xs
xsm
sm
md
lg

“ธรรมจัดสรร” จัดหนัก จัดเต็ม

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

(27 มิ.ย.56)

ในข้อเขียนนี้ ผู้เขียนขอวิสัชนาหาคำตอบให้แก่ขบวนการการเมืองภาคประชาชน เพื่อยืนยันในสัจธรรม “ธรรมย่อมชนะอธรรม” ด้วยการอธิบายผ่าน “ภาพใหญ่” และ “หลักใหญ่”

ภาพใหญ่

ถึงวันนี้ สถานการณ์โดยรวมของการสับประยุทธ์กันระหว่างขบวนการการเมืองภาคประชาชนกับกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ เริ่มกระจ่างชัดแล้วว่า ขบวนการฯภาคประชาชนมีความเป็นต่อทางด้านยุทธศาสตร์ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของ “สงครามมวลชน”

สงครามมวลชนที่ถือเอาความตื่นรู้ของมวลชนเป็นหัวใจ ได้ทะลวงลึกเข้าสู่สังคมไทย ยึดยุทธภูมิ “พลังเงียบ” ได้สำเร็จ เห็นได้จากการอุบัติขึ้นของ “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” ทำให้ขนาดของ “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ขยายตัวเติบใหญ่อย่างฮวบฮาบ และนี่ก็จะเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การสั่นไหวจุดยืนของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆในทุกแขนงอาชีพ ทั้งข้าราชการ พ่อค้า นายทุน ฯลฯ ที่ยึดกุมกลไกอำนาจรัฐ(ตำรวจ ทหาร เป็นต้น) กลไกอำนาจสังคม(สื่อ สถาบันการศึกษา/วิจัย นักวิชาการ เป็นต้น) และกลไกอำนาจธุรกิจ
(สมาคมการค้า ธนาคาร อุตสาหกรรม เป็นต้น)ของประเทศไทย ซึ่งเมื่อใดที่พวกเขาเล็งเห็นแล้วว่า รัฐบาลนำโดยกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้แล้ว ก็จะแสดงท่าทีเอนเอียง สนับสนุน และกระทั่งเข้าร่วมขบวนการฯภาคประชาชน ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

เมื่อนั้น การสับประยุทธ์ก็จะสิ้นสุดลงได้ด้วยดี มวลชนเสื้อแดงก็จะหูตาสว่างไม่มีสงครามกลางเมือง อำนาจการเมืองของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณก็จะล่มสลายไปในพริบตา และ(หากไม่มีเหตุแทรกซ้อน)อำนาจการเมืองของประชาชนก็จักได้รับการสถาปนาขึ้น (หากคาดการณ์ไม่ผิด)ในรูปของสภาการเมืองประชาชน อันเป็นก้าวแรกของการสถาปนาระบบสภาประชาชน ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ ผู้เขียนจึงเห็นว่า ไม่มีเหตุผลอันใดที่ขบวนการฯภาคประชาชน ในรูปของ “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” จะยุติหรือล้มเลิกการเคลื่อนไหวกลางคัน เพียงเพราะการข่มขู่ของภาครัฐ(เริ่มมีมากขึ้น) หรือด้วยปัญหาบางประการในขบวนการฯเอง(หากมี)

ผู้เขียนเชื่อว่า ในสถานการณ์ที่ “เขา” ได้เข้าสู่สภาวะ “ขาลง” สวนทางกับ “เรา”ที่ได้ก้าวเข้าสู่สภาวะ “ขาขึ้น” แล้วนั้น ถึงอย่างไร กลุ่มอำนาจในระบอบทักษิณก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์ขึ้นมาเป็นต่อทางยุทธศาสตร์ได้ เพราะพวกเขาขาดการสนับสนุนจากมวลชนตื่นรู้ ซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาดของการทำสงครามมวลชน อีกทั้งยังมองไม่เห็นว่า พวกเขาจะมี “หมัดเด็ด”ทางด้านยุทธวิธีใด ที่จะโจมตีขบวนการฯภาคประชาชนให้ล่าถอยไปได้ ไม่ว่าจะด้วยการใช้กลุ่มคนเสื้อแดงหรือตำรวจ เพราะการขับเคลื่อนของขบวนการฯภาคประชาชนดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ด้วยรูปแบบพลิกแพลง ขยายตัวใหญ่โตจนเกินกว่าที่พวกเขาจะสะกัดหรือปิดล้อมได้

ยิ่งหากพวกเขาร้อนรน ผลีผลามตัดสินใจ กระทำการด้วยความเร่งรีบ ก็ง่ายที่จะเกิดความผิดพลาด ถูกตีโต้ ประสบความเสียหาย ตกที่นั่งลำบากและพ่ายแพ้เร็วขึ้น

ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า การ “รุก”ทางยุทธศาสตร์ของขบวนการฯภาคประชาชนครั้งนี้ จักสามารถดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ ด้วยยุทธวิธีที่พลิกแพลง สร้างการตื่นรู้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆในทุกระลอกของการเคลื่อนไหว

การตื่นรู้ของคนไทย ก็คือชัยชนะของประชาชน !

หลักใหญ่

ทั้งหลายทั้งปวงที่บรรยายมานั้น โดยนัยก็คือกระบวนการ “ธรรมจัดสรร” ที่กำลัง
“จัดหนัก จัดเต็ม” จึงไม่มีทางที่ “พวกเขา” จะฝืนกฎแห่ง “ธรรม” ได้

เพราะพวกเขาเป็นพวก “อธรรม” มีหรือจะสู้เราที่เป็นฝ่าย “ธรรม” ได้

อย่างไรก็ดี เพื่อไม่ให้เป็นเรื่อง “ความเชื่อ” อย่างเดียว ผู้เขียนขอนำเรื่อง “ธรรมจัดสรร” มาอธิบาย โดยใช้หลัก วัตถุนิยมวิภาษวิธี เป็นเครื่องมือ เพื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “ธรรม” หรือ “กฎภววิสัย” กับ ความพยายามทาง “อัตวิสัย” ของคนเรา

เริ่มต้นตรงที่ ณ วันนี้ ประชาชนชาวไทยได้พร้อมใจกันแสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนของประเทศไทย ที่จะบรรลุสู่เป้าหมายของคนไทยโดยรวมในที่สุด

นั่นหมายถึงว่า ประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ประชาชนเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง สามารถ “ปลดปล่อยตนเอง” สร้างสรรค์ชีวิตใหม่ให้แก่ตนเอง เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสืบสานกระบวนการพัฒนาของอารยธรรมอันรุ่งโรจน์บนคาบสมุทรสุวรรณภูมิ โดยเชื่อมประสานเข้ากับกระบวนการพัฒนาของอารยธรรมมวลมนุษยชาติ ที่กำลังดำเนินไปอย่างคึกคักในรูปของ “โลกาภิวัตน์” ที่กำลังสะท้อน “กฎ” กำหนดใหม่ในรูปของ “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก”

ทั้งนี้ การก้าวขึ้นสู่ความเป็น “เจ้าภาพ”สานสร้างอารยธรรมยุคใหม่ของประชาชนไทย โดยจุติขึ้นในรูปของขบวนการการเมืองภาคประชาชน และการขับเคลื่อนของอารยธรรมโลกที่กำลังดำเนินไปในรูปของ “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก”ถือเป็นผลแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมของกระบวนการ “ธรรมจัดสรร”

โดยนัยดังกล่าว กระบวนการ “ธรรมจัดสรร”จึงแยกไม่ออกจากการ “ปฏิบัติ”ของคนเรา เพราะมีแต่เมื่อคนเราได้ลงมือปฏิบัติแล้วเท่านั้น จึงจะปรากฏเป็น “ผลรูปธรรม”ของกระบวนการ “ธรรมะจัดสรร” ซึ่งเมื่อนำมาอธิบายสิ่งที่กำลังเป็นไปในประเทศไทย ก็จะได้ภาพรวมที่ชัดเจน เป็นระลอกๆ

ในระลอกแรก ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ นับตั้งแต่ต้นปี 2549 (หรือตั้งแต่ปลายปี 2548 โดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล) เป็นต้นมา ประสบความสำเร็จในการเคลื่อนไหวต่อสู้กับกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณมาเป็นลำดับ มวลชนที่ตื่นรู้จากการ “จุดเทียนปัญญา” ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ ได้พัฒนาเติบใหญ่เป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ดำเนิน “สงครามมวลชน”ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในระลอกที่สอง “สงครามมวลชน” ที่มุ่งสร้างการตื่นรู้ให้แก่คนไทย ได้ส่งผลกระทบต่อ “พลังเงียบ” ก่อให้เกิดการ “ตื่นรู้” ระลอกแล้วระลอกเล่า และเมื่อบวกกับความ “ทนไม่ไหว” ต่อการแสดงออกอย่าง “โง่ๆ”ของทักษิณกับพวกในระยะหลังๆนี้ เช่นการ “สไกป์” สั่งการโดยตรงไปยังรัฐบาล และบรรดา “ลิ้วล้อ”ในสภาฯ และกลุ่มคนเสื้อแดง เร่งเกมรุกเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง การแก้ไขรัฐธรรมนูญลิดรอนสิทธิของประชาชน และการดำเนินนโยบายประชานิยม “จำนำข้าว”(ซื้อข้าวทุกเมล็ด)ในราคาสูงกว่าราคาตลาด ตลอดจนการเคลื่อนไหวคุกคามศาลรัฐธรรมนูญของกลุ่มคนเสื้อแดง การประกาศปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญของ ส.ส. และ ส.ว.ในสังกัด รวมไปถึงการอุ้มฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนั้น ดำเนินไปพร้อมๆกับการฉกฉวยโอกาสโกงบ้านกินเมืองในทุกมิติ
ผลคือ เกิด “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” ดำเนิน “สงครามมวลชน”อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบกว้างไกลยิ่งขึ้น สร้างการตื่นรู้ระลอกใหม่ อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนของ “ระลอกที่สาม” ได้ในเร็ววัน

โดยนัยดังกล่าว กระบวนการ “ธรรมจัดสรร” ที่นำมาซึ่งความเติบใหญ่ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับของกองทัพมวลชนตื่นรู้ สู่ความเป็น “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” ที่รวมเอา “ทุกฝ่าย”เข้าด้วยกัน จึงแยกไม่ออกจากการ “ปฏิบัติ”ที่สอดคล้องกับกฎภววิสัย ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน และการกระทำแบบโง่ๆที่สวนทางกับกฎภววิสัยของทักษิณกับพวกพ้องบริวาร

หลายครั้งที่เราจะพูดแก่กันและกันว่า “ธรรมจัดสรร” จะจัดสรรความสำเร็จให้แก่ผู้ที่ “พร้อม” เท่านั้น ซึ่งผู้ที่พร้อมก็หนีไม่พ้นผู้ที่ลงมือปฏิบัติด้วยความตื่นรู้ คือรู้จริง รู้คิด รู้ทำ โดยมีการกระทำแบบโง่ๆของอีกฝ่ายคอยเสริมส่ง ให้กระบวนการ “ธรรมจัดสรร” ดำเนินไปจนจบสิ้นกระบวนความได้เร็วขึ้น

ดังนั้น ในทางปฏิบัติ เราจึงมักจะไม่ “รอ” ธรรมจัดสรร แต่จะลงมือปฏิบัติเพื่อให้กระบวนการ “ธรรมะจัดสรร” ปรากฏเป็นจริงในทุกห้วงของการเคลื่อนไหว สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในเร็ววัน

ด้วยเหตุนี้ จึงอธิบายได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า “ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน” ก็คือการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการ “ธรรมจัดสรร” กับการเคลื่อนไหวปฏิบัติของขบวนการการเมืองภาคประชาชน บวกกับการกระทำแบบโง่ๆของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ซึ่งถึงที่สุดแล้ว การเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นจริง ส่วนจะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของ “เรา” และ “เขา” หาก “เรา”ปฏิบัติได้ดี และ “เขา” ทำแบบโง่สุดๆ การเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นเร็ว ตรงกันข้าม หาก”เรา”ทำได้ไม่ดี ขณะที่”เขา”กลับทำอะไรที่โง่น้อยหน่อย ก็อาจทำให้การเปลี่ยนแปลงเนิ่นช้าออกไป

อีกนัยหนึ่ง การเคลื่อนไหวปฏิบัติของขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยเริ่มจากความเป็นจริง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย อย่างสอดคล้องกับกฎการพัฒนาของสังคมไทยและสังคมโลก คือเหตุปัจจัยหลักที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของกระบวนการ “ธรรมจัดสรร” ส่วนการกระทำแบบโง่ๆของทักษิณกับพวก เป็นเหตุปัจจัยเสริม ทำให้กระบวนการธรรมะจัดสรรปรากฏผลรูปธรรมเร็วขึ้น

เมื่อเราเข้าใจบทบาทของความเป็น “เหตุปัจจัยหลัก” หรือ “ปัจจัยกำหนด”ของตนเองแล้ว ความเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังปฏิบัติอยู่ เชื่อมั่นในความถูกต้องในแนวคิดอุดมการณ์ของตนเอง ก็จะเกิดขึ้น และความเชื่อมั่นเช่นนี้ จะยืนหยัดมั่นคงได้ ก็ด้วยการลงมือปฏิบัติ หมั่นสรุปบทเรียน ยกระดับความตื่นรู้อยู่เป็นนิจ อีกทั้งต้องไม่ผลีผลาม ใจร้อนใจเร็ว ไม่ถือเอาใจตัวเองเป็นใหญ่ มิเช่นนั้น เราอาจจะกระทำการอะไรที่ “โง่ๆ” จนเกิดความเสียหาย ซึ่งจะส่งให้กระบวนการ “ธรรมจัดสรร” หยุดชะงัก

หลักยึดสำคัญที่จะช่วยให้เราปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ ก็คือ ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง หาสัจจะจากความเป็นจริง ยึดมั่นในเจตนารมณ์และอุดมการณ์เดียวกัน มุ่งสร้างการตื่นรู้และการใช้ปัญญาร่วมกัน

เหนือสิ่งอื่นใด จะต้องเชื่อมั่นมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมวลชนตื่นรู้ !
กำลังโหลดความคิดเห็น