“บัญญัติ” เสนอ เลือกตั้ง ส.ว.ผ่าน 10 กลุ่มโซนจังหวัดป้องกันการครอบงำจากฝ่ายการเมือง “มาร์ค” เสนอเลือกตั้ง ส.ว.แบบแบ่งกลุ่มเขต มีเขตละ 5 คน ปชช.เลือกได้เสียงเดียว โวย กมธ.ไม่คำนึงถึงประวัติศาสตร์ มัวแต่คิดว่าจะยึดโยงกับ ปชช.เชื่อ ระบบเลือกตั้งตรง 200 คน จะทำลายระบบถ่วงดุลอำนาจ ด้าน กมธ.ยัน ระบบแบ่งเขตจะทำให้จังหวัดใหญ่กวาดที่นั่ง ส.ว.เรียบ เจ้าตัวแจงกลับหวั่นได้คนดีของจังหวัดแต่เป็นคนเลวระดับชาติ
วันนี้ (28 ส.ค.) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 111, 112, 115, 116 วรรคสอง 117, 118, 120, 241 วรรคหนึ่ง และยกเลิกมาตรา 113, 114 ประเด็นที่มาของ ส.ว.ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ต่อเป็นวันที่ 5 โดยยังคงพิจารณาต่อในมาตรา 3 เรื่องที่มาของ ส.ว.เลือกตั้งจำนวน 200 คน และวิธีการเลือกตั้ง
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ตาม รธน. 50 การตั้งวุฒิสภากำหนดคือ กลั่นกรอง ยับยั้ง ตรวจสอบ ถ่วงดุล อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ และบริหารด้วย และการแต่งตั้งและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในเรื่องทุจริตและกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ องค์กรอิสระ และตุลาการ ดังนั้นหากมีการแก้ไขให้เป็นแบบเลือกตั้งทั้งหมด ก็ต้องทำไม่ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ และปลอดจากการครอบงำจากฝ่ายการเมืองไม่ได้
ส่วนกรณีการยกเลิกและให้ญาติและผู้ใกล้ชิด รวมทั้งสามารถลงสมัครเลือกตั้งได้ต่อเนื่อง หลังจากหมดวาระนั้น ตนมองว่าไม่มีประโยชน์ต่อประชาชน เป็นเพียงการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตัวเอง และหลักการขัดต่อ รธน.122 เพราะเป็นหลักขัดกันแห่งผลประโยชน์ แต่ที่น่ากังวลคือการตั้งนอมินี อาศัยเครือข่ายทางการเมืองให้ได้ ส.ว.ที่มาจากเสียงข้างมากทำให้รัฐบาลได้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ จึงเป็นสัญญาณอันตรายของประเทศไทยอย่างแน่นอน
ส่วนการยึดโยงกับประชาชนนั้น ตนเห็นว่าก็จำเป็นในส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะบางครั้งการยึดโยงกับอำนาจประชาชนก็ทำให้ได้มาซึ่งอำนาจเผด็จการมากกว่าที่ส่วนร่วมจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะมองว่าอาจขัดกันต่อการแบ่งแยกอำนาจในจำนวนคนไม่กี่คน ดังนั้นตนจึงเสนอให้มีการเลือกตั้งวุฒิสภาเป็นพื้นที่กลุ่มจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยแบ่งเป็น 10 เขตเลือกตั้ง ในหนึ่งจังหวัดต้องมีสมาชิกวุฒิสภา 1 คน เพื่อไม่ให้เกิดการทับซ้อนและให้ได้มาซึ่ง ส.ว.ที่มาจากฐานเสียงเดียวกัน เพื่อป้องกันการเป็นหนี้บุญคุณ และถูกครอบงำจากฝ่ายการเมืองในที่สุด
อย่างไรก็ตามตนขอเรียกร้องกรรมาธิการเสียงข้างมากให้เปิดใจกว้างรับฟังเหตุผลของผู้ที่เสนอคำแปรญัตติเกี่ยวกับที่มาและคุณสมบัติของสมาชิกวุฒิสภาด้วย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายว่า การแก้ไขมาตรานี้มาตราเดียวส่งผลสำคัญต่อเรื่องของดุลอำนาจและโครงสร้างของรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เราไม่สามารถจะมาพูดถึงเรื่องของที่มาหรือระบบไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสรรหา หรือแต่งตั้งได้ จนกว่าเราจะมีความชัดเจนว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีหน้าที่เข้ามาทำอะไร ซึ่งกรรมาธิการกำลังสับสนต่อประเด็นตรงนี้ เพราะถ้าเราจะนำไปถามกับบุคคลทั่วไป เกือบทุกคนต้องตอบว่าเลือกตั้ง เนื่องจากคนมีส่วนร่วมมากกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นเวลามีการโยกย้ายข้าราชการ ตุลาการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ถึงไม่มาจากการเลือกตั้ง ก็เนื่องจากว่าเรามีการเลือกตั้งผู้นำ ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้ามาบริหารประเทศแทนประชาชน ซึ่งหน้าที่ของ ส.ว.จะต้องเข้ามาในรูปแบบเดียวกับ ส.ส.หรือไม่นั้น ตนคิดว่าไม่ใช่ เพราะฉะนั้นคำพูดที่ระบุว่า จะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงคงไม่สามารถตอบโจทย์ของเราได้
“การสรรหาหรือการแต่งตั้งไม่ได้เป็นคำพูดที่จะชี้ให้เห็นว่าบ้านเมืองเราไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะอำนาจของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่นั้นแตกต่างกัน ดังนั้นกรรมาธิการจะต้องดูว่าบทบาทของ ส.ว.ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะต้องตรวจสอบฝ่ายบริหารแบบอิสระและมีความเป็นกลาง กลั่นกรองกฎหมาย การถอดถอนตำแหน่งขององค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม ใช่หรือไม่ เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจตนารมณ์ของประชาชน แต่เป็นเรื่องของความถูกต้อง ข้อกฎหมาย ที่จะตัดสินคดีต่างๆ เช่นเดียวกับกระบวนการยุติธรรม แต่วุฒิสภามีบทบาทของฝ่ายการเมืองเข้ามาร่วมด้วย นอกจากนี้ ส.ว.ยีงมีหน้าที่หลักในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ ประกาศสงคราม หรือการให้ความเห็นชอบในกฎมณเฑียรบาลเรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่คอขาดบาดตายทั้งสิ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า การเสนอระบบการเลือกตั้งของตนมีความแตกต่างแบบมีนัยสำคัญ ที่ตนไม่เสนอให้มีการสรรหาจากลุ่มอาชีพ ก็เพราะตนไม่สามารถไประบุได้ว่าเราจะต้องมีกลุ่มอาชีพกี่กลุ่ม แต่วิธีการเช่นนี้จะทำให้เราได้ ส.ว.ที่มีความหลากหลายอย่างมาก ซี่งกษรเลือกตั้งทั้งหมดที่จะทำให้เราได้ ส.ว.200 คนไม่ได้รับความหลากหลาย เพียงแต่จะได้เสียงข้างมาก ไม่ใช่ว่าตนไม่ไว้ใจประชาชน แต่เราต้องกำหนดกฎกติกา เพื่อให้ได้กรอบการคัดเลือกที่เป็นประโยชน์ที่สุด และจะต้องเป็นกลไกทางกฎหมายที่วางไว้เพื่อป้องกันการเสียงหรือนำกฎหมายไปใช้ในทางที่ผิด
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังระบุว่า การที่กรรมาธิการระบุว่า การเลือกตั้งจะทำให้ ส.ว.มีความเชื่อมโยงกับประชาชน ตนจึงตั้งคำถามไปยังกรรมาธิการเสมอว่าจะเชื่อมโยงอย่างไร ในเมื่อส.ว ไม่ได้เป็นระบบแบ่งเขตเหมือน ส.ส.
“การอนุญาตให้ ส.ว.ลงรับตำแหน่งได้หลายวาระคือเรื่องที่เลวร้ายที่สุด เพราะถ้ามีระบบการถ่วงอำนาจนาน ก็ย่อมง่ายต่อการถูกแทรกแซง การจะให้ลงรับสมัครเลือกตั้งโดยที่ผู้สมัครไม่ต้องสังกัดพรรคการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะในที่สุดประชาชนก็จะมีความผูกพันกับพรรคการเมือง เนื่องจากโอกาสที่จะไปรับรู้ประวัติ หรือแนวคิดของผู้สมัครแต่ละคนแทบจะเป็นไปไม่ได้ ประชาชนจึงตัดสินใจเลือกผู้สมัครจากนโยบายของพรรคการเมืองเป็นตัวชี้นำ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนจึงขอเสนอให้มีการคัดเลือก ส.ว.ระบบเลือกตั้งแบบเลือกผู้แทน ซึ่งตนเห็นด้วยกับจำนวน ส.ว.200 คน แต่เราน่าจะกำหนดให้มีการแบ่งเป็นกลุ่มเขตจังหวัด ซึ่งแต่ละเขตจะมี ส.ว.ทั้งหมด 5 คน 200 คน ก็คือ 40 เขตทั่วประเทศ ซึ่งประชาชนสามารถเลือกได้เพียงเสียงเดียว โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปยึดติดกับตัวจังหวัด
“ถ้าเราจะคิดแต่ยึดโยงประชาชนแล้วไม่เดินไปข้างหน้า เราจะทำอย่างไร รัฐธรรมนูญปี 40 ที่ผ่านมาทำลายระบบการถ่วงดุลอำนาจของประเทศ จนทำลายองค์กรอิสระไปมากแล้ว แม้กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยระบุในปี 49 ว่าเราจะต้องรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่กรรมาธิการกลับนำสิ่งที่ล้มเหลวแล้วกลับมาใช้ใหม่ ตนจึงสงสัยว่ากรรมาธิการไม่คำนึงถึงประวัติศาสตร์บ้างหรืออย่างไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์อภิปราย นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้พยายามประท้วงว่า นายอภิสิทธิ์อภิปรายนอกประเด็น ซึ่งสิ่งที่ตนเห็นนั้นคิดว่านายอภิสิทธิ์น่าจะมีความคิดเห็นไปในแบบเดียวกับกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ นายอภิสิทธิ์ จึงโต้เถียงว่า การที่นายสุนัยลุกขึ้นมาประท้วงตนนั้น ก็เพราะว่านายสุนัยไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนจะเสนอ จึงขอให้รอฟังดูก่อนว่าเหตุใดตนถึงต้องย้อนไปถึงบทบาทหน้าที่ของวุฒิสภา จนเมื่อนายอภิสิทธิ์อภิปรายจนจบ นายสุนัย จึงขอใช้สิทธิพาดพิงในฐานะกรรมาธิการ แต่ นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานในที่ประชุม สั่งให้นายสุนัยขึ้นมานั่งประจำที่ของกรรมาธิการด้านบน หากจะใช้สิทธิชี้แจง
ด้าน นายสามารถ แก้วมีชัย ในฐานะกรรมธิการ ชี้แจงว่า เหตุผลที่กรรมาธิการไม่เห็นด้วยกับนายอภิสิทธิ์ เนื่องจากการแบ่งเขตตามที่นายอภิสิทธิ์เสนอนนั้น จะมีปัญหาหลายด้าน 1.การเฉลี่ยจำนวนประชาชนต่อ ส.ว.เช่น เชียงราย 1.2 ล้านคน พะเยามีประมาณ 48,000 คน หากนำมาแบ่งเขต น้ำหนักก็จะไปอยู่ที่จังหวัดเชียงรายที่มีประชากรมากกว่า ทำให้จังหวัดพะเยาอาจจะไม่ได้ตัวแทนเข้ามาเป็น ส.ว.เลยก็เป็นได้ ทางกรรมาธิการจึงเห็นว่าการใช้เขตจังหวัดเป็นตัวแบ่งก็น่าจะสมเหตุสมผลกว่า
จากนั้น นายอภิสิทธิ์ จึงขอใช้สิทธิอีกครั้ง โดยระบุว่า ตนไม่เข้าใจว่าได้ไปพาดพิงนายสุนัยตรงไหน การที่กรรมาธิการจะไปกล่าวหาผู้แปรญัตติว่าไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นถือว่าไม่เป็นธรรม ตนไม่ได้พูดเรื่องกลุ่มจังหวัด ท่านมีสิทธิจะแบ่งเขตแบบผ่าจังหวัดก็ได้ เพราะฉะนั้น ส.ว.ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับจังหวัด ถ้าจะทำให้เป็นกลุ่ม โดยเอาจังหวัดเล็กรวมกับจังหวัดใหญ่ คะแนนที่จะได้ก็จะกระจายตามจำนวนของประชากร และที่สำคัญเราอาจจะได้คนดีของจังหวัดแต่เป็นคนเลวระดับชาติก็ได้