(5 ก.ค.56)
ในบทนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอความเข้าใจในแก่นแท้ของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่ดำเนินมาร่วมแปดปีเต็ม ในรูปของ “จินตภาพ” (“คอนเส็บต์”ในภาษาอังกฤษ หรือ “ไก้เนี่ยน”ในภาษาจีน) สำคัญสองอย่างคือ “ธรรมจัดสรร” และ “สงครามมวลชน”
“จินตภาพ” ซึ่งเป็นความรับรู้ระดับลึกถึงแก่นแท้ของสิ่ง หรือ “กฎ” ที่กำกับการขับเคลื่อนของสิ่ง เมื่อนำมาประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชนตื่นรู้ ก็จะกลายเป็นอาวุธทางปัญญาที่ทรงพลานุภาพ ทำให้การต่อสู้ถูกทิศทาง การปฏิบัติได้ผลดี บรรลุสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้สำเร็จ ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้
กระนั้น “จินตภาพ” ทั้งสองนี้ ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ผู้เขียนจึงขอเรียกว่า“ปฐมบท”
ปฐมบท “ธรรมจัดสรร”
ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ในบทความเรื่อง “ธรรมจัดสรร จัดหนัก จัดเต็ม”(เว็บไซต์เอเอสทีวีผู้จัดการ วันที่ 27 มิถุนายน 2556) ว่า การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยที่กำลังดำเนินไป จะเป็นไปตาม “กฎ”กำหนดทางภววิสัย(ความจำต้องเป็นไปของประเทศไทย ในสังคมโลกยุค “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก”)อันเป็นเงื่อนไขภายนอก และความพยายามทางอัตวิสัยของคนเรา(การต่อสู้กันระหว่างขบวนการการเมืองภาคประชาชนกับกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ) อันเป็นเหตุปัจจัยภายใน
พอสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นไปตามการจัดสรรของ “ธรรม” หรือ “ธรรมจัดสรร” ที่ “ธรรมย่อมชนะอธรรม” ซึ่งจะปรากฏเป็นจริงได้ ก็ด้วยความพยายามของขบวนการภาคประชาชนที่แสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” นำการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้
อีกนัยหนึ่ง กระบวนการ “ธรรมจัดสรร” ที่กำลังก่อเกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้ มีองค์ประกอบสองส่วน คือส่วนที่เป็น “กฎภววิสัย” ซึ่งก็คือ “ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน” กับ ส่วนที่เป็น “ความพยายามทางอัตวิสัย” ซึ่งก็คือการต่อสู้กันของสองฝ่ายที่เป็นความขัดแย้งหลักขับเคลื่อนสังคมไทย ระหว่างฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ กับอีกฝ่ายหนึ่ง คือขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยฝ่ายแรกมุ่งหมายยึดครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อสถาปนา “รัฐไทยใหม่” ขณะที่ฝ่ายหลัง มุ่งกำจัดฝ่ายแรก เพื่อ “ปิดฉาก” การเมืองชั่วในระบบรัฐสภา แล้วสถาปนาการเมืองของประชาชนในระบบสภาประชาชน ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
อธิบายได้ว่า กระบวนการ “ธรรมจัดสรร” จะลงเอยในรูปใด ก็ขึ้นกับว่าฝ่ายใดทำได้ดีกว่า ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งถึงที่สุดแล้ว ฝ่าย “ธรรม” ย่อมชนะ ฝ่าย “อธรรม”
ฝ่าย “ธรรม” ก็คือขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่ประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจนว่า จะสามัคคีคนไทย “ทุกฝ่าย” ร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย นำประเทศไทยหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ อันเนื่องจากการครอบงำของอำนาจการเมืองฉ้อฉลเป็นสำคัญ
ในทางปฏิบัติ มุ่งสร้างความตื่นรู้ให้แก่มวลชน ให้รู้จริงถึงต้นตอของปัญหาวิกฤติของชาติและของประชาชน พร้อมกับนำเสนอทางออกที่ถูกต้อง สามารถทำได้สำเร็จจริง
ทั้งนี้ ณ วันนี้ ในบริบทที่สังคมโลกก้าวเข้าสู่ยุค “สันติภาพและการพัฒนา” “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” และการเมืองที่เป็น “ประชาธิปไตย”ของโลก ได้ค่อยๆย้ายจากระบบรัฐสภาที่ถือเอาผลประโยชน์กลุ่มทุนเป็นที่ตั้ง มาเป็นระบบรัฐสภาหรือระบบสภาประชาชนที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งแล้วนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่ยึดมั่นในทิศทางดังกล่าว จักต้องได้รับชัยชนะ
แน่ละ ในทางปฏิบัติที่เป็นจริง กว่าจะได้รับชัยชนะ พวกเขาจะต้องพัฒนาขบวนการฯให้เติบใหญ่ ดำเนินยุทธศาสตร์การต่อสู้อย่างชาญฉลาด เคลื่อนไหวต่อสู้สั่งสมชัยชนะ รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ทั้งปัญหาภายในที่จะต้องเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน และปัญหาภายนอกที่ถาโถมเข้าใส่แบบไม่ให้ตั้งตัวติด ได้ในทุกขั้นตอนของการขับเคลื่อน
ส่วนกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ เป็นฝ่าย “อธรรม” ถึงที่สุดแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ เพราะสิ่งที่พวกเขาคิดและทำ ล้วนแต่สวนทางกับทิศทางการขับเคลื่อนของยุคสมัย พวกเขาถือเอาผลประโยชน์กลุ่มตนเป็นตัวตั้ง ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ยึดครองที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาฯ ให้คนในครอบครัวขึ้นเป็นหัวหน้ารัฐบาล ให้ “ขี้ข้า”เป็นมือเป็นเท้า ดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการทุจริตโกงกินมากที่สุด ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลเสียหายให้แก่การพัฒนาประเทศชาติ และบั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนไทยโดยรวมเป็นอย่างมาก
แน่ละ พวกเขาจึงถูกประณาม ถูกเปิดโปง ถูกประท้วง โจมตี ขับไล่ จนเป็นที่รังเกียจของคนไทยทั่วไป และชาวโลกโดยรวม ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาจึงนับวันโดดเดี่ยว จะไปไม่รอด และจบเห่ !
ถึงตรงนี้ ก็พอจะสรุปได้แล้วว่า กระบวนการ “ธรรมจัดสรร” ในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่นี้ จะต้องลงเอยด้วยชัยชนะของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
ปฐมบท “สงครามมวลชน”
เมื่อพิจารณาถึงการขับเคลื่อนของขบวนการฯภาคประชาชน ในห้วงเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา โดยภาพรวม “เรา”เดินมาถูกทางแล้ว
ทั้งนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ได้พัฒนายุทธศาสตร์ยุทธวิธีการต่อสู้ที่ถูกต้อง ทรงอานุภาพมาเป็นลำดับ โดยยึดหลัก “จุดเทียนปัญญา” สร้างการตื่นรู้ให้แก่มวลชน จากนั้นก็ขยายตัวเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ดำเนิน “สงครามมวลชน”
นัยสำคัญของ “สงครามมวลชน” หลักๆก็คือ ทำการเคลื่อนไหว “จุดเทียนปัญญา” สร้างการ “ตื่นรู้”ในหมู่มวลชน ซึ่งการเผยแพร่ความจริงทางสื่อเอเอสทีวี เอฟเอ็มทีวี เป็นต้น ประสานไปกับการเคลื่อนไหวชุมนุมในเรื่องต่างๆ ตามสถานการณ์ของขบวนการมวลชนตื่นรู้ เช่นขบวนการพันธมิตรฯ จะค่อยๆส่งผลกระทบต่อ “พลังเงียบ” ที่นับวัน “ทนไม่ไหว” ต่อพฤติกรรมโฉดชั่วของนักการเมืองที่ใช้อำนาจบริหารประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลหุ่นเชิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในที่สุดก็จะนำไปสู่การระเบิดขึ้นของขบวนการใหม่ๆ อย่างใหญ่โตมโหฬาร และแผ่กว้างออกไปในทุกมิติของสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจ “เลือกข้าง” ของผู้มีจิตใจรักความถูกต้อง มีวิสัยทัศน์ยาวไกล ในกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งในกลไกอำนาจรัฐ(ทหาร ตำรวจ ฯลฯ) กลไกอำนาจสังคม (สื่อฯ สถาบันการศึกษา/วิจัย ฯลฯ) และกลไกอำนาจธุรกิจ (สมาคมการค้า การธนาคาร อุตสาหกรรม ฯลฯ)
สรุปได้ว่า ณ วันนี้ “สงครามมวลชน” มีแนวโน้มที่จะแสดงให้เห็นถึง “กฎเกณฑ์”การขับเคลื่อนของตน ออกมาเป็น 3 ระลอกใหญ่
ระลอกที่หนึ่ง นำโดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน ปี 2548 – เดือนพฤษภาคม ปี2556
เป็นกระบวนการสร้างความตื่นรู้ขึ้นในหมู่ผู้ที่มีความตื่นตัวทางการเมือง ที่สั่งสมประสบการณ์จากการเข้าร่วมการเคลื่อนไหวต่อสู้ตั้งแต่ยุค “14 ตุลาฯ” เป็นต้นมา องค์ประกอบของมวลชนตื่นรู้จึงเป็นผู้ “สูงวัย” เป็นส่วนใหญ่ อาจเรียกพวกเขาได้ว่า เป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้ผู้สูงวัย”
การสร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้ผู้สูงวัย” ด้วยวิธีการ “จุดเทียนปัญญา” และเคลื่อนไหวดำเนิน “สงครามมวลชน” อย่างต่อเนื่อง “ตามสถานการณ์”ที่เอื้ออำนวยให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ในปี 2551 รวม 193 วัน บวกกับความเหิมเกริมของทักษิณและพวกในห้วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2552-2553 ถึงกับทำการฆ่าทหารและเผาบ้านเผาเมือง ตลอดจนการดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการทุจริตโกงกินอย่างขนานใหญ่ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบไปยังกลุ่ม “พลังเงียบ” ในสังคม เกิดบรรยากาศของความ “ทนไม่ไหว” เป็นระลอกๆ ในวงกว้างยิ่งขึ้น ในที่สุดก็ระเบิดออกมาเป็นกลุ่มคนในโลกไซเบอร์ที่ประกาศตนเป็น “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” มุ่ง “ล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย”
ระลอกที่สอง นำโดยกองทัพประชาชนหน้ากากขาว ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน 2556 จนถึงปัจจุบัน
เมื่อ “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” กระโดดลงสู่ท้องถนน นัดชุมนุมกันทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แพร่กระจายไปทั่วประเทศและในอีกหลายประเทศ ภายในระยะเวลาอันสั้น ดุจ “ไฟลามทุ่ง” สถานการณ์โดยรวมของการต่อสู้ระหว่างฝ่าย “ธรรม” กับฝ่าย “อธรรม” ก็พลิกผันไป ขบวนการการเมืองภาคประชาชนมีความเป็นต่อทางยุทธศาสตร์อย่างเห็นได้ชัด
การขับเคลื่อนของ “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” ดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยสถานการณ์ “สุกงอม” เป็นใจ กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณได้ตกเข้าสู่สภาวะ “ขาลง” ไม่พร้อมต่อสู้ ขณะที่ขบวนการฯภาคประชาชนได้ก้าวเข้าสู่สภาวะ “ขาขึ้น” พร้อมต่อสู้
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขบวนการฯภาคประชาชนสามารถขับเคลื่อนการต่อสู้ได้อย่างต่อเนื่อง สามารถ “สร้างสถานการณ์” หรือ “เงื่อนไข” ใหม่ๆขึ้นมารองรับการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างไม่ขาดสาย
นี่คือจุดเด่นของการทำ “สงครามมวลชน” ระลอกที่สอง
ณ วันนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้ยกระดับขึ้นสู่มาตรฐานใหม่ โดยผู้เข้าร่วมมาจากทุกสารทิศ ทุกเพศวัย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ส่งผลให้เกิดความเป็นต่อทางยุทธศาสตร์อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งยากที่กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณจะเอาชนะได้
อีกทั้ง การต่อสู้ระลอกนี้ จะส่งผลให้เกิดการต่อสู้ระลอกที่สามได้ในห้วงเวลาที่คาดหวังได้ ไม่ยืดเยื้อดังที่เป็นมาแล้วในระหว่างระลอกที่หนึ่งกับระลอกที่สอง
ปัจจุบันนี้ ได้เริ่มมี “หน่ออ่อน” ของการต่อสู้ระลอกใหม่ปรากฏออกมาแล้ว
ระลอกที่สาม ปัจจุบัน เริ่มปรากฏว่า มีผู้รู้ของสำนักต่างๆ เช่นอาจารย์อัมมาร สยามวาลา อาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร ของสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) หรือคุณสุภา ปิยะจิตติ ของกระทรวงการคลัง ได้ก้าวออกมายืนอยู่หน้าแถว นำเสนอข้อมูลและบทสรุปที่ถูกต้องเป็นจริง ยืนยันในการทุจริตเรื่องจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างชัดเจน
ความกล้ายืนหยัดในความเป็นจริงและความถูกต้องของบุคคลระดับนี้ บวกกับการขับเคลื่อนของนักวิชาการ และข้าราชการ “น้ำดี”ในแวดวงต่างๆที่มีอยู่เดิม จะขับเคลื่อนให้บุคคลระดับนำในวงการต่างๆ ทั้งที่เป็นกลไกอำนาจรัฐ กลไกอำนาจสังคม และกลไกอำนาจธุรกิจ แสดงจุดยืน สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ที่นำโดยขบวนการการเมืองภาคประชาชน ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น เมื่อใดที่ “ทุกฝ่าย” บรรลุเอกภาพทางการเมือง ชูธง “ล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย” มุ่งเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย การดำเนิน “สงครามมวลชน”ก็จะพุ่งสู่จุดสูงสุด
เมื่อนั้น การเผด็จศึกระบอบทักษิณด้วย “สงครามมวลชน” ก็จะปรากฏเป็นจริง !
ในบทนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอความเข้าใจในแก่นแท้ของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่ดำเนินมาร่วมแปดปีเต็ม ในรูปของ “จินตภาพ” (“คอนเส็บต์”ในภาษาอังกฤษ หรือ “ไก้เนี่ยน”ในภาษาจีน) สำคัญสองอย่างคือ “ธรรมจัดสรร” และ “สงครามมวลชน”
“จินตภาพ” ซึ่งเป็นความรับรู้ระดับลึกถึงแก่นแท้ของสิ่ง หรือ “กฎ” ที่กำกับการขับเคลื่อนของสิ่ง เมื่อนำมาประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชนตื่นรู้ ก็จะกลายเป็นอาวุธทางปัญญาที่ทรงพลานุภาพ ทำให้การต่อสู้ถูกทิศทาง การปฏิบัติได้ผลดี บรรลุสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้สำเร็จ ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้
กระนั้น “จินตภาพ” ทั้งสองนี้ ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ผู้เขียนจึงขอเรียกว่า“ปฐมบท”
ปฐมบท “ธรรมจัดสรร”
ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ในบทความเรื่อง “ธรรมจัดสรร จัดหนัก จัดเต็ม”(เว็บไซต์เอเอสทีวีผู้จัดการ วันที่ 27 มิถุนายน 2556) ว่า การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยที่กำลังดำเนินไป จะเป็นไปตาม “กฎ”กำหนดทางภววิสัย(ความจำต้องเป็นไปของประเทศไทย ในสังคมโลกยุค “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก”)อันเป็นเงื่อนไขภายนอก และความพยายามทางอัตวิสัยของคนเรา(การต่อสู้กันระหว่างขบวนการการเมืองภาคประชาชนกับกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ) อันเป็นเหตุปัจจัยภายใน
พอสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นไปตามการจัดสรรของ “ธรรม” หรือ “ธรรมจัดสรร” ที่ “ธรรมย่อมชนะอธรรม” ซึ่งจะปรากฏเป็นจริงได้ ก็ด้วยความพยายามของขบวนการภาคประชาชนที่แสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” นำการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้
อีกนัยหนึ่ง กระบวนการ “ธรรมจัดสรร” ที่กำลังก่อเกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้ มีองค์ประกอบสองส่วน คือส่วนที่เป็น “กฎภววิสัย” ซึ่งก็คือ “ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน” กับ ส่วนที่เป็น “ความพยายามทางอัตวิสัย” ซึ่งก็คือการต่อสู้กันของสองฝ่ายที่เป็นความขัดแย้งหลักขับเคลื่อนสังคมไทย ระหว่างฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ กับอีกฝ่ายหนึ่ง คือขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยฝ่ายแรกมุ่งหมายยึดครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อสถาปนา “รัฐไทยใหม่” ขณะที่ฝ่ายหลัง มุ่งกำจัดฝ่ายแรก เพื่อ “ปิดฉาก” การเมืองชั่วในระบบรัฐสภา แล้วสถาปนาการเมืองของประชาชนในระบบสภาประชาชน ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
อธิบายได้ว่า กระบวนการ “ธรรมจัดสรร” จะลงเอยในรูปใด ก็ขึ้นกับว่าฝ่ายใดทำได้ดีกว่า ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งถึงที่สุดแล้ว ฝ่าย “ธรรม” ย่อมชนะ ฝ่าย “อธรรม”
ฝ่าย “ธรรม” ก็คือขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่ประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจนว่า จะสามัคคีคนไทย “ทุกฝ่าย” ร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย นำประเทศไทยหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ อันเนื่องจากการครอบงำของอำนาจการเมืองฉ้อฉลเป็นสำคัญ
ในทางปฏิบัติ มุ่งสร้างความตื่นรู้ให้แก่มวลชน ให้รู้จริงถึงต้นตอของปัญหาวิกฤติของชาติและของประชาชน พร้อมกับนำเสนอทางออกที่ถูกต้อง สามารถทำได้สำเร็จจริง
ทั้งนี้ ณ วันนี้ ในบริบทที่สังคมโลกก้าวเข้าสู่ยุค “สันติภาพและการพัฒนา” “ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก” และการเมืองที่เป็น “ประชาธิปไตย”ของโลก ได้ค่อยๆย้ายจากระบบรัฐสภาที่ถือเอาผลประโยชน์กลุ่มทุนเป็นที่ตั้ง มาเป็นระบบรัฐสภาหรือระบบสภาประชาชนที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งแล้วนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่ยึดมั่นในทิศทางดังกล่าว จักต้องได้รับชัยชนะ
แน่ละ ในทางปฏิบัติที่เป็นจริง กว่าจะได้รับชัยชนะ พวกเขาจะต้องพัฒนาขบวนการฯให้เติบใหญ่ ดำเนินยุทธศาสตร์การต่อสู้อย่างชาญฉลาด เคลื่อนไหวต่อสู้สั่งสมชัยชนะ รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ทั้งปัญหาภายในที่จะต้องเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน และปัญหาภายนอกที่ถาโถมเข้าใส่แบบไม่ให้ตั้งตัวติด ได้ในทุกขั้นตอนของการขับเคลื่อน
ส่วนกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ เป็นฝ่าย “อธรรม” ถึงที่สุดแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ เพราะสิ่งที่พวกเขาคิดและทำ ล้วนแต่สวนทางกับทิศทางการขับเคลื่อนของยุคสมัย พวกเขาถือเอาผลประโยชน์กลุ่มตนเป็นตัวตั้ง ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ยึดครองที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาฯ ให้คนในครอบครัวขึ้นเป็นหัวหน้ารัฐบาล ให้ “ขี้ข้า”เป็นมือเป็นเท้า ดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการทุจริตโกงกินมากที่สุด ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลเสียหายให้แก่การพัฒนาประเทศชาติ และบั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนไทยโดยรวมเป็นอย่างมาก
แน่ละ พวกเขาจึงถูกประณาม ถูกเปิดโปง ถูกประท้วง โจมตี ขับไล่ จนเป็นที่รังเกียจของคนไทยทั่วไป และชาวโลกโดยรวม ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาจึงนับวันโดดเดี่ยว จะไปไม่รอด และจบเห่ !
ถึงตรงนี้ ก็พอจะสรุปได้แล้วว่า กระบวนการ “ธรรมจัดสรร” ในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่นี้ จะต้องลงเอยด้วยชัยชนะของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
ปฐมบท “สงครามมวลชน”
เมื่อพิจารณาถึงการขับเคลื่อนของขบวนการฯภาคประชาชน ในห้วงเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา โดยภาพรวม “เรา”เดินมาถูกทางแล้ว
ทั้งนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ได้พัฒนายุทธศาสตร์ยุทธวิธีการต่อสู้ที่ถูกต้อง ทรงอานุภาพมาเป็นลำดับ โดยยึดหลัก “จุดเทียนปัญญา” สร้างการตื่นรู้ให้แก่มวลชน จากนั้นก็ขยายตัวเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ดำเนิน “สงครามมวลชน”
นัยสำคัญของ “สงครามมวลชน” หลักๆก็คือ ทำการเคลื่อนไหว “จุดเทียนปัญญา” สร้างการ “ตื่นรู้”ในหมู่มวลชน ซึ่งการเผยแพร่ความจริงทางสื่อเอเอสทีวี เอฟเอ็มทีวี เป็นต้น ประสานไปกับการเคลื่อนไหวชุมนุมในเรื่องต่างๆ ตามสถานการณ์ของขบวนการมวลชนตื่นรู้ เช่นขบวนการพันธมิตรฯ จะค่อยๆส่งผลกระทบต่อ “พลังเงียบ” ที่นับวัน “ทนไม่ไหว” ต่อพฤติกรรมโฉดชั่วของนักการเมืองที่ใช้อำนาจบริหารประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลหุ่นเชิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในที่สุดก็จะนำไปสู่การระเบิดขึ้นของขบวนการใหม่ๆ อย่างใหญ่โตมโหฬาร และแผ่กว้างออกไปในทุกมิติของสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจ “เลือกข้าง” ของผู้มีจิตใจรักความถูกต้อง มีวิสัยทัศน์ยาวไกล ในกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งในกลไกอำนาจรัฐ(ทหาร ตำรวจ ฯลฯ) กลไกอำนาจสังคม (สื่อฯ สถาบันการศึกษา/วิจัย ฯลฯ) และกลไกอำนาจธุรกิจ (สมาคมการค้า การธนาคาร อุตสาหกรรม ฯลฯ)
สรุปได้ว่า ณ วันนี้ “สงครามมวลชน” มีแนวโน้มที่จะแสดงให้เห็นถึง “กฎเกณฑ์”การขับเคลื่อนของตน ออกมาเป็น 3 ระลอกใหญ่
ระลอกที่หนึ่ง นำโดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน ปี 2548 – เดือนพฤษภาคม ปี2556
เป็นกระบวนการสร้างความตื่นรู้ขึ้นในหมู่ผู้ที่มีความตื่นตัวทางการเมือง ที่สั่งสมประสบการณ์จากการเข้าร่วมการเคลื่อนไหวต่อสู้ตั้งแต่ยุค “14 ตุลาฯ” เป็นต้นมา องค์ประกอบของมวลชนตื่นรู้จึงเป็นผู้ “สูงวัย” เป็นส่วนใหญ่ อาจเรียกพวกเขาได้ว่า เป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้ผู้สูงวัย”
การสร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้ผู้สูงวัย” ด้วยวิธีการ “จุดเทียนปัญญา” และเคลื่อนไหวดำเนิน “สงครามมวลชน” อย่างต่อเนื่อง “ตามสถานการณ์”ที่เอื้ออำนวยให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ในปี 2551 รวม 193 วัน บวกกับความเหิมเกริมของทักษิณและพวกในห้วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2552-2553 ถึงกับทำการฆ่าทหารและเผาบ้านเผาเมือง ตลอดจนการดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการทุจริตโกงกินอย่างขนานใหญ่ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบไปยังกลุ่ม “พลังเงียบ” ในสังคม เกิดบรรยากาศของความ “ทนไม่ไหว” เป็นระลอกๆ ในวงกว้างยิ่งขึ้น ในที่สุดก็ระเบิดออกมาเป็นกลุ่มคนในโลกไซเบอร์ที่ประกาศตนเป็น “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” มุ่ง “ล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย”
ระลอกที่สอง นำโดยกองทัพประชาชนหน้ากากขาว ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน 2556 จนถึงปัจจุบัน
เมื่อ “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” กระโดดลงสู่ท้องถนน นัดชุมนุมกันทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แพร่กระจายไปทั่วประเทศและในอีกหลายประเทศ ภายในระยะเวลาอันสั้น ดุจ “ไฟลามทุ่ง” สถานการณ์โดยรวมของการต่อสู้ระหว่างฝ่าย “ธรรม” กับฝ่าย “อธรรม” ก็พลิกผันไป ขบวนการการเมืองภาคประชาชนมีความเป็นต่อทางยุทธศาสตร์อย่างเห็นได้ชัด
การขับเคลื่อนของ “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” ดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยสถานการณ์ “สุกงอม” เป็นใจ กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณได้ตกเข้าสู่สภาวะ “ขาลง” ไม่พร้อมต่อสู้ ขณะที่ขบวนการฯภาคประชาชนได้ก้าวเข้าสู่สภาวะ “ขาขึ้น” พร้อมต่อสู้
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขบวนการฯภาคประชาชนสามารถขับเคลื่อนการต่อสู้ได้อย่างต่อเนื่อง สามารถ “สร้างสถานการณ์” หรือ “เงื่อนไข” ใหม่ๆขึ้นมารองรับการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างไม่ขาดสาย
นี่คือจุดเด่นของการทำ “สงครามมวลชน” ระลอกที่สอง
ณ วันนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้ยกระดับขึ้นสู่มาตรฐานใหม่ โดยผู้เข้าร่วมมาจากทุกสารทิศ ทุกเพศวัย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ส่งผลให้เกิดความเป็นต่อทางยุทธศาสตร์อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งยากที่กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณจะเอาชนะได้
อีกทั้ง การต่อสู้ระลอกนี้ จะส่งผลให้เกิดการต่อสู้ระลอกที่สามได้ในห้วงเวลาที่คาดหวังได้ ไม่ยืดเยื้อดังที่เป็นมาแล้วในระหว่างระลอกที่หนึ่งกับระลอกที่สอง
ปัจจุบันนี้ ได้เริ่มมี “หน่ออ่อน” ของการต่อสู้ระลอกใหม่ปรากฏออกมาแล้ว
ระลอกที่สาม ปัจจุบัน เริ่มปรากฏว่า มีผู้รู้ของสำนักต่างๆ เช่นอาจารย์อัมมาร สยามวาลา อาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร ของสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) หรือคุณสุภา ปิยะจิตติ ของกระทรวงการคลัง ได้ก้าวออกมายืนอยู่หน้าแถว นำเสนอข้อมูลและบทสรุปที่ถูกต้องเป็นจริง ยืนยันในการทุจริตเรื่องจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างชัดเจน
ความกล้ายืนหยัดในความเป็นจริงและความถูกต้องของบุคคลระดับนี้ บวกกับการขับเคลื่อนของนักวิชาการ และข้าราชการ “น้ำดี”ในแวดวงต่างๆที่มีอยู่เดิม จะขับเคลื่อนให้บุคคลระดับนำในวงการต่างๆ ทั้งที่เป็นกลไกอำนาจรัฐ กลไกอำนาจสังคม และกลไกอำนาจธุรกิจ แสดงจุดยืน สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ที่นำโดยขบวนการการเมืองภาคประชาชน ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น เมื่อใดที่ “ทุกฝ่าย” บรรลุเอกภาพทางการเมือง ชูธง “ล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย” มุ่งเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย การดำเนิน “สงครามมวลชน”ก็จะพุ่งสู่จุดสูงสุด
เมื่อนั้น การเผด็จศึกระบอบทักษิณด้วย “สงครามมวลชน” ก็จะปรากฏเป็นจริง !