--“ทุกฝ่าย” ร่วมชูธง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย”
ณ วันนี้ “วาระ”ของสังคมไทย ได้ก้าวมาถึงจุดที่จะต้อง “แก้ปัญหาชาติ” กันแล้ว และการก่อตั้ง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ก็เป็นมาตรการหรือ “จังหวะก้าว”ที่สำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนกระบวนการ “แก้ปัญหาชาติ” นี้
การแก้ปัญหาชาติ ก็คือการแก้ที่ “ปม” ที่ต้นเหตุ มิใช่แก้ที่ปลายเหตุ หรือแก้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ประเด็นใดประเด็นโดยเฉพาะ
เพื่อการนี้ “ทุกฝ่าย” จึงต้องละจากการมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะเรื่อง ต่างคนต่างสู้ มาเป็นร่วมกันแก้ปัญหา “ปม” ซึ่งจะทำได้จริง ก็ต้องยึดปฏิบัติในหลัก “ 3 ธรรม” (เข้าถึงธรรม เดินทางธรรม สร้างทางธรรม) และสร้าง “ 3 เอกภาพ” (เอกภาพทางความคิด เอกภาพทางการเมือง เอกภาพทางการจัดตั้ง)ขึ้นมาในขบวนการประชาชนฯ
กล่าวได้ว่า การถือกำเนิดของ “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” เป็นผลเบื้องต้นของการปฏิบัติ “3 ธรรม” และความเป็น “ 3 เอกภาพ” ภายในขบวนการประชาชนฯโดยตรง
อีกนัยหนึ่ง การปฏิบัติ “ 3 ธรรม” บรรลุ “3 เอกภาพ” และการชูธง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ก็คือกระบวนการที่จะนำไปสู่การ “แก้ปัญหาชาติ” อย่างแท้จริง !
1. ใช้หลัก “ 3 ธรรม” ชี้นำการแก้ปัญหา
ประเทศไทยมีปัญหา ถึงขั้นที่ไม่แก้ไม่ได้ นั่นคือเหตุที่มาของข้อวินิจฉัยของผู้เขียนที่นำเสนอสู่สังคมไทยมาเป็นระยะๆว่า “ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน” อันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปใหญ่ในทุกๆ ด้าน
ปัญหาของประเทศไทย มีลักษณะเฉพาะ คือนักการเมืองในระบบรัฐสภาเป็นเหตุที่มาของปัญหาต่างๆ เป็น “ปม”ของปัญหาประเทศไทย ที่สั่งสมเกาะเกี่ยวกันมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 และปัจจุบันได้กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการขับเคลื่อนโดยรวมของประเทศไทย ทำให้ไม่เกิดการพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกที่ควร คนไทยส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร ตรงกันข้าม กลับสูญเสียโอกาสมากมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็น “ปัญหาของชาติ” ที่ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยนักการเมืองในระบบรัฐสภาและระบบรัฐสภาที่ตกอยู่ในการครอบงำของกลุ่มทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ
อีกนัยหนึ่ง ปัญหาของชาติจะไม่อาจแก้ไขได้ด้วยตัวเหตุแห่งปัญหาของชาติ หากแต่จะต้องแก้ไขด้วยการขจัดตัวเหตุเหล่านั้นให้หมดสิ้นไป ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ด้วยการรวมตัวกันเข้าของ “ทุกฝ่าย” ที่ “ตื่นรู้” ในเหตุแห่งปัญหาของชาติ ดำเนินการเคลื่อนไหว เสริมสร้าง “พลังอำนาจดี” ให้กลายเป็น “อำนาจกำหนด” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคนไทยโดยรวม โดยถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง
ในบริบทดังกล่าว การต่อสู้ทางการเมือง ระหว่างขบวนการประชาชนฯที่เป็น “อำนาจกำหนดใหม่” กับกลุ่มอำนาจนักการเมืองในระบบรัฐสภาที่เป็น “อำนาจกำหนดเก่า” จึงโดดเด่นมาโดยตลอด
ปัจจุบัน การต่อสู้กันระหว่างอำนาจกำหนด “เก่า” และ “ใหม่”นี้ ได้กลายเป็นปัจจัยกำหนดลักษณะสังคมไทย ให้เป็นสังคมระยะเปลี่ยนผ่าน ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน !
สะท้อนถึงสภาวะการดำรงอยู่ของ “กฎภววิสัย” (ธรรมจัดสรร) กำกับการขับเคลื่อนของสังคมไทย ให้ก้าวไปถึง “จุดเปลี่ยน” อย่างแน่นอน !
นี่คือสัจธรรม ที่เป็น “ความจริง”ระดับแก่นแท้ ที่เราจะต้องเข้าถึง (เข้าถึงธรรม)
บนฐานดังกล่าว ในทางความคิด บรรดาผู้ “ตื่นรู้” (เข้าถึงธรรม)ทั้งหลาย จะต้องกำหนดแนวคิดทิศทางการขับเคลื่อนอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงระดับธรรมที่เรา “เข้าถึง” ทั้งนี้แนวทางปฏิบัติต้องชัดเจน ไม่สับสน ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง รวมทั้งต้องสันทัดในการสรุปบทเรียนและประมวลผลจากการปฏิบัติ ทั้งด้านบวกและลบเป็นระยะๆ กระทั่งนำไปสู่การ “นวัตกรรม” แนวคิดทิศทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีใหม่ๆได้อย่างไม่ขาดสาย (เดินทางธรรม)
ในทางปฏิบัติ จะต้องดำเนินไปตามทิศทางหรือแผนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่กำหนดไว้อย่างจริงจัง และต้องไวในการปรับรูปแบบวิธีการ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ตามเหตุปัจจัยที่เกิดใหม่และดับไปอยู่เสมอ (สร้างทางธรรม)
ด้วยหลัก “ 3 ธรรม” (เข้าถึงธรรม เดินทางธรรม สร้างทางธรรม)นี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนจะพัฒนาเติบใหญ่ แสดงบทบาทของความเป็น“อำนาจกำหนดใหม่” ต่อสู้เอาชนะ “อำนาจกำหนดเก่า” ได้ในทุกขั้นตอนของระยะเปลี่ยนผ่าน และประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาของชาติในที่สุด
2. ชูธง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย”
ในห้วงที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการเคลื่อนไหวต่อสู้ การ “จุดเทียนปัญญา” ตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 – เดือนสิงหาคม 2556 ดำเนินมาอย่างได้ผล สามารถสร้างความตื่นรู้ให้แก่มวลชนพันธมิตรฯอย่างต่อเนื่อง และเป็นเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของกองทัพประชาชนหน้ากากขาว และกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ กระทั่งบรรลุสู่ความเป็นเอกภาพทางการเมืองครั้งใหญ่ในขบวนการการเมืองภาคประชาชน เมื่อ “ทุกฝ่าย” ตั้งเป้าการเคลื่อนไหวต่อสู้ไว้ที่ “โค่นล้มระบอบทักษิณ” ยังผลให้ขบวนการการเมืองภาคประชาชน มีแนวโน้มขยายตัวเติบใหญ่แบบก้าวกระโดด ที่จะนำไปสู่การบรรลุความเป็นเอกภาพทางความคิด การเมือง และการจัดตั้ง( 3 เอกภาพ)ได้อย่างแท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการจัดชุมนุมแบบถาวรที่สวนลุมพินี โดยกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณและกองทัพธรรม ชูธง “โค่นระบอบทักษิณ ปฏิรูปประเทศไทย” ที่มีมวลชนพันธมิตรฯและมวลชน “ทนไม่ไหว” จำนวนมากเข้าร่วม และการประกาศยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯ ได้นำไปสู่การปรับตัวครั้งใหญ่ของขบวนการประชาชนฯ โดย “ทุกฝ่าย” ที่กำลังร่วมคิดร่วมทำ ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองภาคประชาชน ในบริบทของ “สถานการณ์สู้รบ” ได้ทำการปรึกษาหารือ กระทั่งนำไปสู่ความเป็นเอกภาพทางความคิด เห็นความจำเป็นของการสร้างความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้ง จึงได้ร่วมกันก่อตั้ง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ขึ้นมา เป็นองค์กรร่วมและธงนำสำหรับการเคลื่อนไหวต่อสู้ “โค่นล้มระบอบทักษิณ ปฏิรูปประเทศไทย”
สามารถกล่าวได้ว่า ณ บัดนี้ การแก้ไขปัญหาของชาติ ที่ขับเคลื่อนโดยขบวนการการเมืองภาคประชาชนมาอย่างต่อเนื่องร่วมแปดปี ก็ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นใหม่ ด้วยคุณภาพใหม่ เพราะมีองค์กรนำร่วมอย่างเป็นตัวเป็นตน นาม “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย”
“ทุกฝ่าย” จงร่วมชูธง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” !
ณ วันนี้ “วาระ”ของสังคมไทย ได้ก้าวมาถึงจุดที่จะต้อง “แก้ปัญหาชาติ” กันแล้ว และการก่อตั้ง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ก็เป็นมาตรการหรือ “จังหวะก้าว”ที่สำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนกระบวนการ “แก้ปัญหาชาติ” นี้
การแก้ปัญหาชาติ ก็คือการแก้ที่ “ปม” ที่ต้นเหตุ มิใช่แก้ที่ปลายเหตุ หรือแก้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ประเด็นใดประเด็นโดยเฉพาะ
เพื่อการนี้ “ทุกฝ่าย” จึงต้องละจากการมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะเรื่อง ต่างคนต่างสู้ มาเป็นร่วมกันแก้ปัญหา “ปม” ซึ่งจะทำได้จริง ก็ต้องยึดปฏิบัติในหลัก “ 3 ธรรม” (เข้าถึงธรรม เดินทางธรรม สร้างทางธรรม) และสร้าง “ 3 เอกภาพ” (เอกภาพทางความคิด เอกภาพทางการเมือง เอกภาพทางการจัดตั้ง)ขึ้นมาในขบวนการประชาชนฯ
กล่าวได้ว่า การถือกำเนิดของ “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” เป็นผลเบื้องต้นของการปฏิบัติ “3 ธรรม” และความเป็น “ 3 เอกภาพ” ภายในขบวนการประชาชนฯโดยตรง
อีกนัยหนึ่ง การปฏิบัติ “ 3 ธรรม” บรรลุ “3 เอกภาพ” และการชูธง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ก็คือกระบวนการที่จะนำไปสู่การ “แก้ปัญหาชาติ” อย่างแท้จริง !
1. ใช้หลัก “ 3 ธรรม” ชี้นำการแก้ปัญหา
ประเทศไทยมีปัญหา ถึงขั้นที่ไม่แก้ไม่ได้ นั่นคือเหตุที่มาของข้อวินิจฉัยของผู้เขียนที่นำเสนอสู่สังคมไทยมาเป็นระยะๆว่า “ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน” อันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปใหญ่ในทุกๆ ด้าน
ปัญหาของประเทศไทย มีลักษณะเฉพาะ คือนักการเมืองในระบบรัฐสภาเป็นเหตุที่มาของปัญหาต่างๆ เป็น “ปม”ของปัญหาประเทศไทย ที่สั่งสมเกาะเกี่ยวกันมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 และปัจจุบันได้กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการขับเคลื่อนโดยรวมของประเทศไทย ทำให้ไม่เกิดการพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกที่ควร คนไทยส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร ตรงกันข้าม กลับสูญเสียโอกาสมากมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็น “ปัญหาของชาติ” ที่ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยนักการเมืองในระบบรัฐสภาและระบบรัฐสภาที่ตกอยู่ในการครอบงำของกลุ่มทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ
อีกนัยหนึ่ง ปัญหาของชาติจะไม่อาจแก้ไขได้ด้วยตัวเหตุแห่งปัญหาของชาติ หากแต่จะต้องแก้ไขด้วยการขจัดตัวเหตุเหล่านั้นให้หมดสิ้นไป ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ด้วยการรวมตัวกันเข้าของ “ทุกฝ่าย” ที่ “ตื่นรู้” ในเหตุแห่งปัญหาของชาติ ดำเนินการเคลื่อนไหว เสริมสร้าง “พลังอำนาจดี” ให้กลายเป็น “อำนาจกำหนด” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคนไทยโดยรวม โดยถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง
ในบริบทดังกล่าว การต่อสู้ทางการเมือง ระหว่างขบวนการประชาชนฯที่เป็น “อำนาจกำหนดใหม่” กับกลุ่มอำนาจนักการเมืองในระบบรัฐสภาที่เป็น “อำนาจกำหนดเก่า” จึงโดดเด่นมาโดยตลอด
ปัจจุบัน การต่อสู้กันระหว่างอำนาจกำหนด “เก่า” และ “ใหม่”นี้ ได้กลายเป็นปัจจัยกำหนดลักษณะสังคมไทย ให้เป็นสังคมระยะเปลี่ยนผ่าน ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน !
สะท้อนถึงสภาวะการดำรงอยู่ของ “กฎภววิสัย” (ธรรมจัดสรร) กำกับการขับเคลื่อนของสังคมไทย ให้ก้าวไปถึง “จุดเปลี่ยน” อย่างแน่นอน !
นี่คือสัจธรรม ที่เป็น “ความจริง”ระดับแก่นแท้ ที่เราจะต้องเข้าถึง (เข้าถึงธรรม)
บนฐานดังกล่าว ในทางความคิด บรรดาผู้ “ตื่นรู้” (เข้าถึงธรรม)ทั้งหลาย จะต้องกำหนดแนวคิดทิศทางการขับเคลื่อนอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงระดับธรรมที่เรา “เข้าถึง” ทั้งนี้แนวทางปฏิบัติต้องชัดเจน ไม่สับสน ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง รวมทั้งต้องสันทัดในการสรุปบทเรียนและประมวลผลจากการปฏิบัติ ทั้งด้านบวกและลบเป็นระยะๆ กระทั่งนำไปสู่การ “นวัตกรรม” แนวคิดทิศทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีใหม่ๆได้อย่างไม่ขาดสาย (เดินทางธรรม)
ในทางปฏิบัติ จะต้องดำเนินไปตามทิศทางหรือแผนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่กำหนดไว้อย่างจริงจัง และต้องไวในการปรับรูปแบบวิธีการ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ตามเหตุปัจจัยที่เกิดใหม่และดับไปอยู่เสมอ (สร้างทางธรรม)
ด้วยหลัก “ 3 ธรรม” (เข้าถึงธรรม เดินทางธรรม สร้างทางธรรม)นี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนจะพัฒนาเติบใหญ่ แสดงบทบาทของความเป็น“อำนาจกำหนดใหม่” ต่อสู้เอาชนะ “อำนาจกำหนดเก่า” ได้ในทุกขั้นตอนของระยะเปลี่ยนผ่าน และประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาของชาติในที่สุด
2. ชูธง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย”
ในห้วงที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการเคลื่อนไหวต่อสู้ การ “จุดเทียนปัญญา” ตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 – เดือนสิงหาคม 2556 ดำเนินมาอย่างได้ผล สามารถสร้างความตื่นรู้ให้แก่มวลชนพันธมิตรฯอย่างต่อเนื่อง และเป็นเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของกองทัพประชาชนหน้ากากขาว และกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ กระทั่งบรรลุสู่ความเป็นเอกภาพทางการเมืองครั้งใหญ่ในขบวนการการเมืองภาคประชาชน เมื่อ “ทุกฝ่าย” ตั้งเป้าการเคลื่อนไหวต่อสู้ไว้ที่ “โค่นล้มระบอบทักษิณ” ยังผลให้ขบวนการการเมืองภาคประชาชน มีแนวโน้มขยายตัวเติบใหญ่แบบก้าวกระโดด ที่จะนำไปสู่การบรรลุความเป็นเอกภาพทางความคิด การเมือง และการจัดตั้ง( 3 เอกภาพ)ได้อย่างแท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการจัดชุมนุมแบบถาวรที่สวนลุมพินี โดยกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณและกองทัพธรรม ชูธง “โค่นระบอบทักษิณ ปฏิรูปประเทศไทย” ที่มีมวลชนพันธมิตรฯและมวลชน “ทนไม่ไหว” จำนวนมากเข้าร่วม และการประกาศยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯ ได้นำไปสู่การปรับตัวครั้งใหญ่ของขบวนการประชาชนฯ โดย “ทุกฝ่าย” ที่กำลังร่วมคิดร่วมทำ ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองภาคประชาชน ในบริบทของ “สถานการณ์สู้รบ” ได้ทำการปรึกษาหารือ กระทั่งนำไปสู่ความเป็นเอกภาพทางความคิด เห็นความจำเป็นของการสร้างความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้ง จึงได้ร่วมกันก่อตั้ง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” ขึ้นมา เป็นองค์กรร่วมและธงนำสำหรับการเคลื่อนไหวต่อสู้ “โค่นล้มระบอบทักษิณ ปฏิรูปประเทศไทย”
สามารถกล่าวได้ว่า ณ บัดนี้ การแก้ไขปัญหาของชาติ ที่ขับเคลื่อนโดยขบวนการการเมืองภาคประชาชนมาอย่างต่อเนื่องร่วมแปดปี ก็ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นใหม่ ด้วยคุณภาพใหม่ เพราะมีองค์กรนำร่วมอย่างเป็นตัวเป็นตน นาม “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย”
“ทุกฝ่าย” จงร่วมชูธง “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” !