“วันชัย” ยันมี “ส.ว.สรรหา” ดี-กันสภาผัวเมีย พรรคการเมืองครอบงำยาก ชี้พรรคการเมืองเตรียมเคลื่อนไหวส่งตัวแทนเลือกตั้งเป็น ส.ว. ย้ำ ปธ.กมธ.ร่าง รธน.กำลังทำร้าย ส.ว.เลือกตั้ง ขณะที่ “สามารถ” อ้างระบบสรรหายากในทางปฏิบัติ รธน.กำหนดให้อำนาจเป็นของประชาชน และ ส.ส.กับ ส.ว.ต้องยึดโยงกับประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 22 ส.ค. นายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา อภิปรายว่ารัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 111 ระบุให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิก 150 คนที่มาจากการเลือกตั้งแบบระบบจังหวัด และคัดเลือกกันเองหรือระบบสรรหา การกำหนดมีการเลือกตั้งบางส่วนเพราะต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วม ส่วนการสรรหาก็เพื่อที่จะคัดเลือกบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาถ่วงดุลอำนาจ การสรรหาที่เกิดขึ้นจะต้องผ่านองค์กรอิสระกว่า 5 องค์กรเป็นคนคัดสรร และคณะกรรมการเหล่านี้ก็ผ่านการคัดเลือกจากวุฒิสภา สิ่งเหล่านี้คือการเลือกตั้งทางอ้อม เพื่อป้องกันคำว่าสภาผัวเมีย
นายวันชัยกล่าวต่อว่า ระบบที่จะเกิดขึ้นก็เปรียบเสมือนการที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ประชาชนไม่ได้เป็นผู้เลือกคณะรัฐมนตรีเข้ามาบริหาร และถ้าจะเปรียบกับพรรคการเมือง ส.ว.สรรหาก็เท่ากับ ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคการเมืองจะเอาใครลงก็อยู่ที่หัวหน้าพรรคหรือผู้มีอำนาจในพรรค อยากให้ใครอยู่หรือออกก็ทำได้ ถามว่าประชาชนไปมีส่วนร่วมตรงไหน ส.ว.สรรหาก็คัดเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิมาผสมผสานกับ ส.ว.เลือกตั้ง
นายวันชัยยังกล่าวต่อว่า ถ้าจะมองว่า ส.ว.สรรหาคือจุดอ่อนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง เราก็ต้องแก้ที่จุดอ่อน คือ ให้มีการเลือกตั้งโดยตรง 77 คน จังหวัดละ 1 คน และแบบสรรหา 73 คน รวมเป็น 150 คน โดยระบบสรรหาควรที่จะมาจากอาชีพต่างๆ เอามาผสมกัน แทนที่จะมาจากการสรรหา กลายเป็นการให้แต่ละสาขาอาชีพเป็นผู้จัดการกันโดยตรง ส่วนการกำหนดหมวดหมู่นั้นก็ถือเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เป็นผู้กำหนด อาทิ อาชีพทนายความกว่า 60,000 คนก็รวมตัวกันแล้วเลือกคนของตัวเองเข้ามาเพียง 1 คน ระบบแบบนี้เราจะได้ตัวแทนของประชาชนและวิชาชีพ
เนื่องจากอำนาจหน้าที่ของ ส.ส.และ ส.ว.นั้นแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นที่มาก็ต้องแตกต่างกัน ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมี 2 สภา เพราะกฎหมายระบุชัดว่า ส.ว.ต้องเป็นกลางทางการเมือง เพราะจะต้องกลั่นกรองตรวจสอบทั้งคนและกฎหมาย รวมไปถึงการแต่งตั้งบุคคลต่างๆ เข้ามาบริหารองค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็น ส.ว.จะต้องปลอดจากการเมือง หากใครมีสังกัดกับพรรคการเมืองจะต้องพ้นจากพรรคการเมืองนั้นๆ มาแล้ว 5 ปีและถ้าเข้ามาเป็นก็คือวาระเดียวเท่านั้น เพราะกฎหมายไม่ต้องการให้คุณไปมีบุญคุณกับใคร แต่เรากับจะมาแก้ให้เมื่อลาออกจากพรรคการเมือง วันพรุ่งนี้ลงสมัครเป็น ส.ว.ได้ทันที นั่นแปลว่าขณะนี้ฝ่ายการเมืองเริ่มขยับตัวกันแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้อะไรจะเกิดขึ้น ผู้ที่มีตำแหน่ง ส.ว.ในตอนนี้จะเหลืออยู่เท่าไหร่ เพราะต่อไปเราก็จะมี ส.ว.ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ หรือจังหวัดต่างๆ สังกัดอยู่กับพรรคการเมือง เนื่องจากมีฐานเสียงจากพรรคการเมืองอยู่แล้ว นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานกรรมาธิการฯกำลังทำร้าย ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งแบบเจ็บแสบมาก
จากนั้น จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ ได้ประท้วงนายวันชัย โดยระบุว่านายวันชัยอภิปรายพาดพิงกลุ่มบุคคลอื่นๆ และเป็นการอภิปรายนอกประเด็น น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ จึงลุกขึ้นประท้วงนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานรัฐสภาว่า ประธานฯ ต้องดูคนที่ลุกขึ้นมาประท้วงด้วยว่าต้องการประท้วงผู้อภิปรายหรือต้องการออกโทรทัศน์ ผู้ชมทางบ้านเขาติดต่อมาให้ประท้วง จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ให้ด้วย เพราะประท้วงแบบไร้สาระ จ.ส.ต.ประสิทธิ์จึงกล่าวตอบโต้ว่า ตนทำหน้าที่ของตน ไม่ได้ต้องการจะออกโทรทัศน์ มีแต่ น.ส.รังสิมาคนเดียวเท่านั้นที่ลุกขึ้นมาเพราะต้องการออกโทรทัศน์ นายนิคมจึงไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายหยุดตอบโต้กัน
นายวันชัยจึงอภิปรายต่อว่า ถ้าเราจะแก้กฎหมายให้พระสามารถฉันข้าวเย็นได้ มีภรรยาได้ ตนขอถามว่ามันสามารถทำได้หรือไม่ ผู้ที่ออกกฎหมายนั้นเขาจะไม่เสวยประโยชน์ที่ได้ แต่เราคือกลุ่มผู้ที่มีส่วนได้เสียโดยตรงแต่กลับมาพิจารณาแก้ไขกฎหมายตรงนี้เสียเอง
ด้านนายสามารถชี้แจงว่า ในทางปฎิบัตินั้นทางเราจะให้กลุ่มอาชีพมารวมตัวกันเพื่อเลือก ส.ว.นั้นคงเกิดขึ้นได้ยาก กฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นกำหนดให้อำนาจเป็นของประชาชน และ ส.ส.กับ ส.ว.ต้องยึดโยงกับประชาชน
