่าจะมี”


การลุกฮือและรวมตัวกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชน” นับหมื่นนับแสนที่กรุงเทพฯ และอีกมากมายในต่างจังหวัด ต่อต้านการออกกฎหมายล้างผิด “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ที่กลุ่ม “ส.ส.” พรรคเพื่อไทยร่วมกันยกมือผ่านวาระ 2 – 3 รวดเดียวในเช้ามืดของวันที่ 1 พ.ย.56 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปรากฏการณ์สำคัญทางการเมืองที่นำโดยภาคประชาชน ที่มีแนวโน้มนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย อันเป็นกระบวนการของการ “ทำความจริงให้ปรากฏ”

“ความจริง” ก็คือ ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน “การทำความจริงให้ปรากฏ” ก็คือ ประชาชนแสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปตามเจตนารมณ์ของตนเอง

นี่คือจุดเริ่มต้นของประเทศไทยยุคใหม่ เพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ประชาชนสามารถแสดงบทบาทเป็น “ผู้กำหนด” การขับเคลื่อนของประเทศไทย ให้บรรลุสู่เป้าหมายที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้งได้อย่างเป็นจริง

ซึ่งผู้เขียนถือว่า ปรากฏการณ์ที่ “อำนาจประชาชน” ได้ผงาดขึ้นเป็น “อำนาจกำหนด” ครั้งนี้ นับเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย และการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็น่าจะไม่เกิดขึ้นอีกในรอบ 100 ปีข้างหน้า

ก้าวข้ามบันได 3 ขั้น ปฏิรูปประเทศไทยได้ในทันที

เพื่อให้กระบวนการดังกล่าวดำเนินไปได้โดยตลอด การลุกฮือคัดต้านการออกกฎหมายล้างผิด จึงเป็น “บันไดขั้นแรก” ที่ “ทุกฝ่าย” พร้อมใจกันก้าวขึ้นมา ต่อจากนั้น ด้วยความเป็นเอกภาพทางความคิดที่บังเกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุม มวลชนจำนวนมากก็จะพร้อมใจกันก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นที่สอง นั่นคือ ร่วมกันขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ล้มอำนาจทักษิณ จากนั้นก็ก้าวขึ้นบันไดขั้นที่สาม ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ทางการเมือง ดำเนินการปฏิรูปประเทศไทย

โดยสาระก็คือ เลิกระบบรัฐสภา สถาปนาระบบสภาประชาชน ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ในทางปฏิบัติก็คือ เปิดประชุมใหญ่สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย โดยตัวแทนจากกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชนที่เป็นแกนนำการเคลื่อนไหวต่อสู้โค่นล้มระบอบทักษิณ และบุคคลรับเชิญอีกจำนวนหนึ่ง ร่วมกันคัดสรรคณะบุคคลที่เหมาะสมจัดตั้งรัฐบาลประชาชนเฉพาะกิจดำเนินการบริหารประเทศ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ขณะเดียวกันก็เตรียมการก่อตั้งสภาภูมิปัญญาประชาชน และการเลือกตั้งผู้แทนประชาชนที่จะมานั่งในสภาผู้แทนประชาชน

ทั้งสามสภาประชาชนนี้ จะรวมกันเข้าเป็น “สภาประชาชนแห่งชาติ” ทำหน้าที่ทางด้านนิติบัญญัติ ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาประเทศไทยไปในทิศทางแห่ง “นิติรัฐ” และ “นิติธรรม” ด้วยอำนาจกำหนดของประชาชนอย่างแท้จริง

สองคำถามที่จะต้องตอบ ในหมู่มวลชน

คำถามแรก
“ชุมนุมคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” แล้ว ยัง งัย ?

ถึงวันนี้ (7 พ.ย.56) กลุ่มผู้ชุมนุมที่แยกอุรุพงษ์ ที่ประกอบด้วยเครือข่ายภาคประชาชน 77 จังหวัดและกลุ่มองค์กรรัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษาสำคัญๆ เป็นต้น ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า จะดำเนินการต่อสู้ไปจนถึงการปฏิรูปประเทศไทย ส่วนผู้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ เพียงตั้งเป้าไว้ที่การต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเท่านั้น ซึ่งคาดว่า กลุ่มผู้ชุมนุมอื่นๆทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จะแสดงจุดยืนขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โค่นล้มระบอบทักษิณมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดจะสามารถกดดันให้แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ “ยกระดับ” การชุมนุมสู่การขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โค่นล้มระบอบทักษิณตามหลังกลุ่มอื่นๆ “ทันที” โดยไม่ต้องรอไปอีก 4-5 วัน

นั่นหมายถึงว่า “กองทัพมวลชน” ที่ประกอบด้วยองค์กรนำสำคัญ เช่นเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปค.) กองทัพธรรมฯ และเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัด เป็นต้น ก็จะเป็นผู้ชูธงนำการเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย

คำถามข้อที่สอง เราจะมีวิธีการป้องกันหรือหลีกเลี่ยง “สงครามกลางเมือง” ได้อย่างไร ? ในกรณีที่ “กองทัพมวลชน” ที่ยึดหลักต่อสู้อย่างสันติ ไม่ใช้ความรุนแรง ต้องเผชิญกับการปราบปรามด้วยอาวุธจากฝ่ายรัฐบาล หรืออาจจะมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของมวลชน

แน่ละ หลักๆมวลชนที่ได้รับการจัดตั้งอย่างดีแล้ว จะไม่ตอบโต้ด้วยอาวุธ แต่มวลชนที่โกรธแค้นถึงขั้น “บ้าคลั่ง” ย่อมทำการตอบโต้แบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” อย่างแน่นอน อาจมีเหตุนองเลือด และบานปลายไปเป็นสงครามกลางเมือง

หรืออาจมีการ “สร้างฉาก” ให้กองกำลังติดอาวุธ ทั้งที่ประจำการและไม่ประจำการ ปะทะกันขึ้น เกิดบรรยากาศ “สงคราม” ขึ้นในประเทศไทย

เมื่อนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยคำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะใช้เป็นข้ออ้างนำกำลังทหารเข้าสลายมวลชน เพื่อควบคุมสถานการณ์ และเปิดทางให้แก่การ “Set zero” ประเทศไทย ซึ่งจะ “เข้าทาง” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณปูไว้ให้พอดี

แต่ผู้เขียนไม่มองเช่นนั้น ความเป็นจริงที่ประเทศไทยจะดำเนินไป ณ วันนี้ เมื่อมวลมหาชนได้ลุกฮือ รวมตัว จัดตั้ง กันขึ้นมาแล้วอย่างกว้างขวาง เกิดเป็น “อำนาจประชาชน” ที่เป็น “อำนาจกำหนด” อย่างเป็นจริงแล้วนี้ “อำนาจทักษิณ” จะต้องถึงกาลอวสาน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวเร่งให้ “ทุกฝ่าย” ที่ต่อต้านอำนาจทักษิณ ตัดสินใจเข้าร่วมกับขบวนการประชาชน เกิดเป็น “กำปั้นยักษ์” ไล่ทุบอำนาจทักษิณให้พังพินาศย่อยยับไปในบัดดล

อีกทั้ง ผู้เขียนเชื่อว่า กลไกอำนาจรัฐส่วนหนึ่ง ทั้งตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ย่อมตัดสินใจเข้าร่วมกับขบวนการประชาชนฯ ดำเนินการสะกัดกั้น และยับยั้งการใช้กำลังอาวุธปราบปรามประชาชนอย่างแน่นอน

แต่ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ ผู้นำการชุมนุมทุกจุดทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด “จับมือ”กัน ร่วมกันต่อสู้กับอำนาจทักษิณให้เบ็ดเสร็จไปเลย เมื่อนั้น “อำนาจประชาชน” ที่ยิ่งใหญ่ ดุจ “กำปั้นยักษ์” ก็จะสยบขวัญของกลุ่มอำนาจทักษิณลงไปได้ ควบคู่ไปด้วยกันนั้น เราก็ “เปิดทาง” ให้บรรดาลูกสมุนและสาวกทั้งหลาย หาทางเอาตัวรอด หนีให้พ้นไปจากวงจรอำนาจทักษิณ กระทั่งมาเข้าร่วมกันขบวนการประชาชนฯ เปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย ซึ่งถ้าทำได้เช่นนี้ คนไทยก็จะสามารถก้าวข้าม “กับดัก”สงครามกลางเมืองไปได้ อย่างไม่ยากนัก

เกี่ยวกับการแยกสลายกลุ่มอำนาจทักษิณ เราสามารถกำหนดเป็น “แนวนโยบาย” กว้างๆได้ว่า ต่อมวลเสื้อแดง เร่งให้การศึกษา ช่วงชิง ส่วนกลไกอำนาจรัฐบางส่วนที่ภักดีต่ออำนาจทักษิณ ก็เร่งข่มขวัญด้วย “กำปั้นยักษ์” คาดโทษพวกดื้อรั้น (รวมทั้งแกนนำพรรคเพื่อไทย) ทั้งหมดนั้น เพื่อนำไปสู่การ “โดดเดี่ยว” พ.ต.ท.ทักษิณ กับครอบครัว

วิถีแห่ง “อำนาจประชาชน”


อำนาจประชาชนประกาศชัย ระบบสภาประชาชนถือกำเนิด กระบวนการสร้างเสริมอำนาจประชาชนในฐานะ “อำนาจแกน” ของสังคมไทยให้ยิ่งใหญ่สถาพร จึงเป็น “การบ้าน” ที่ผู้รู้ผู้ตื่นจักต้องคิดหาคำตอบ ตั้งแต่บัดนี้ และตลอดไป

สำหรับผู้เขียน ขอใช้แง่มุมทางปรัชญา นำเสนอแนวคิดเสริมสร้างอำนาจประชาชนให้เข้มแข็ง และก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ ในการนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์ คนไทยเปี่ยมสุขถ้วนหน้า

นั่นคือ ช่องทางที่จะนำไปสู่ความเป็นเอกภาพทั้งทางด้านความคิด การเมือง การปฏิบัติจัดตั้งของ “อำนาจประชาชน” ซึ่งก็คือขบวนการประชาชน “เปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติ”ประเทศไทย ที่ประกอบไปด้วยกลุ่มองค์กรมวลชนนับร้อยนับพัน รวมถึงกลุ่มการเมืองที่พร้อมปรับตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการประชาชนฯ ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าการ “เข้าถึงความจริง” และ “ทำความจริงให้ปรากฏ” ในทุกขั้นตอนของการขับเคลื่อนสังคมไทย

“ความจริง” ที่ว่าก็คือ “กฎ”การพัฒนาของสังคมไทยและสังคมโลก ที่ขับเคลื่อนด้วย “อำนาจกำหนด” ที่แน่นอน อันเป็น”ด้านหลัก” หรือด้านที่เข้มแข็งกว่าของคู่ขัดแย้งหลักในสังคมไทยและสังคมโลก

ในอดีตสองร้อยปีจนถึงปัจจุบัน “กลุ่มทุน” เป็น “อำนาจกำหนด” ของสังคมโลก แต่ในบางประเทศ ได้เกิดปรากฏการณ์ที่ “อำนาจประชาชน” โดยพรรคการเมืองของประชาชน แสดงบทบาทเป็น “อำนาจกำหนด” ได้เป็นเบื้องต้นแล้ว

ประเทศไทยวันนี้ เมื่อขบวนการประชาชนฯแสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” เปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย ก็ย่อมหมายถึงว่า “อำนาจประชาชน” กำลังพลิกตัวเองสู่ความเป็น “ด้านหลัก” ของความขัดแย้งหลัก (ระหว่างอำนาจทักษิณกับอำนาจประชาชน) จากการต่อสู้เอาชนะอำนาจทักษิณ

นี่คือความหมายอันยิ่งใหญ่ของการต่อสู้ครั้งนี้

ด้วยเหตุนี้ เมื่อ “ทุกฝ่าย” ในขบวนการประชาชนฯ เข้าถึง “ความจริง” แล้ว ก็ย่อมจะตระหนักในความสำคัญอย่างยิ่งยวดของการทำให้ความจริงปรากฏเป็นจริง นั่นก็คือ ต่อสู้เอาชนะอำนาจทักษิณ สถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่อำนาจทักษิณ พลิกฐานะมาเป็น “ด้านหลัก” หรือ “อำนาจกำหนด” ของสังคมไทยยุคใหม่

ขอให้ทุกท่านมุ่งมั่นไปในทิศทางดังกล่าว “เข้าถึงความจริง” และ “ทำความจริงให้ปรากฏ” เมื่อนั้น ขบวนการประชาชน “เปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติ”ประเทศไทยก็จะใหญ่โตเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญคือ จะไม่มีวัน “หลงทิศผิดทาง” หรือ ตกอยู่ในการครอบงำของบุคคลหนึ่งใด หรือกลุ่มองค์กรหนึ่งใด

ขอให้ทุกท่านในขบวนการประชาชนฯนี้ ไม่ว่าจะเป็นแกนนำระดับไหน หรือมวลชนทั่วไป จงถือเอาการ “เข้าถึงความจริง” และ “ทำความจริงให้ปรากฏ” เป็นหลักประพฤติปฏิบัติจนเป็น “นิสัย” ให้ความสำคัญดุจ “ลมหายใจ” ของตน
กำลังโหลดความคิดเห็น