ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ทันทีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 310 คน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ลงมติผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างเร่งรีบรวบรัด เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 การก่อตัวของคลื่นมหาชนเพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็เกิดขึ้นและขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง กระจายออกไปยังทุกกลุ่มทุกสาขาอาชีพ คลื่นมหาชนที่คัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.เปรียบประดุจคลื่นยักษ์สึนามิที่โถมเข้าหารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรง
เนื้อหาของ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ที่เข้าไปกระทบกับมโนสำนึกของผู้คนเป็นจำนวนมาก คือ การล้างความผิดแก่คดีการทุจริตคอรัปชั่นทุกคดีที่ดำเนินงานโดย คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแก่งชาติ (ปปช.) จำนวนกว่า 25,000 คดี ทั้งยังเป็นการลบล้างอำนาจตุลาการเพราะว่าเป็นการยกเลิกการตัดสินของศาลในคดีที่ศาลตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในแง่นี้เท่ากับว่า อำนาจนิติบัญญัติแทรกแซงอำนาจตุลาการอย่างชัดเจนอันเป็นการขัดแย้งกับหลักการแบ่งแยกอำนาจ
เหตุผลหลักที่ผู้คนในสังคมไทยตระหนักกับการล้างความผิดแก่คดีทุจริตคอรัปชั่นคือ การที่บริบทของการเมืองและสังคมในยุคนี้อบอวลไปด้วยหมอกควันแห่งการทุจริต จนผู้คนรู้สึกว่าสังคมกำลังป่วยไข้อย่างหนัก เราได้อ่านและได้ยินข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่องซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศไทยอย่างมหาศาล แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งผู้มีอำนาจรัฐทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารก็ร่วมมือผลักดันร่างกฎหมายที่ล้างความผิดแก่คดีทุจริตย้อนหลังจนไปถึง พ.ศ. 2547 หรือ ประมาณ 9 ปี อันจะทำให้ผู้กระทำการทุจริตโกงชาติทั้งนักการเมืองและข้าราชการ กลายมาเป็นผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาทันทีที่กฎหมายนี้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา จึงเท่ากับว่าเป็นการซ้ำเติมสังคมให้ป่วยหนักยิ่งขึ้นไปอีก
กล่าวได้ว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้ทำลายล้างคุณธรรมหลักของสังคมจนมอดมลายหายไปในพริบตา และเติมเชื้อเพลิงลงไปในค่านิยมแห่งการฉ้อฉลซึ่งเดิมก็มีมากอยู่แล้วให้รุนแรงยิ่งขึ้น แนวโน้มเกิดขึ้นหาก ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศใช้คือ สังคมจะล่มสลายเพราะผู้คนจะใช้อำนาจตามอำเภอใจ ฉกฉวยทุกโอกาสที่เข้ามา และใช้ตำแหน่งกระทำการทุจริตกันจนเป็นเรื่องปกติ จนคำว่าคุณธรรมและความดีงามจะเลือนหายไปในจิตสำนึกของผู้คน และในที่สุดอาจต้องถูกลบออกไปจากพจนานุกรม
สถาบันการศึกษาต่างๆที่มุ่งอบรมบ่มเพาะคุณธรรมและความรู้แก่เยาวชนก็คงจะต้องยุติบทบาทลงไป และไม่อาจจะนำคุณธรรมมาเป็นเนื้อหาการสั่งสอนเด็กและเยาวชนได้อีกต่อไป ด้วยเหตุที่กลุ่มผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารบ้านเมืองและออกฎหมายของประเทศกระทำเป็นตัวอย่างของการทำลายล้างคุณธรรมอยู่อย่างทนโท่
ผู้คนในสถาบันการศึกษาเกือบทุกแห่งได้ลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องมิให้การทำลายล้างคุณธรรมในระดับรากฐานของสังคมเกิดขึ้นได้ ผสานกับประชาชนกลุ่มอื่นๆในสังคมที่มิอาจอดทนได้กับการบริหารประเทศที่ล้มเหลวอย่างบูรณาการและการออกกฎหมายที่กลายเป็นทรราชเสียงข้างมากอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว จนกระทั่งกลายเป็นคลื่นมหาประชาชนที่โถมทับเข้าสู่รัฐบาลและ ส.ส.พรรคเพื่อไทย
เมื่อรับรู้ถึงแรงกดดันของประชาชน รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงพยายามที่จะแก้เกมทางการเมืองโดยใช้ยุทธวิธีการกล่าวหาผู้อื่นและการปัดความรับผิดชอบ โดยในวันที่ 5 พ.ย. 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาอ่านแถลงการณ์ โดยกล่าวหาว่า คนไทยไม่พร้อมให้อภัย กล่าวหาประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ว่าให้ข้อมูลที่สับสนและบิดเบือน โดยมีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง และจากนั้นก็โยนความรับผิดชอบในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นี้แก่วุฒิสภา โดยระบุว่าฝ่ายบริหารแทรกแซงวุฒิสภาไม่ได้ แล้วแต่วุฒิสภาจะตัดสินใจอย่างไร แต่ทว่าหางสุนัขจิ้งจอกก็โผล่ออกมาอีกครั้ง ด้วยคำพูดที่ว่า “ดิฉันเชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ลงคะแนนผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนั้นไปแล้ว จะยอมรับการตัดสินใจนั้นด้วย” ประโยคนี้มีนัยเสมือนเป็นคำสั่งกลายๆซึ่งเท่ากับเป็นการแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัตินั่นเอง
การแถลงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แทนที่จะทำให้สถานการณ์บรรเทาลงไป กลับทำให้ประชาชนได้ตระหนักและเห็นซึ้งถึงธาตุแท้ของรัฐบาลมากยิ่งขึ้นเพราะคำแถลงเป็นทั้งการกล่าวหาใส่ร้ายประชาชน มีความคลุมเครือสับสนและขัดแย้งกันเองหลายตอน รวมทั้งเป็นการพยายามลอยตัวเหนือปัญหาปัดความรับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้จำนวนประชาชนที่ออกมาคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.จึงยิ่งขยายตัวมากขึ้นไปอีกตามลำดับ
เมื่อเห็นสถานการณ์มีแนวโน้มว่าจะบานปลายและสร้างความไร้เสถียรภาพแก่รัฐบาล พรรคเพื่อไทยจึงใช้ยุทธวิธีลวงล่อถอยหลบฉาก โดยนายภูมิธรรม เวชชยชัย เลขาธิการพรรคจึงได้ออกแถลงการณ์ว่าหากวุฒิสภาลงมติไม่รับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และส่งคืนมายังสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทยจะไม่หยิบยกร่าง พ.ร.บ.นี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่ และปล่อยให้ตกไป และจะขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปถอนร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนิรโทษกรรมฉบับอื่นๆทั้งหมด 6 ฉบับที่ค้างอยู่ในสภาโดยเร็ว รวมทั้งจะไม่เสนอและเห็นชอบกฎหมายใดๆที่นำไปสู่ความขัดแย้งของสังคมไทย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็ประสานเสียงให้ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นโดยระบุว่ารัฐบาลจะทำตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ของประชาชน และเชื่อว่าในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งเช่นนี้จะไม่มี ส.ส.คนใดหยิบร่างดังกล่าวขึ้นมาอีก หากพิจารณาถึงสิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรให้สัมภาษณ์ ความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ก็คือ เมื่อไรก็ตามที่ประชาชนยุติการคัดค้านต่อต้านแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะหยิบยกร่าง พ.ร.บ.เช่นนี้ขึ้นมาเสนอเข้าไปในสภาอีกก็ได้
หลักฐานที่บ่งถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้มีอยู่ชัดเจนสองเหตุการณ์คือ เหตุการณ์แรกคือ การที่นายเฉลิม อยู่บำรุงให้สัมภาษณ์ว่าจะเสนอร่าง พ.ร.บ. เข้ามาอีก โดยจะนิรโทษให้เฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ร่วมชุมนุม และผู้ก่อเหตุการณ์ความรุนแรงเท่านั้น แต่ไม่นิรโทษให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและนายสุเทพ เมือกสุบรรณ ส่วนเหตุการณ์ที่สองคือ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.รรคเพื่อไทย จ.สุรินทร์ กล่าวในทำนองว่า หลังวุฒิสภายับยั้ง 180 วัน พวกเขาจะยื่นญัตติเข้ามาใหม่ และชนะแน่นอน เพราะเป็นเรื่องของ ส.ส.ล้วนๆ และพรรคเพื่อไทยก็มีเสียงมากพอ
จะเห็นได้ว่าการแถลงของพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยมีความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน และเมื่อรวมกับกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เขียนและให้สัมภาษณ์หลายครั้งหลายคราว่าตัวเองแพ้ไม่เป็นและกล่าวหาประชาชนว่าบิดเบือน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีหลักประกันใดๆที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยจะไม่นำเอา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมขึ้นมาพิจารณาอีก
แม้ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายภูมิธรรม เวชชยชัย จะพยายามบรรเทาความร้อนรุ่มของสถานการณ์โดยไม่ยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในลักษณะนี้เพื่อให้รัฐบาลอยู่ครบสี่ปี แต่หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรสั่งการอย่างเด็ดขาดให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเดินหน้าเสนอ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ตนเองให้ได้ มีหรือที่บุคคลทั้งสองจะต้านทานความปรารถนาอันแรงกล้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ และหากบุคคลทั้งสองยืนกรานความคิดของตนเอง บางที พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็อาจสั่งให้เปลี่ยนทั้งตัวนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคก็ได้ และเชิดบุคคลที่พร้อมจะทำงานรับใช้ตนเองอย่างถวายหัวและไม่สนใจกับความพินาศหายนะของประเทศมากกว่าคนทั้งสองมาทำหน้าที่แทน
อย่างไรก็ตามคำถามก็คือ สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยยอมถอยในขณะนี้ จะทำให้รัฐบาล และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ลงมติผ่าน ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับนี้ในวาระที่ 3 มาแล้ว พ้นจากความผิดและปฏิเสธความรับผิดชอบต่อประชาชนได้หรือไม่
คำตอบคือ คงจะไม่ได้ เพราะพวกเขากระทำอย่างโดยมีเจตจำนงที่ทำให้ความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย มีเจตจำนงที่ทำให้ผู้ทุจริตคอรัปชั่นกลายเป็นผู้บริสุทธิ์โดยไม่ต้องรับโทษใดๆ มีเจตจำนงที่จะลบล้างอำนาจตุลาการ มีเจตนารมณ์ที่กระทำการขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน และมีเจตจำนงฝ่าฝืนหลักสากลของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก อันเป็นเจตนารมที่มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของกลุ่มบุคคลที่เป็นพวกพ้องตนเองเท่านั้น ทั้งหมดนี้จึงเท่ากับเป็นการทำลายหลักประชาธิปไตย ทำลายรัฐธรรมนูญ ทำลายหลักนิติรัฐ และทำลายหลักความยุติธรรม
นอกจากกระทำด้วยเจตจำนงที่ปราศจากคุณธรรมอย่างสิ้นเชิงแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นหากร่าง พ.ร.บ.นี้กลายเป็นกฎหมายได้ก็คือ ทำให้สังคมเดินไปสู่สภาวะอนาธิปไตย ผู้คนไม่เคารพกฎหมายและยึดการกระทำความรุนแรงและการทุจริตเป็นเรื่องถูกต้อง หากภาวะแบบนี้เกิดขึ้นก็เท่ากับว่าสังคมได้ล่มสลายอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยจะถูกตราหน้าจากนานาชาติว่าเป็นประเทศที่ส่งเสริมการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งจะทำให้ถูกดูเหยียดหยามจากนานาชาติ และแน่นอนว่าผลกระทบที่ตามมาก็คือ นักลงทุนจากต่างชาติก็คงจะเข้ามาลงทุนน้อยลง และนักท่องเที่ยวก็คงไม่อยากมาประเทศที่เต็มไปด้วยการทุจริตและความรุนแรงเป็นแน่ นั่นหมายถึงความหายนะทางเศรษฐกิจก็จะเกิดขึ้นตามมา
ด้วยการเจตนาแห่งการกระทำและผลกระทบที่อาจเกิดจากกระทำทั้งปวงที่กล่าวมา ส.ส.พรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆที่ลงมติผ่าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในวาระ 3 จึงหมดความชอบธรรมในการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างสิ้นเชิง จึงต้องออกจากการทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรทันที เช่นเดียวกันกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ซึ่งมาจากพรรคเพื่อไทย ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องนี้ได้เพราะเป็นผู้ให้ความร่วมมือและสนับสนุนจนร่างนี้ผ่านวาระ3 จึงต้องออกจากการทำหน้าที่ฝ่ายบริหารทันทีเช่นเดียวกัน
แต่หากรัฐบาลและ ส.ส.ไม่ยอมลาออก ก็เป็นหน้าที่ของประชาชนผู้รักความเป็นธรรมและความถูกต้องทั้งหลายที่จะต้องร่วมกันออกมาขับไล่ และหากสถานการณ์ความตื่นตัวของประชาชนยังดำรงอยู่เฉกเช่นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคิดว่าในไม่ช้ากระแสของคลื่นมหาประชาชนจะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์และสภาทาสพังพินาศได้อย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการปฏิรูปประเทศก็จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม