ข้อวินิจฉัย – การที่ขบวนการฯประชาชนจะก้าวขึ้นสู่ความเป็น “ปัจจัยกำหนด” มีพลังอำนาจที่สามารถต่อสู้เอาชนะกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ล้มล้างระบอบทักษิณ ก้าวขึ้นมาสู่ความเป็น”อำนาจกำหนด”การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้จริง “กำหนด”ทิศทางการขับเคลื่อนของประเทศไทยได้จริง และสามารถบรรลุจุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้ได้จริง ถึงที่สุดแล้ว ก็จะต้องสร้างความเป็นเอกภาพกันขึ้นมา ทั้งทางด้านความคิด การเมืองและการจัดตั้ง
ข้อวินิจฉัยนี้ ผู้เขียนยึดเอาบริบทที่ การขับเคี่ยวกันระหว่างกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณกับขบวนการฯประชาชน ซึ่งเป็น “คู่ขัดแย้งหลักที่แท้จริง” ได้ดำเนินมาถึงขั้น “เผชิญหน้ากันโดยตรง” พร้อมรุกรบขั้นแตกหัก “ทุกด้าน” แล้ว
ทักษิณเร่งเกม โดยทางด้านรัฐบาล เร่งเข็นโครงการเงินกู้ 2.2 ล้านๆบาท โครงการแก้ปัญหาน้ำ3.5 แสนล้านบาท โครงการจำนำข้าว ฯลฯ ส่วนทางด้านสภาฯ ก็จะเร่งผ่าน พ.ร.บ.ปรองดองในการเปิดประชุมฯต้นเดือนสิงหาคมนี้ และทางด้านมวลชนเสื้อแดง ก็กระทำการคุกคามบีบคั้นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยับยั้งการพิจารณาเรื่องต่างๆที่ภาคประชาชนและพรรคฝ่ายค้านนำเสนอ ฯลฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่งยิ่งลักษณ์เข้าควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เพื่อกำกับการแต่งตั้งแม่ทัพนายกองในสามเหล่าทัพ ให้เป็นไปตามแผนการวางตัว “คนในคาถา” ยึดอำนาจเหนือกองทัพ เพื่อกรุยทางให้แก่การกลับมาเสวยอำนาจอย่างเป็นทางการของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในเร็ววัน
การเร่งเกมของ พ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับการ “เผด็จศึก” ขั้นสุดท้าย ผลักดันให้สถานการณ์ร้อนฉ่า เกิดสภาวะ“สุกงอม” เมื่อมวลชน “ทนไม่ไหว” ในส่วนของ “พลังเงียบ” ได้พร้อมใจกันฮือต้าน รวมตัวกันเข้าเป็น “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว”พร้อมระเบิดศึก สับประยุทธ์ใหญ่ แต่ก็ยังเป็นไปอย่างกระจัดกระจาย จำเป็นที่ขบวนการฯประชาชนจะต้องปรับและยกระดับตัวเองครั้งใหญ่ ผนึกรวมกันเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” ตะลุยศึกการเมืองครั้งประวัติศาสตร์นี้
ขบวนการฯประชาชน ประกอบไปด้วยกลุ่ม องค์กร การเมืองภาคประชาชน ที่มีส่วนร่วมในการทำ “สงครามมวลชน” ทั้งในระลอกแรก และระลอกสอง หลักๆก็เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย องค์การพิทักษ์สยาม กองทัพประชาชนหน้ากากขาว เป็นต้น
ปัจจุบัน กลุ่ม องค์กรเหล่านี้ ได้นำเสนอเป้าหมายทางการเมืองที่ตรงกัน เป็นเอกภาพกัน นั่นคือ “ล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย” อีกนัยหนึ่ง “ปิดฉากการเมืองชั่ว” และ “เปิดศักราชการเมืองดี” เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เกิดการพัฒนาก้าวหน้าในทุกๆด้าน กระทั่งเอื้ออำนวยอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของคนไทยโดยรวม
ด้วยเหตุนี้ ถึงเวลาแล้วที่กลุ่มองค์กรในขบวนการฯประชาชนเหล่านี้ จะต้องร่วมกันสร้างกลไกจัดตั้งขึ้นมารองรับความเป็นเอกภาพดังกล่าว ในรูปของ “สภาการเมืองประชาชน” เพื่อให้ทุกกลุ่มองค์กรมีเวทีนำเสนอแนวคิดสู่กันและกัน สะท้อนความเข้าใจในปรากฏการณ์ต่างๆได้อย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจร่วมกันในเรื่องสำคัญๆ และบรรลุสู่ความเป็นเอกภาพทางด้านความคิดในที่สุด
ความเป็นเอกภาพของขบวนการฯประชาชนดังกล่าว ผู้เขียนขอเรียกว่า “แก้ว 3 ประการ”
เนื้อหาสาระของ “แก้ว 3 ประการ”
1. ความเป็นเอกภาพทางความคิด
หมายถึงความเข้าใจร่วมกัน ตรงกันในระดับแก่นแท้ของสิ่ง เข้าถึง “กฎภววิสัย” (กระบวนการ “ธรรมจัดสรร”) ที่กำหนดการขับเคลื่อนของสิ่ง อีกนัยหนึ่งก็คือการเข้าถึงความเป็นจริงระดับ “ธรรม”ของสิ่ง ที่ดำรงสภาวะ “นิ่ง” และ “คงที่” โดยไม่ติดข้องอยู่กับปรากฏการณ์หรือสภาวะรูปธรรมที่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยรูปธรรมที่เรารับรู้สัมผัสได้ในทันที ทั้งผันผวนและแปรปรวน
ในกรณีของประเทศไทย ความจริงในระดับ “ธรรม” ที่เราต้องเข้าถึง ก็คือ “ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน” การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เมื่อประชาชนชาวไทยแสดงตนเป็น “เจ้าภาพ”
สรุปคือ ความเป็นเอกภาพทางความคิด ต้องตั้งอยู่บนฐานของการมีความคิดความเข้าใจถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง ความพยายามทางอัตวิสัย สอดคล้องกับ “กฎภววิสัย” (ธรรมจัดสรร)
หลักปฏิบัติ -- เจาะแก่น จับกฎ ไม่ติดยึดปรากฏการณ์
2. ความเป็นเอกภาพทางการเมือง
เป้าหมายชัดเจนคือล้มล้างระบอบทักษิณ ล้มเลิกระบบรัฐสภา (เผด็จการกลุ่มทุน) สถาปนาอำนาจประชาชน สถาปนาระบบสภาประชาชน(ประชาธิปไตยประชาชน) ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3. ความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้ง
ในทิศทางเป็นไปได้จริง ทั้งทางเนื้อหาและรูปแบบ มีการพัฒนาและนวัตกรรมรูปแบบ วิธีการ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ขับเคลื่อน “สงครามมวลชน” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน ได้มีการนำเสนอก่อตั้ง “สภาการเมืองประชาชน” โดยผู้เขียนเป็นผู้ริเริ่ม เพื่อนำไปสู่การสถาปนาระบบสภาประชาชน อันประกอบด้วย สภาการเมืองประชาชน ที่จำเป็นต้องก่อตั้งกันขึ้นมาก่อนการเผด็จศึกระบอบทักษิณ ทั้งเพื่อรวมพลัง “ทุกฝ่าย” เป็นกำปั้นยักษ์ตะลุยทุบระบอบทักษิณให้พังพินาศ และเป็นแกนกลางของอำนาจประชาชนภายหลังการเปลี่ยนแปลง ส่วนอีกสองสภาก็คือสภาภูมิปัญญาประชาชน ที่ประกอบไปด้วยบุคคลดีเลิศในด้านต่างๆของสังคมไทย และสภาผู้แทนประชาชน ที่ประกอบไปด้วยตัวแทนกลุ่มประชาชนทุกสาขาอาชีพ
ทั้งหมดที่นำเสนอ ก็คือการสะท้อนถึง “กฎภววิสัย”ที่กำกับความเป็นไปของบ้านเมืองเรา ให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ “ธรรมจัดสรร” ซึ่งก็คือ
1. ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน และจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วย “สงครามมวลชน” ที่ขบวนการฯประชาชนเป็น “เจ้าภาพ”
2. ขบวนการฯประชาชนจะพัฒนาเติบใหญ่ ก้าวขึ้นสู่ความเป็น “อำนาจกำหนด” ได้ด้วย “แก้ว 3 ประการ”
ข้อวินิจฉัยนี้ ผู้เขียนยึดเอาบริบทที่ การขับเคี่ยวกันระหว่างกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณกับขบวนการฯประชาชน ซึ่งเป็น “คู่ขัดแย้งหลักที่แท้จริง” ได้ดำเนินมาถึงขั้น “เผชิญหน้ากันโดยตรง” พร้อมรุกรบขั้นแตกหัก “ทุกด้าน” แล้ว
ทักษิณเร่งเกม โดยทางด้านรัฐบาล เร่งเข็นโครงการเงินกู้ 2.2 ล้านๆบาท โครงการแก้ปัญหาน้ำ3.5 แสนล้านบาท โครงการจำนำข้าว ฯลฯ ส่วนทางด้านสภาฯ ก็จะเร่งผ่าน พ.ร.บ.ปรองดองในการเปิดประชุมฯต้นเดือนสิงหาคมนี้ และทางด้านมวลชนเสื้อแดง ก็กระทำการคุกคามบีบคั้นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยับยั้งการพิจารณาเรื่องต่างๆที่ภาคประชาชนและพรรคฝ่ายค้านนำเสนอ ฯลฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่งยิ่งลักษณ์เข้าควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เพื่อกำกับการแต่งตั้งแม่ทัพนายกองในสามเหล่าทัพ ให้เป็นไปตามแผนการวางตัว “คนในคาถา” ยึดอำนาจเหนือกองทัพ เพื่อกรุยทางให้แก่การกลับมาเสวยอำนาจอย่างเป็นทางการของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในเร็ววัน
การเร่งเกมของ พ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับการ “เผด็จศึก” ขั้นสุดท้าย ผลักดันให้สถานการณ์ร้อนฉ่า เกิดสภาวะ“สุกงอม” เมื่อมวลชน “ทนไม่ไหว” ในส่วนของ “พลังเงียบ” ได้พร้อมใจกันฮือต้าน รวมตัวกันเข้าเป็น “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว”พร้อมระเบิดศึก สับประยุทธ์ใหญ่ แต่ก็ยังเป็นไปอย่างกระจัดกระจาย จำเป็นที่ขบวนการฯประชาชนจะต้องปรับและยกระดับตัวเองครั้งใหญ่ ผนึกรวมกันเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” ตะลุยศึกการเมืองครั้งประวัติศาสตร์นี้
ขบวนการฯประชาชน ประกอบไปด้วยกลุ่ม องค์กร การเมืองภาคประชาชน ที่มีส่วนร่วมในการทำ “สงครามมวลชน” ทั้งในระลอกแรก และระลอกสอง หลักๆก็เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย องค์การพิทักษ์สยาม กองทัพประชาชนหน้ากากขาว เป็นต้น
ปัจจุบัน กลุ่ม องค์กรเหล่านี้ ได้นำเสนอเป้าหมายทางการเมืองที่ตรงกัน เป็นเอกภาพกัน นั่นคือ “ล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย” อีกนัยหนึ่ง “ปิดฉากการเมืองชั่ว” และ “เปิดศักราชการเมืองดี” เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เกิดการพัฒนาก้าวหน้าในทุกๆด้าน กระทั่งเอื้ออำนวยอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของคนไทยโดยรวม
ด้วยเหตุนี้ ถึงเวลาแล้วที่กลุ่มองค์กรในขบวนการฯประชาชนเหล่านี้ จะต้องร่วมกันสร้างกลไกจัดตั้งขึ้นมารองรับความเป็นเอกภาพดังกล่าว ในรูปของ “สภาการเมืองประชาชน” เพื่อให้ทุกกลุ่มองค์กรมีเวทีนำเสนอแนวคิดสู่กันและกัน สะท้อนความเข้าใจในปรากฏการณ์ต่างๆได้อย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจร่วมกันในเรื่องสำคัญๆ และบรรลุสู่ความเป็นเอกภาพทางด้านความคิดในที่สุด
ความเป็นเอกภาพของขบวนการฯประชาชนดังกล่าว ผู้เขียนขอเรียกว่า “แก้ว 3 ประการ”
เนื้อหาสาระของ “แก้ว 3 ประการ”
1. ความเป็นเอกภาพทางความคิด
หมายถึงความเข้าใจร่วมกัน ตรงกันในระดับแก่นแท้ของสิ่ง เข้าถึง “กฎภววิสัย” (กระบวนการ “ธรรมจัดสรร”) ที่กำหนดการขับเคลื่อนของสิ่ง อีกนัยหนึ่งก็คือการเข้าถึงความเป็นจริงระดับ “ธรรม”ของสิ่ง ที่ดำรงสภาวะ “นิ่ง” และ “คงที่” โดยไม่ติดข้องอยู่กับปรากฏการณ์หรือสภาวะรูปธรรมที่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยรูปธรรมที่เรารับรู้สัมผัสได้ในทันที ทั้งผันผวนและแปรปรวน
ในกรณีของประเทศไทย ความจริงในระดับ “ธรรม” ที่เราต้องเข้าถึง ก็คือ “ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน” การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เมื่อประชาชนชาวไทยแสดงตนเป็น “เจ้าภาพ”
สรุปคือ ความเป็นเอกภาพทางความคิด ต้องตั้งอยู่บนฐานของการมีความคิดความเข้าใจถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง ความพยายามทางอัตวิสัย สอดคล้องกับ “กฎภววิสัย” (ธรรมจัดสรร)
หลักปฏิบัติ -- เจาะแก่น จับกฎ ไม่ติดยึดปรากฏการณ์
2. ความเป็นเอกภาพทางการเมือง
เป้าหมายชัดเจนคือล้มล้างระบอบทักษิณ ล้มเลิกระบบรัฐสภา (เผด็จการกลุ่มทุน) สถาปนาอำนาจประชาชน สถาปนาระบบสภาประชาชน(ประชาธิปไตยประชาชน) ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3. ความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้ง
ในทิศทางเป็นไปได้จริง ทั้งทางเนื้อหาและรูปแบบ มีการพัฒนาและนวัตกรรมรูปแบบ วิธีการ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ขับเคลื่อน “สงครามมวลชน” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน ได้มีการนำเสนอก่อตั้ง “สภาการเมืองประชาชน” โดยผู้เขียนเป็นผู้ริเริ่ม เพื่อนำไปสู่การสถาปนาระบบสภาประชาชน อันประกอบด้วย สภาการเมืองประชาชน ที่จำเป็นต้องก่อตั้งกันขึ้นมาก่อนการเผด็จศึกระบอบทักษิณ ทั้งเพื่อรวมพลัง “ทุกฝ่าย” เป็นกำปั้นยักษ์ตะลุยทุบระบอบทักษิณให้พังพินาศ และเป็นแกนกลางของอำนาจประชาชนภายหลังการเปลี่ยนแปลง ส่วนอีกสองสภาก็คือสภาภูมิปัญญาประชาชน ที่ประกอบไปด้วยบุคคลดีเลิศในด้านต่างๆของสังคมไทย และสภาผู้แทนประชาชน ที่ประกอบไปด้วยตัวแทนกลุ่มประชาชนทุกสาขาอาชีพ
ทั้งหมดที่นำเสนอ ก็คือการสะท้อนถึง “กฎภววิสัย”ที่กำกับความเป็นไปของบ้านเมืองเรา ให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ “ธรรมจัดสรร” ซึ่งก็คือ
1. ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน และจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วย “สงครามมวลชน” ที่ขบวนการฯประชาชนเป็น “เจ้าภาพ”
2. ขบวนการฯประชาชนจะพัฒนาเติบใหญ่ ก้าวขึ้นสู่ความเป็น “อำนาจกำหนด” ได้ด้วย “แก้ว 3 ประการ”