(20 ส.ค.56)
“3 ธรรม” ที่ว่า ก็คือ 1. เข้าถึงธรรม 2.เดินทางธรรม 3.สร้างทางธรรม
เข้าถึงธรรม
ก็คือ เข้าถึงความจริงระดับ “ธรรม” คือไม่ติดอยู่กับปรากฏการณ์รูปธรรมผิวเผินที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลา แต่ลงลึกถึงแก่นแท้หรือธาตุแท้ของสิ่ง เห็นถึงเหตุปัจจัยหรือปัจจัยกำหนดที่ทำให้สิ่งนั้นๆเป็นอยู่และเป็นไปในลักษณะที่เป็นกฎเป็นเกณฑ์ที่แน่นอน (ในทางปรัชญาเรียกว่า “กฎภววิสัย”) โดยเห็นถึงความสัมพันธ์ของคู่ขัดแย้งหลัก และเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การแปรเปลี่ยนของคู่ความขัดแย้งหลักของสิ่งนั้นๆ
ดังกรณีของประเทศไทย ความจริงระดับ “ธรรม”ก็คือ บัดนี้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ “จุดเปลี่ยน” ครั้งใหญ่ เมื่อการเมืองในระบบรัฐสภาโดยกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ใช้อำนาจฉ้อฉล มุ่งสนองผลประโยชน์ตน ทำความเสียหายอย่างยิ่งแก่ประเทศชาติประชาชน กำหนดให้สังคมไทยกลายเป็น “สังคมป่วย” ขาดบรรทัดฐานของความถูกต้อง ผู้คนเคว้งคว้าง สับสน ขาดความเชื่อมั่นในความดี เห็นแก่ตัวได้แต่ดิ้นรนเอาตัวรอด ตัวใครตัวมัน ฯลฯ จึงมีผู้รักความเป็นธรรมจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมา นำมวลชนเคลื่อนไหวต่อต้านในรูปของขบวนการฯประชาชน จนกระทั่งมีผู้เข้าร่วมเรือนแสนเรือนล้าน ดำเนินการต่อสู้ต่อเนื่องกันมาร่วมแปดปี
โดยนัยทางประวัติศาสตร์ ก็คือการเปิดศักราชทางการเมืองยุคใหม่ เป็นการเมืองของประชาชน ขบวนการฯประชาชนแสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” สร้าง “อำนาจกำหนดใหม่” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยไปในทิศทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวมยิ่งกว่ายุคใดๆ
ปัจจุบันนี้ ทั้งสองฝ่ายดำรงฐานะเป็น “คู่ขัดแย้งหลัก” ต่อสู้ขับเคี่ยวกัน จนกว่าจะเห็นดำเห็นแดง ซึ่งเมื่อนั้น ลักษณะสังคมไทยก็จะพลิกเปลี่ยนไป เกิดเป็นสังคมแบบใหม่ กำหนดโดยคู่ขัดแย้งใหม่ และมีลักษณะของความขัดแย้งที่แตกต่างไปจากเดิม รูปแบบวิธีการแก้ไขก็เป็นไปตามลักษณะของความขัดแย้งนั้น
การเข้าถึงความจริงระดับ “ธรรม” นี้ เป็น “เงื่อนไขจำเป็น” (ขาดไม่ได้) หรือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การปรับแนวคิด(อัตวิสัย)ของตนได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง(ภววิสัย)
อีกนัยหนึ่ง เป็นเงื่อนไขกำหนดให้เรากำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวต่อสู้ได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง อันเป็นการ “เดินทางธรรม”
2.เดินทางธรรม
หมายถึงการกำหนดแนวทางปฏิบัติ ทั้งที่เป็นภารกิจพื้นฐานที่จะต้องดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบ ภารกิจใจกลางที่จะต้องดำเนินการให้สำเร็จในแต่ละขั้นตอนของการขับเคลื่อน อย่างสอดคล้องกับสภาวะเป็นจริงของสังคมไทยในบริบทของสังคมโลก
การเดินทางธรรมจะทำได้ดี ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ วิสัยทัศน์ มองเห็น “ป่าทั้งป่า” อาศัยการ “เข้าถีงธรรม” จำแนกแยกแยะเรื่องหลักรอง คู่กรณีหลักรอง ภารกิจหลักรอง เช่นเมื่อมองเห็นแล้วว่า ปมปัญหาของประเทศไทยอยู่ที่นักการเมืองในระบบรัฐสภา ที่มาจากการซื้อเสียงเลือกตั้ง และใช้ระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือแสวงประโยชน์ส่วนตน เกิดการใช้อำนาจไปในทางมิชอบอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยอ้างเอาความเป็นประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้งเป็นฉากบังหน้า ฯลฯ ก็จำเป็นจะต้องกำหนดเป็น “ภารกิจพื้นฐาน” ให้การศึกษาแก่มวลชนและผู้ปฏิบัติงานให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ระบบรัฐสภามีที่มาอย่างไร ? ทำไมจึงใช้ไม่ได้ในประเทศไทย ? และจำเป็นจะต้องคิดประดิษฐ์หรือ “นวัตกรรม” ระบบสภาประชาชนขึ้นมาแทนที่ได้อย่างไร ?
เฉพาะหน้านี้ ในห้วงที่กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ โดยอยู่ภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรโดยตรง มีแนวโน้มจะรวบหัวรวบหาง กลืนกินประเทศไทย ดังนั้น การต่อสู้ล้มล้างอำนาจกลุ่มทุนในระบอบทักษิณจึงเป็น “ภารกิจใจกลาง” ของการเคลื่อนไหวต่อสู้ในห้วงนี้
การกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวต่อสู้ล้มล้างระบอบทักษิณ จึงเป็นงานหลักในขั้นปัจจุบัน การจัดทำแผนปฏิบัติและจัดวางกำลังคน จะต้องสอดคล้องกับแนวคิดยุทธศาสตร์นี้
ด้วยเหตุนี้ จำเป็นจะต้องปรับรูปแบบองค์กร ยกระดับศักยภาพการเคลื่อนไหวต่อสู้ให้สอดคล้องกับการปฏิบัติ “ภารกิจใจกลาง” ในแต่ละห้วงเสมอ เช่น เมื่อการเคลื่อนไหวต่อสู้ในรูปของ “สงครามมวลชน” (สร้างการตื่นรู้/กองทัพมวลชนตื่นรู้ต่อสู้เอาชนะกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ)ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ระลอกที่สาม ซึ่งเป็นการต่อสู้ “ยกสุดท้าย” ในการขับเคี่ยวกันระหว่างคู่ความขัดแย้งหลัก ก็จำเป็นที่จะต้องออกแบบให้ “ทุกฝ่าย” ในขบวนการฯประชาชน สามารถรวมตัวกันเข้า เกิดความเป็นเอกภาพทั้งทางด้านความคิด การเมืองและการจัดตั้ง(ตามหลัก “แก้ว 3 ประการ”) เป็น “กำปั้นยักษ์” เพื่อตีตะลุยระบอบทักษิณให้พังพินาศไป
การเดินทางธรรม โดยนัยก็คือ การออกแบบ กำหนดแผนยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ทั้งระยะสั้นระยะยาว อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่หลงทิศผิดทาง ตีให้ตรงจุด เพื่อบรรลุชัยชนะได้ในทุกขั้นตอน ซึ่งจะทำได้สำเร็จจริง ก็ต้องดำเนินมาตรการต่างๆอย่างถูกต้อง พลิกแพลงไปตามสภาวะที่เป็นจริง (ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง) มีการนวัตกรรมหรือประดิษฐ์คิดสร้างรูปแบบวิธีการใหม่ๆที่จะช่วยให้การเคลื่อนไหวต่อสู้ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทรงพลานุภาพสูงสุด ได้รับชัยชนะในทุกขั้นตอนจนกระทั่งบรรลุสู่ชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จในขั้นสุดท้าย
3.สร้างทางธรรม
การ “สร้างทางธรรม” ก็คือการปฏิบัติ ตามแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้อย่างสอดคล้องกับสภาพเป็นจริง ทั้งนี้ การปฏิบัติจะต้องดำเนินอย่างพลิกแพลง มีการพัฒนารูปแบบวิธีการ หรือยุทธวิธีใหม่ๆ ที่ใช้ได้ดีกว่า ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่เป็นจริง ไม่ติดอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆ
ทั้งนี้ รูปแบบวิธีการต่อสู้ที่ประสบความสำเร็จครั้งก่อน ไม่จำเป็นจะต้องใช้ได้ดีในการเคลื่อนไหวต่อสู้ครั้งใหม่ จำเป็นจะต้องปรับให้สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงใหม่ ในสถานการณ์ใหม่อยู่เสมอ ซึ่งในการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่เป็นจริงเช่นนี้ ก็จะมี “ผู้นำ” หน้าใหม่เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
ด้วยเหตุนี้ ในการสร้างทางธรรม จำเป็นจะต้องสร้างโอกาสและเวทีให้แก่การเกิดขึ้นของผู้นำรุ่นใหม่ ซึ่งในที่สุด จะทำให้ขบวนการฯประชาชน ผลิต “ผู้นำ” ที่ชาญฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบได้อย่างไม่ขาดสาย เมื่อนั้น ขบวนการฯประชาชน ก็จะกลายเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้”อันยิ่งใหญ่ ดำเนิน “สงครามมวลชน” (สงครามใช้ปัญญา) ออกรบเมื่อไหร่ ชนะเมื่อนั้น !
ปัจจุบัน ในห้วงของการทำ “สงครามมวลชน” ระลอกที่สาม ซึ่งเป็น “ยกสุดท้าย” ในการสับประยุทธ์โค่นระบอบทักษิณ “ปิดฉากการเมืองชั่ว” เพื่อเปิดประตูไปสู่การปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย มีปัญหาอุปสรรคใหญ่ๆให้เราต้องแก้ไขอยู่หลายเรื่อง แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือเรื่องการสร้างความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้งขึ้นในขบวนการฯประชาชน
ตามทฤษฎี “แก้ว 3 ประการ” (1.ความเป็นเอกภาพทางความคิด 2.ความเป็นเอกภาพทางการเมือง และ3.ความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้ง) ที่ผู้เขียนนำเสนอ ความเป็นเอกภาพทางความคิดเป็นองค์หลักกำหนดความเป็นเอกภาพทางการเมืองและจัดตั้ง แต่ก็จะเป็นไปได้ในท่ามกลางการเกิดขึ้นของความเป็นเอกภาพทางการเมืองและการจัดตั้ง
ด้วยเหตุนี้ “ทุกฝ่าย”ในขบวนการฯประชาชน จะต้องไม่รีรอที่จะเข้ามาจับมือกัน “ร่วมคิดร่วมทำ” สร้าง “เงื่อนไขที่จำเป็น”ให้แก่การเข้าใจซึ่งกันและกัน
การร่วมคิดร่วมทำ บนฐานความเป็นเอกภาพทางการเมือง (โค่นระบอบทักษิณ) จะเป็นช่องทางนำไปสู่การแลกเปลี่ยนทางความคิด สามารถปรับแนวความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงให้ถูกต้องยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อ “เข้าถึงธรรม” กันทุกฝ่าย ความเป็นเอกภาพทางความคิดก็จะเกิดขึ้น รูปแบบการจัดตั้งก็จะได้รับการยกระดับ เกิดความพร้อมสูงสุดที่จะปฏิบัติการ “รบ” สร้างการยอมรับใน “อำนาจกำหนด” ทางการเมืองของขบวนการฯประชาชน อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งในสังคมไทยและสังคมโลก
กรณีศึกษา
การชุมนุมที่สวนลุมฯครั้งนี้ มีกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณเป็น “เจ้าภาพ” ชูธงโค่นระบอบทักษิณ ได้ทำให้เกิดเงื่อนไขเบื้องต้น ดึงดูดเอากลุ่ม องค์กร อื่นๆ ที่มีเป้าหมายทางการเมืองร่วมกันมาร่วมด้วย โดยทุกกลุ่มมาเพื่อ “โค่นระบอบทักษิณ” นี่คือจุดเริ่มต้นของความเป็นเอกภาพทางการเมืองภายในขบวนการฯประชาชน
ภายหลังการ “ลั่นระฆัง” เปิดศึกในวันที่ 4 และเคลื่อนไหวต่อต้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในสภาฯในวันที่ 7 แล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้ปรับยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวเป็นการปักหลักถาวรภายในสวนลุมฯ และเริ่มเห็นความจำเป็นที่จะต้องเชื่อมประสานกับเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” เพื่อปฏิบัติภารกิจทุบทำลายระบอบทักษิณให้พังพินาศไป จึงได้เกิดแนวคิดเรื่องการจัดตั้งกันเข้าเป็น “สภาการเมืองประชาชน” ภายใต้ร่มธง “ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย” (ทั้งในข้อเขียนของผู้เขียนเอง และในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ”ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล) ให้สามารถครอบคลุมไปถึงกลุ่ม องค์กร “ทุกฝ่าย” รวมทั้งบรรดานักการเมืองที่เห็นความจำเป็นที่จะต้องสลัดทิ้งคราบนักการเมือง เข้าร่วมกับขบวนการฯประชาชน ตลอดจนกลุ่มคนเสื้อแดงที่ “เห็นแจ้ง” แยกผิดแยกถูก และเลือกที่จะเดินหนทางที่ถูกต้อง ร่วมขบวนการฯประชาชนดำเนินการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย ให้บรรลุเป้าหมายที่ตนตั้งไว้ตั้งแต่เดิม
เห็นชัดว่า การจะบรรลุสู่ความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้ง สามารถจัดตั้งองค์กรร่วมและเวทีร่วมของขบวนการฯประชาชนให้สำเร็จนั้น จำเป็นจะต้องผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนทางความคิดอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งเสียก่อน ซึ่งสิ่งที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้จริงในท่ามกลางการ “ร่วมคิดร่วมทำ”
ในขั้นนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ “ทุกฝ่าย”ในขบวนการฯประชาชน จะต้องเชื่อมตนเองเข้ามายังการชุมนุมที่สวนลุมฯ ร่วมกันปฏิบัติ “3 ธรรม” บรรลุ “3 เอกภาพ”
มาร่วมกันสร้าง “ปาฏิหาริย์” ขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย !
ด้วยจิตคารวะ
สันติ ตั้งรพีพากร
“3 ธรรม” ที่ว่า ก็คือ 1. เข้าถึงธรรม 2.เดินทางธรรม 3.สร้างทางธรรม
เข้าถึงธรรม
ก็คือ เข้าถึงความจริงระดับ “ธรรม” คือไม่ติดอยู่กับปรากฏการณ์รูปธรรมผิวเผินที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลา แต่ลงลึกถึงแก่นแท้หรือธาตุแท้ของสิ่ง เห็นถึงเหตุปัจจัยหรือปัจจัยกำหนดที่ทำให้สิ่งนั้นๆเป็นอยู่และเป็นไปในลักษณะที่เป็นกฎเป็นเกณฑ์ที่แน่นอน (ในทางปรัชญาเรียกว่า “กฎภววิสัย”) โดยเห็นถึงความสัมพันธ์ของคู่ขัดแย้งหลัก และเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การแปรเปลี่ยนของคู่ความขัดแย้งหลักของสิ่งนั้นๆ
ดังกรณีของประเทศไทย ความจริงระดับ “ธรรม”ก็คือ บัดนี้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ “จุดเปลี่ยน” ครั้งใหญ่ เมื่อการเมืองในระบบรัฐสภาโดยกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ใช้อำนาจฉ้อฉล มุ่งสนองผลประโยชน์ตน ทำความเสียหายอย่างยิ่งแก่ประเทศชาติประชาชน กำหนดให้สังคมไทยกลายเป็น “สังคมป่วย” ขาดบรรทัดฐานของความถูกต้อง ผู้คนเคว้งคว้าง สับสน ขาดความเชื่อมั่นในความดี เห็นแก่ตัวได้แต่ดิ้นรนเอาตัวรอด ตัวใครตัวมัน ฯลฯ จึงมีผู้รักความเป็นธรรมจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมา นำมวลชนเคลื่อนไหวต่อต้านในรูปของขบวนการฯประชาชน จนกระทั่งมีผู้เข้าร่วมเรือนแสนเรือนล้าน ดำเนินการต่อสู้ต่อเนื่องกันมาร่วมแปดปี
โดยนัยทางประวัติศาสตร์ ก็คือการเปิดศักราชทางการเมืองยุคใหม่ เป็นการเมืองของประชาชน ขบวนการฯประชาชนแสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” สร้าง “อำนาจกำหนดใหม่” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยไปในทิศทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวมยิ่งกว่ายุคใดๆ
ปัจจุบันนี้ ทั้งสองฝ่ายดำรงฐานะเป็น “คู่ขัดแย้งหลัก” ต่อสู้ขับเคี่ยวกัน จนกว่าจะเห็นดำเห็นแดง ซึ่งเมื่อนั้น ลักษณะสังคมไทยก็จะพลิกเปลี่ยนไป เกิดเป็นสังคมแบบใหม่ กำหนดโดยคู่ขัดแย้งใหม่ และมีลักษณะของความขัดแย้งที่แตกต่างไปจากเดิม รูปแบบวิธีการแก้ไขก็เป็นไปตามลักษณะของความขัดแย้งนั้น
การเข้าถึงความจริงระดับ “ธรรม” นี้ เป็น “เงื่อนไขจำเป็น” (ขาดไม่ได้) หรือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การปรับแนวคิด(อัตวิสัย)ของตนได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง(ภววิสัย)
อีกนัยหนึ่ง เป็นเงื่อนไขกำหนดให้เรากำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวต่อสู้ได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง อันเป็นการ “เดินทางธรรม”
2.เดินทางธรรม
หมายถึงการกำหนดแนวทางปฏิบัติ ทั้งที่เป็นภารกิจพื้นฐานที่จะต้องดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบ ภารกิจใจกลางที่จะต้องดำเนินการให้สำเร็จในแต่ละขั้นตอนของการขับเคลื่อน อย่างสอดคล้องกับสภาวะเป็นจริงของสังคมไทยในบริบทของสังคมโลก
การเดินทางธรรมจะทำได้ดี ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ วิสัยทัศน์ มองเห็น “ป่าทั้งป่า” อาศัยการ “เข้าถีงธรรม” จำแนกแยกแยะเรื่องหลักรอง คู่กรณีหลักรอง ภารกิจหลักรอง เช่นเมื่อมองเห็นแล้วว่า ปมปัญหาของประเทศไทยอยู่ที่นักการเมืองในระบบรัฐสภา ที่มาจากการซื้อเสียงเลือกตั้ง และใช้ระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือแสวงประโยชน์ส่วนตน เกิดการใช้อำนาจไปในทางมิชอบอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยอ้างเอาความเป็นประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้งเป็นฉากบังหน้า ฯลฯ ก็จำเป็นจะต้องกำหนดเป็น “ภารกิจพื้นฐาน” ให้การศึกษาแก่มวลชนและผู้ปฏิบัติงานให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ระบบรัฐสภามีที่มาอย่างไร ? ทำไมจึงใช้ไม่ได้ในประเทศไทย ? และจำเป็นจะต้องคิดประดิษฐ์หรือ “นวัตกรรม” ระบบสภาประชาชนขึ้นมาแทนที่ได้อย่างไร ?
เฉพาะหน้านี้ ในห้วงที่กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ โดยอยู่ภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรโดยตรง มีแนวโน้มจะรวบหัวรวบหาง กลืนกินประเทศไทย ดังนั้น การต่อสู้ล้มล้างอำนาจกลุ่มทุนในระบอบทักษิณจึงเป็น “ภารกิจใจกลาง” ของการเคลื่อนไหวต่อสู้ในห้วงนี้
การกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวต่อสู้ล้มล้างระบอบทักษิณ จึงเป็นงานหลักในขั้นปัจจุบัน การจัดทำแผนปฏิบัติและจัดวางกำลังคน จะต้องสอดคล้องกับแนวคิดยุทธศาสตร์นี้
ด้วยเหตุนี้ จำเป็นจะต้องปรับรูปแบบองค์กร ยกระดับศักยภาพการเคลื่อนไหวต่อสู้ให้สอดคล้องกับการปฏิบัติ “ภารกิจใจกลาง” ในแต่ละห้วงเสมอ เช่น เมื่อการเคลื่อนไหวต่อสู้ในรูปของ “สงครามมวลชน” (สร้างการตื่นรู้/กองทัพมวลชนตื่นรู้ต่อสู้เอาชนะกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ)ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ระลอกที่สาม ซึ่งเป็นการต่อสู้ “ยกสุดท้าย” ในการขับเคี่ยวกันระหว่างคู่ความขัดแย้งหลัก ก็จำเป็นที่จะต้องออกแบบให้ “ทุกฝ่าย” ในขบวนการฯประชาชน สามารถรวมตัวกันเข้า เกิดความเป็นเอกภาพทั้งทางด้านความคิด การเมืองและการจัดตั้ง(ตามหลัก “แก้ว 3 ประการ”) เป็น “กำปั้นยักษ์” เพื่อตีตะลุยระบอบทักษิณให้พังพินาศไป
การเดินทางธรรม โดยนัยก็คือ การออกแบบ กำหนดแผนยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ทั้งระยะสั้นระยะยาว อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่หลงทิศผิดทาง ตีให้ตรงจุด เพื่อบรรลุชัยชนะได้ในทุกขั้นตอน ซึ่งจะทำได้สำเร็จจริง ก็ต้องดำเนินมาตรการต่างๆอย่างถูกต้อง พลิกแพลงไปตามสภาวะที่เป็นจริง (ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง) มีการนวัตกรรมหรือประดิษฐ์คิดสร้างรูปแบบวิธีการใหม่ๆที่จะช่วยให้การเคลื่อนไหวต่อสู้ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทรงพลานุภาพสูงสุด ได้รับชัยชนะในทุกขั้นตอนจนกระทั่งบรรลุสู่ชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จในขั้นสุดท้าย
3.สร้างทางธรรม
การ “สร้างทางธรรม” ก็คือการปฏิบัติ ตามแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้อย่างสอดคล้องกับสภาพเป็นจริง ทั้งนี้ การปฏิบัติจะต้องดำเนินอย่างพลิกแพลง มีการพัฒนารูปแบบวิธีการ หรือยุทธวิธีใหม่ๆ ที่ใช้ได้ดีกว่า ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่เป็นจริง ไม่ติดอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆ
ทั้งนี้ รูปแบบวิธีการต่อสู้ที่ประสบความสำเร็จครั้งก่อน ไม่จำเป็นจะต้องใช้ได้ดีในการเคลื่อนไหวต่อสู้ครั้งใหม่ จำเป็นจะต้องปรับให้สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงใหม่ ในสถานการณ์ใหม่อยู่เสมอ ซึ่งในการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่เป็นจริงเช่นนี้ ก็จะมี “ผู้นำ” หน้าใหม่เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
ด้วยเหตุนี้ ในการสร้างทางธรรม จำเป็นจะต้องสร้างโอกาสและเวทีให้แก่การเกิดขึ้นของผู้นำรุ่นใหม่ ซึ่งในที่สุด จะทำให้ขบวนการฯประชาชน ผลิต “ผู้นำ” ที่ชาญฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบได้อย่างไม่ขาดสาย เมื่อนั้น ขบวนการฯประชาชน ก็จะกลายเป็น “กองทัพมวลชนตื่นรู้”อันยิ่งใหญ่ ดำเนิน “สงครามมวลชน” (สงครามใช้ปัญญา) ออกรบเมื่อไหร่ ชนะเมื่อนั้น !
ปัจจุบัน ในห้วงของการทำ “สงครามมวลชน” ระลอกที่สาม ซึ่งเป็น “ยกสุดท้าย” ในการสับประยุทธ์โค่นระบอบทักษิณ “ปิดฉากการเมืองชั่ว” เพื่อเปิดประตูไปสู่การปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย มีปัญหาอุปสรรคใหญ่ๆให้เราต้องแก้ไขอยู่หลายเรื่อง แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือเรื่องการสร้างความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้งขึ้นในขบวนการฯประชาชน
ตามทฤษฎี “แก้ว 3 ประการ” (1.ความเป็นเอกภาพทางความคิด 2.ความเป็นเอกภาพทางการเมือง และ3.ความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้ง) ที่ผู้เขียนนำเสนอ ความเป็นเอกภาพทางความคิดเป็นองค์หลักกำหนดความเป็นเอกภาพทางการเมืองและจัดตั้ง แต่ก็จะเป็นไปได้ในท่ามกลางการเกิดขึ้นของความเป็นเอกภาพทางการเมืองและการจัดตั้ง
ด้วยเหตุนี้ “ทุกฝ่าย”ในขบวนการฯประชาชน จะต้องไม่รีรอที่จะเข้ามาจับมือกัน “ร่วมคิดร่วมทำ” สร้าง “เงื่อนไขที่จำเป็น”ให้แก่การเข้าใจซึ่งกันและกัน
การร่วมคิดร่วมทำ บนฐานความเป็นเอกภาพทางการเมือง (โค่นระบอบทักษิณ) จะเป็นช่องทางนำไปสู่การแลกเปลี่ยนทางความคิด สามารถปรับแนวความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงให้ถูกต้องยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อ “เข้าถึงธรรม” กันทุกฝ่าย ความเป็นเอกภาพทางความคิดก็จะเกิดขึ้น รูปแบบการจัดตั้งก็จะได้รับการยกระดับ เกิดความพร้อมสูงสุดที่จะปฏิบัติการ “รบ” สร้างการยอมรับใน “อำนาจกำหนด” ทางการเมืองของขบวนการฯประชาชน อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งในสังคมไทยและสังคมโลก
กรณีศึกษา
การชุมนุมที่สวนลุมฯครั้งนี้ มีกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณเป็น “เจ้าภาพ” ชูธงโค่นระบอบทักษิณ ได้ทำให้เกิดเงื่อนไขเบื้องต้น ดึงดูดเอากลุ่ม องค์กร อื่นๆ ที่มีเป้าหมายทางการเมืองร่วมกันมาร่วมด้วย โดยทุกกลุ่มมาเพื่อ “โค่นระบอบทักษิณ” นี่คือจุดเริ่มต้นของความเป็นเอกภาพทางการเมืองภายในขบวนการฯประชาชน
ภายหลังการ “ลั่นระฆัง” เปิดศึกในวันที่ 4 และเคลื่อนไหวต่อต้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในสภาฯในวันที่ 7 แล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้ปรับยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวเป็นการปักหลักถาวรภายในสวนลุมฯ และเริ่มเห็นความจำเป็นที่จะต้องเชื่อมประสานกับเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” เพื่อปฏิบัติภารกิจทุบทำลายระบอบทักษิณให้พังพินาศไป จึงได้เกิดแนวคิดเรื่องการจัดตั้งกันเข้าเป็น “สภาการเมืองประชาชน” ภายใต้ร่มธง “ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย” (ทั้งในข้อเขียนของผู้เขียนเอง และในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ”ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล) ให้สามารถครอบคลุมไปถึงกลุ่ม องค์กร “ทุกฝ่าย” รวมทั้งบรรดานักการเมืองที่เห็นความจำเป็นที่จะต้องสลัดทิ้งคราบนักการเมือง เข้าร่วมกับขบวนการฯประชาชน ตลอดจนกลุ่มคนเสื้อแดงที่ “เห็นแจ้ง” แยกผิดแยกถูก และเลือกที่จะเดินหนทางที่ถูกต้อง ร่วมขบวนการฯประชาชนดำเนินการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย ให้บรรลุเป้าหมายที่ตนตั้งไว้ตั้งแต่เดิม
เห็นชัดว่า การจะบรรลุสู่ความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้ง สามารถจัดตั้งองค์กรร่วมและเวทีร่วมของขบวนการฯประชาชนให้สำเร็จนั้น จำเป็นจะต้องผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนทางความคิดอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งเสียก่อน ซึ่งสิ่งที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้จริงในท่ามกลางการ “ร่วมคิดร่วมทำ”
ในขั้นนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ “ทุกฝ่าย”ในขบวนการฯประชาชน จะต้องเชื่อมตนเองเข้ามายังการชุมนุมที่สวนลุมฯ ร่วมกันปฏิบัติ “3 ธรรม” บรรลุ “3 เอกภาพ”
มาร่วมกันสร้าง “ปาฏิหาริย์” ขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย !
ด้วยจิตคารวะ
สันติ ตั้งรพีพากร