(28 ส.ค.56)
ข้อเขียนนี้มุ่งสะท้อนความจริง(ระดับธรรม/แก่นแท้)เกี่ยวกับขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย ที่กำลังขับเคี่ยวกันกับกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ช่วงชิงกันเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของตน ในสภาวะที่ประเทศไทยได้ก้าวมาถึง “จุดเปลี่ยน” แล้ว
เจตนารมณ์ของขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย ก็คือ “เปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย” ตามความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทย ในบริบทของสังคมโลกยุค “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” ด้วยการสร้างอำนาจกำหนดของประชาชนขึ้นแทนที่อำนาจกำหนดของกลุ่มทุน เฉพาะหน้านี้ก็คือกลุ่มทุนสมานย์ในระบอบทักษิณ เลิกระบบรัฐสภา(ประชาธิปไตยกลุ่มทุน) สถาปนาระบบสภาประชาชน(ประชาธิปไตยประชาชน) ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เจตนารมณ์ของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ก็คือการกระชับอำนาจแบบเบ็ดเสร็จโดยกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ สร้าง “รัฐไทยใหม่” (โดยเนื้อแท้คือ “รัฐตำรวจ”) สถาปนาระบบเผด็จการรัฐสภา ดำเนินระบอบเผด็จการฟัสซิสต์อันมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
การขับเคี่ยวกันระหว่างสองฝ่ายนี้ จักดำเนินไปจนถึงที่สุด เห็นดำเห็นแดง เกิดผลแพ้ชนะ ซึ่งตามเหตุปัจจัยหรือ “เงื่อนไข”ทั้งภายในภายนอก และ “กฎภววิสัย” (กระบวนการ “ธรรมจัดสรร”) ที่จักต้องเป็นไป ตลอดจนความพยายามทางอัตวิสัย(ความถูกต้องของความคิดทฤษฎีชี้นำ ประสิทธิภาพการนำ การบริหารจัดการ และระดับความตื่นรู้ของมวลชน เป็นต้น) ชัยชนะจักต้องเป็นของขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทยอย่างแน่นอน !
ณ วันนี้ ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย ประกอบด้วยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กองทัพธรรม(สันติอโศก) กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ กองทัพประชาชนหน้ากากขาว เป็นต้น ทั้งนี้ อาจจะมีการก่อตั้ง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ขึ้นมาเป็น “เวทีร่วม” รองรับการขับเคลื่อนของขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย
ทั้งนี้ มวลชนกลุ่มต่างๆได้มารวมตัวกันแล้วเป็นเบื้องต้นที่สวนลุมพินี รวมทั้งกลุ่มนักเรียนนักศึกษาอาชีวะหลายสิบสถาบันได้เสริมกำลังเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย การจัดรูปแบบที่ชุมนุมก็เป็นไปอย่างรัดกุม มีแนวโน้มที่จะแปรสถานที่การชุมนุมในสวนลุมฯให้เป็น “ฐานที่มั่น”ขับเคลื่อนมวลชนระยะยาว อันเป็นกระบวนการจำเป็นที่จะนำไปสู่การปรากฏขึ้นของ “กำปั้นยักษ์” นำทัพมวลชนตื่นรู้ ตะลุยทุบทำลายระบอบทักษิณให้พังพินาศไป
ทั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังดำเนินไปในสวนลุมฯ ล้วนอยู่ในบริบทของ “สถานการณ์สู้รบ” อันเกิดจากการเร่งเกมของฝ่ายทักษิณและการฮือต้านของมวลชนทนไม่ไหว
อีกนัยหนึ่ง การขับเคลื่อนของขบวนการประชาชนฯล้วนแต่เกี่ยวเนื่องกับการเร่งเกมของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์(ดำเนินนโยบายเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มตน) กลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยในสภาฯ(เร่งผ่านกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มตน) และกลุ่มคนเสื้อแดง(คุกคามสถาบันศาล และหน่วยงานภาครัฐต่างๆที่ยังแสดงตนรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม รักษาความถูกต้อง ความยุติธรรม) ควบคู่ไปกับการหว่านซื้อตัวบุคลากรสำคัญๆในหน่วยงานรัฐ แทบทุกกระทรวงทบวงกรม ไม่เว้นกระทั่งสำนักพระราชวัง
ณ วันนี้ ในสถานการณ์ “สู้รบ” การขับเคี่ยวกันระหว่างสองฝ่ายกำลังดำเนินไปอย่างทั่วด้าน ถึงพริกถึงขิง เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการแข่งขันกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทย อุปมาเหมือนเรือใหญ่สองลำ กำลังเร่งความเร็วสุดเหยียด ซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังงานสูงสุด
พลังงานที่ว่าก็คือการเข้าร่วมและสนับสนุนของ “ทุกฝ่าย”ในสังคมไทย
เรือของระบอบทักษิณ ได้พลังงานจากการ “กว้านซื้อ” เป็นสำคัญ ทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกลไกอำนาจรัฐสำคัญๆ เช่น ตำรวจ ทหาร ตุลาการ ศาล ฯลฯ รวมทั้งการชักจูงมวลชนบางส่วนให้หลงผิด ติดสอยห้อยตามแกนนำที่รับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรโดยตรง
เรือของขบวนการประชาชนฯ ได้พลังงานจากการ “ตื่นรู้” ทั้งจาการจุดเทียนปัญญาและความ “ทนไม่ไหว”ของมวลชนทุกภาคส่วน ทุกระดับ ทุกเพศวัย ทุกสาขาอาชีพ ฯลฯ ประกอบกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ภายใต้ร่มธงของกลุ่ม องค์กรต่างๆ มุ่งสร้างความเป็นเอกภาพทางความคิด การเมืองและการจัดตั้งในทุกขั้นตอนของการต่อสู้
กระนั้นก็ตาม ณ วันนี้ ก็ยังมีคนจำนวนมาก “ลอยคอ” อยู่ในน้ำในทะเล ยังไม่ได้ขึ้นเรือ เติมเสริมเป็นพลังงานใหม่ๆให้แก่การขับเคลื่อนของเรือใหญ่ ในจำนวนนั้น มีนักการเมืองของพรรคต่างๆ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์รวมอยู่ด้วย
นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์นี่ก็แปลก บางครั้งบางช่วง พวกเขาก็กระโดดขึ้นมาเกาะบนเรือของขบวนการประชาชนฯ เช่นเมื่อครั้งกลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมใหญ่ 193 วันในปี 2551 บางครั้งบางช่วงก็ทำท่าจะกระโดดเกาะเรือกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ เช่นพร้อมจะเล่นเกมการเมืองในระบบรัฐสภาต่อไป ทั้งๆที่รัฐสภาได้ตกเป็นเครื่องมือเสริมสร้างอำนาจเผด็จการฟัสซิสต์อย่างเบ็ดเสร็จของระบอบทักษิณแล้ว
แสดงให้เห็นถึงความโลเลของนักการเมืองกลุ่มนี้อย่างชัดเจน
แต่ที่น่าขำที่สุดก็คือ ปัจจุบัน ขณะที่พวกเขายังลอยคออยู่ในทะเล กลับพยายามกวักมือเรียกให้มวลชนบนเรือกระโดดลงไปลอยคออยู่กับพวกเขา ซ้ำฝันว่าจะเป็นผู้นำมวลชนต่อสู้กับระบอบทักษิณ
พฤติกรรมของนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์เช่นนี้ (บางส่วนอาจอยากขึ้นเรือขบวนการประชาชนฯ แต่ก็ยังทู่ซี้ลอยคออยู่ยังงั้นแหละ) ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้แก่เรือขบวนการประชาชนฯเท่านั้น หากยังเป็นความพยายามที่จะบั่นทอนพลังงานของเรืออีกด้วย
ทิศทางที่ถูกต้องและจะต้องเป็นไปก็คือ คนไทยที่ยังลอยคออยู่ในน้ำ ในทะเล จะต้องหาทางขึ้นเรือขบวนการประชาชนฯ คนที่อยู่บนเรือก็ช่วยกันโยนห่วงยางลงไป หรือส่งเรือกู้ชีพลงไปรับ
พร้อมกันนั้น ก็ป่าวประกาศให้คนที่อยู่บนเรือระบอบทักษิณรู้ว่า เรือที่พวกเขาอยู่บนนั้น เป็นเรือผุ แล่นไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางอย่างแน่นอน จะต้องล่มและจมลงไปในระหว่างทางอย่างแน่นอน พวกเขาจงรีบหาทางลงจากเรือลำนั้น แล้วมาขึ้นเรือของขบวนการประชาชนฯ
เรือขบวนการประชาชนฯ เป็นเรือแห่งอนาคต สะท้อนทิศทางการขับเคลื่อนที่เป็นจริงของสังคมไทย ในบริบทแห่งยุคสมัย ที่ “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” ระบบสภาประชาชนแก้ปัญหาประเทศชาติและประชาชนได้ดีกว่าระบบรัฐสภา ประชาธิปไตยประชาชนสร้างความเสมอภาคและความยุติธรรมในสังคมได้ยิ่งกว่าประชาธิปไตยกลุ่มทุน
ด้วยเหตุนี้ ทางออกของ “ทุกฝ่าย” จึงอยู่ตรงที่ พากันมาขึ้นเรือลำเดียวกัน คือเรือขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย พากันแล่นเรือไปสู่จุดหมายปลายทาง คือร่วมกันเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย
อันเป็น “ทางออก” เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ของประเทศไทย
ข้อเขียนนี้มุ่งสะท้อนความจริง(ระดับธรรม/แก่นแท้)เกี่ยวกับขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย ที่กำลังขับเคี่ยวกันกับกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ช่วงชิงกันเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของตน ในสภาวะที่ประเทศไทยได้ก้าวมาถึง “จุดเปลี่ยน” แล้ว
เจตนารมณ์ของขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย ก็คือ “เปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย” ตามความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทย ในบริบทของสังคมโลกยุค “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” ด้วยการสร้างอำนาจกำหนดของประชาชนขึ้นแทนที่อำนาจกำหนดของกลุ่มทุน เฉพาะหน้านี้ก็คือกลุ่มทุนสมานย์ในระบอบทักษิณ เลิกระบบรัฐสภา(ประชาธิปไตยกลุ่มทุน) สถาปนาระบบสภาประชาชน(ประชาธิปไตยประชาชน) ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เจตนารมณ์ของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ก็คือการกระชับอำนาจแบบเบ็ดเสร็จโดยกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ สร้าง “รัฐไทยใหม่” (โดยเนื้อแท้คือ “รัฐตำรวจ”) สถาปนาระบบเผด็จการรัฐสภา ดำเนินระบอบเผด็จการฟัสซิสต์อันมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
การขับเคี่ยวกันระหว่างสองฝ่ายนี้ จักดำเนินไปจนถึงที่สุด เห็นดำเห็นแดง เกิดผลแพ้ชนะ ซึ่งตามเหตุปัจจัยหรือ “เงื่อนไข”ทั้งภายในภายนอก และ “กฎภววิสัย” (กระบวนการ “ธรรมจัดสรร”) ที่จักต้องเป็นไป ตลอดจนความพยายามทางอัตวิสัย(ความถูกต้องของความคิดทฤษฎีชี้นำ ประสิทธิภาพการนำ การบริหารจัดการ และระดับความตื่นรู้ของมวลชน เป็นต้น) ชัยชนะจักต้องเป็นของขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทยอย่างแน่นอน !
ณ วันนี้ ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย ประกอบด้วยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กองทัพธรรม(สันติอโศก) กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ กองทัพประชาชนหน้ากากขาว เป็นต้น ทั้งนี้ อาจจะมีการก่อตั้ง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ขึ้นมาเป็น “เวทีร่วม” รองรับการขับเคลื่อนของขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย
ทั้งนี้ มวลชนกลุ่มต่างๆได้มารวมตัวกันแล้วเป็นเบื้องต้นที่สวนลุมพินี รวมทั้งกลุ่มนักเรียนนักศึกษาอาชีวะหลายสิบสถาบันได้เสริมกำลังเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย การจัดรูปแบบที่ชุมนุมก็เป็นไปอย่างรัดกุม มีแนวโน้มที่จะแปรสถานที่การชุมนุมในสวนลุมฯให้เป็น “ฐานที่มั่น”ขับเคลื่อนมวลชนระยะยาว อันเป็นกระบวนการจำเป็นที่จะนำไปสู่การปรากฏขึ้นของ “กำปั้นยักษ์” นำทัพมวลชนตื่นรู้ ตะลุยทุบทำลายระบอบทักษิณให้พังพินาศไป
ทั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังดำเนินไปในสวนลุมฯ ล้วนอยู่ในบริบทของ “สถานการณ์สู้รบ” อันเกิดจากการเร่งเกมของฝ่ายทักษิณและการฮือต้านของมวลชนทนไม่ไหว
อีกนัยหนึ่ง การขับเคลื่อนของขบวนการประชาชนฯล้วนแต่เกี่ยวเนื่องกับการเร่งเกมของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์(ดำเนินนโยบายเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มตน) กลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยในสภาฯ(เร่งผ่านกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มตน) และกลุ่มคนเสื้อแดง(คุกคามสถาบันศาล และหน่วยงานภาครัฐต่างๆที่ยังแสดงตนรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม รักษาความถูกต้อง ความยุติธรรม) ควบคู่ไปกับการหว่านซื้อตัวบุคลากรสำคัญๆในหน่วยงานรัฐ แทบทุกกระทรวงทบวงกรม ไม่เว้นกระทั่งสำนักพระราชวัง
ณ วันนี้ ในสถานการณ์ “สู้รบ” การขับเคี่ยวกันระหว่างสองฝ่ายกำลังดำเนินไปอย่างทั่วด้าน ถึงพริกถึงขิง เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการแข่งขันกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทย อุปมาเหมือนเรือใหญ่สองลำ กำลังเร่งความเร็วสุดเหยียด ซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังงานสูงสุด
พลังงานที่ว่าก็คือการเข้าร่วมและสนับสนุนของ “ทุกฝ่าย”ในสังคมไทย
เรือของระบอบทักษิณ ได้พลังงานจากการ “กว้านซื้อ” เป็นสำคัญ ทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกลไกอำนาจรัฐสำคัญๆ เช่น ตำรวจ ทหาร ตุลาการ ศาล ฯลฯ รวมทั้งการชักจูงมวลชนบางส่วนให้หลงผิด ติดสอยห้อยตามแกนนำที่รับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรโดยตรง
เรือของขบวนการประชาชนฯ ได้พลังงานจากการ “ตื่นรู้” ทั้งจาการจุดเทียนปัญญาและความ “ทนไม่ไหว”ของมวลชนทุกภาคส่วน ทุกระดับ ทุกเพศวัย ทุกสาขาอาชีพ ฯลฯ ประกอบกันเข้าเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ภายใต้ร่มธงของกลุ่ม องค์กรต่างๆ มุ่งสร้างความเป็นเอกภาพทางความคิด การเมืองและการจัดตั้งในทุกขั้นตอนของการต่อสู้
กระนั้นก็ตาม ณ วันนี้ ก็ยังมีคนจำนวนมาก “ลอยคอ” อยู่ในน้ำในทะเล ยังไม่ได้ขึ้นเรือ เติมเสริมเป็นพลังงานใหม่ๆให้แก่การขับเคลื่อนของเรือใหญ่ ในจำนวนนั้น มีนักการเมืองของพรรคต่างๆ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์รวมอยู่ด้วย
นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์นี่ก็แปลก บางครั้งบางช่วง พวกเขาก็กระโดดขึ้นมาเกาะบนเรือของขบวนการประชาชนฯ เช่นเมื่อครั้งกลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมใหญ่ 193 วันในปี 2551 บางครั้งบางช่วงก็ทำท่าจะกระโดดเกาะเรือกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ เช่นพร้อมจะเล่นเกมการเมืองในระบบรัฐสภาต่อไป ทั้งๆที่รัฐสภาได้ตกเป็นเครื่องมือเสริมสร้างอำนาจเผด็จการฟัสซิสต์อย่างเบ็ดเสร็จของระบอบทักษิณแล้ว
แสดงให้เห็นถึงความโลเลของนักการเมืองกลุ่มนี้อย่างชัดเจน
แต่ที่น่าขำที่สุดก็คือ ปัจจุบัน ขณะที่พวกเขายังลอยคออยู่ในทะเล กลับพยายามกวักมือเรียกให้มวลชนบนเรือกระโดดลงไปลอยคออยู่กับพวกเขา ซ้ำฝันว่าจะเป็นผู้นำมวลชนต่อสู้กับระบอบทักษิณ
พฤติกรรมของนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์เช่นนี้ (บางส่วนอาจอยากขึ้นเรือขบวนการประชาชนฯ แต่ก็ยังทู่ซี้ลอยคออยู่ยังงั้นแหละ) ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้แก่เรือขบวนการประชาชนฯเท่านั้น หากยังเป็นความพยายามที่จะบั่นทอนพลังงานของเรืออีกด้วย
ทิศทางที่ถูกต้องและจะต้องเป็นไปก็คือ คนไทยที่ยังลอยคออยู่ในน้ำ ในทะเล จะต้องหาทางขึ้นเรือขบวนการประชาชนฯ คนที่อยู่บนเรือก็ช่วยกันโยนห่วงยางลงไป หรือส่งเรือกู้ชีพลงไปรับ
พร้อมกันนั้น ก็ป่าวประกาศให้คนที่อยู่บนเรือระบอบทักษิณรู้ว่า เรือที่พวกเขาอยู่บนนั้น เป็นเรือผุ แล่นไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางอย่างแน่นอน จะต้องล่มและจมลงไปในระหว่างทางอย่างแน่นอน พวกเขาจงรีบหาทางลงจากเรือลำนั้น แล้วมาขึ้นเรือของขบวนการประชาชนฯ
เรือขบวนการประชาชนฯ เป็นเรือแห่งอนาคต สะท้อนทิศทางการขับเคลื่อนที่เป็นจริงของสังคมไทย ในบริบทแห่งยุคสมัย ที่ “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” ระบบสภาประชาชนแก้ปัญหาประเทศชาติและประชาชนได้ดีกว่าระบบรัฐสภา ประชาธิปไตยประชาชนสร้างความเสมอภาคและความยุติธรรมในสังคมได้ยิ่งกว่าประชาธิปไตยกลุ่มทุน
ด้วยเหตุนี้ ทางออกของ “ทุกฝ่าย” จึงอยู่ตรงที่ พากันมาขึ้นเรือลำเดียวกัน คือเรือขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย พากันแล่นเรือไปสู่จุดหมายปลายทาง คือร่วมกันเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย
อันเป็น “ทางออก” เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ของประเทศไทย