การเติบโตแผ่ขยายอย่างรวดเร็วของขบวนการหน้ากากขาวในประเทศไทย ที่เริ่มต้นจากหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ลามไหลไปสู่หัวเมืองจังหวัดต่างๆ ในภูมิภาคทั่วประเทศ และเริ่มลุกลามไปในต่างประเทศหลายประเทศที่มีคนไทยพำนักอาศัยอยู่ เป็นปรากฏการณ์การลุกขึ้นสู้ของการเมืองภาคประชาชน ที่ทนไม่ไหวกับระบอบการเมืองการปกครองที่ฉ้อฉล ทุจริตคอร์รัปชัน และไร้ประสิทธิภาพอย่างที่เป็นอยู่
มิไยที่ฝ่ายทักษิณและกองเชียร์ทางวิชาการสีแดงจะอ้างว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่ภายใต้การบริหารจัดการแบบ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” โดยใช้นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดที่ลอยตัวหนีปัญหา และคณะรัฐมนตรีต่างตอบแทน ที่ผิดฝาผิดตัวไร้ความสามารถ นับวันมีแต่จะทำให้คนไทยทวีการไม่ยอมรับมากขึ้น ยิ่งการออกมาสำรากบ่อยๆ ของรัฐมนตรีบางคน พูดจาข่มขู่และหมิ่นแคลนประชาชน พูดจาอวดตัวยโสโอหัง คิดว่ามีอำนาจรัฐแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดกระแสการต่อต้านและไม่ยอมรับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ในซีกของมวลชนคนเสื้อแดงที่เป็นกองกำลังจัดตั้งของฝ่ายระบอบทักษิณเอง ก็ใช่ว่าจะกลมเกลียวแน่นเหนียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปทั้งหมดเสียเมื่อไหร่ โดยเฉพาะระยะหลัง ไม่ว่าจะการโฟนอินของทักษิณที่บอกว่าตนมาถึงฝั่งและจะขับรถขึ้นภูเขาแล้ว คนเสื้อแดงไม่ต้องแบกเรือตามมา ซึ่งสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับคนเสื้อแดงจนมีบางกลุ่มออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง ว่าคนเสื้อแดงไม่เคยพายเรือให้ทักษิณ แต่คนเสื้อแดงร่วมขบวนรถไฟสายประชาธิปไตยที่ทักษิณเป็นผู้มาขอโดยสารต่างหากเล่า เมื่ออยากจะลงกลางทางก็เชิญลงไป ซึ่งทำให้ทักษิณต้องกลับลำแทบไม่ทัน ที่น่าขันคือตอนนี้ทักษิณกลับมาออดอ้อนคนเสื้อแดงโอดครวญว่าลำบากต้องลอยคออยู่กลางทะเลอย่างเดียวดาย โดยลืมคำพูดที่ว่ากำลังขับรถขึ้นภูเขาอย่างที่คนทั่วไปได้ยินได้ฟังแล้วก็แทบอาเจียนในความกะล่อนปลิ้นปล้อนที่สำแดงถึงความเอาแต่ได้โดยไร้ยางอาย
เรื่องกฎหมายปรองดองฉบับเป็ดเหลิม ที่นิรโทษแบบเหมาเข่งเทกระจาด ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนเสื้อแดงทำใจยอมรับไม่ได้ เพราะยังติดใจกับการบาดเจ็บล้มตายของคนเสื้อแดงที่ยังหาคนรับผิดชอบไม่ได้ ทำให้เกิดการคิดต่างเห็นต่างที่ไม่ลงรอยในระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนกับฝ่ายแกนนำและรัฐบาล ซึ่งชุลมุนชุลเกปะปนกันไปกับการเปรอะปรนทั้งลาภยศและตำแหน่งทางการเมืองที่ได้ไม่ทั่วถึงไม่ลงตัวกัน ทำให้เกิดความคลางแคลงคุกรุ่นตลอดเวลา ยิ่งมาเจอเข้ากับการประกาศลดราคาจำนำข้าวจากตันละ 15,000 บาทลงเหลือตันละ12,000 บาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนเสื้อแดงที่เป็นชาวนาจำนวนไม่น้อย ก็ยิ่งก่อให้เกิดความหมางเมินระหว่างคนเสื้อแดงอีกส่วนหนึ่งกับฟากฝั่งรัฐบาล ถึงกับมีการยกขบวนชาวนามาประท้วงเรียกร้องถึงหน้าทำเนียบฯ
การปรากฏขึ้นของขบวนการหน้ากากขาว จึงประจวบเหมาะกับสภาวะขาลงของรัฐบาลและระบอบทักษิณทั้งกระบวนการอย่างพอดิบพอดี และอย่างน้อยก็พอจะชะลอขบวนการเขมือบกลืนกินประเทศไทยไม่ให้สะดวกคล่องคอนัก
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของขบวนการหน้ากากขาว ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่การเมืองภาคประชาชนจะลิงโลดและฮึกเหิมย่ามใจว่าจะทำอะไรได้ เพราะยังมองไม่ออกและไม่เห็นเป้าหมายและผลลัพธ์ ว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด
บทเรียนจากการลุกขึ้นสู้ของขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ยืดเยื้อยาวนาน ย่อมเป็นสิ่งบ่งบอกเตือนใจให้ตระหนักว่า แม้จะเป็นขบวนการที่มีแกนนำเป็นกิจจะลักษณะ มีการวางแผนต่อสู้อย่างมียุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่รอบคอบรัดกุม และเคยกุมมวลชนได้จำนวนไม่น้อยถึงขนาดบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลได้ ซึ่งโดยสภาพก็น่าจะเป็นการล้มล้างรัฐบาลได้แล้ว เพราะถือว่ารัฐล้มเหลวปกครองประเทศไม่ได้ แม้แต่ทำเนียบรัฐบาลยังรักษาไว้ไม่ได้ แต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ระบบการเมืองภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตยจอมปลอมยังคงลอยนวล มีการจัดตั้งการเลือกตั้งแบบฉ้อฉลซื้อสิทธิขายเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่ายการเมืองพรรคเดิมๆ หน้าเดิมๆ ผลัดกันเป็นฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล ซึ่งล้วนแล้วแต่เข้ามาใช้อำนาจรัฐสร้างปัญหาซ้ำเติมหมักหมมแก่ประเทศชาติ บ้านเมืองและก่อให้เกิดความทุกข์ยากเดือดร้อนแก่ประชาชนคนไทยเหมือนๆ กันทุกรัฐบาล และระบอบทักษิณก็ยังคงแผ่ขยายแพร่พิษทุนสามานย์แทรกซึมอยู่ในทุกวงการทั้งภาคราชการและเอกชนในประเทศไทยอย่างไม่แยแสต่อการต่อต้านคัดค้านของมวลชนไม่ว่าจะเสื้อสีอะไร
โจทก์ใหญ่ของขบวนการหน้ากากขาวเมื่อจุดติดทั้งประเทศแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายก็คือจะบริหารจัดการอย่างไร เพื่อนำพาไปสู่เป้าหมายที่จะสามารถล้มล้างระบอบการเมืองที่ล้มเหลวทั้งระบบเพื่อปฏิรูปประเทศไทยใหม่ ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เป็นประชาธิปไตยของปวงชนและเพื่อปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
ภารกิจของขบวนการหน้ากากขาวจึงยังหนักหนาสาหัสนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่จะต้องขับเคี่ยวต่อสู้กับทัศนคติและค่านิยมที่ดื้อด้านของนักการเมืองไทย ที่ไม่รู้จักคำว่ “รับผิดชอบ” “ลาออก” “เพียงพอ” และ “วางมือ” อยู่ในกมลสันดานเลย
ขบวนการหน้ากากขาวจะเป็นเดิมพันสุดท้ายของการเมืองภาคประชาชนที่จะเทหมดหน้าตักหรือไม่? เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างระทึกใจ