ประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 3 ถกแก้ รธน.ที่มา ส.ว.มาตรา 3 ให้เลือกตั้งหมด 200 “ส.ว.สมเจตน์” ประเดิมแฉพวกเลือกตั้งถูกการเมืองแทรกต้นเหตุรัฐประหาร แถมนั่งเก้าอี้อันลิมิเต็ด “ส.ว.ปรเทพ” ยันโหวตไม่ใช่สัญลักษณ์ประชาธิปไตย แค่กระบวนการเท่านั้น เชื่องวดหน้าวิ่งหาพรรควุ่น ส.ว.มุกดาหารร้อนตัว โวยใส่ร้าย ถามวิเศษมาจากไหน “ส.ว.วิชาญ” แนะโหวต 2 แบบ “ส.ว.ประสงค์” บอกมีสรรหาไม่ได้ทำให้เสื่อม ลั่นหมดวาระไม่คัมแบ็กแล้ว สาปแซ่งพวกแก้เพื่อตัวเอง “สุนัย” ลุกจวก ย้อนรู้ดีได้เก้าอี้มาเพราะอะไร
วันนี้ (22 ส.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.20 น. การประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มมาตราที่เกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.วันที่ 3 ได้เริ่มขึ้น โดยเป็นการพิจารณาในมาตรา 3 ว่าด้วยการแก้ไขมาตรา 111 เกี่ยวกับการให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง จำนวน 200 คน และแก้ไขมาตรา 112 ว่าด้วยวิธีการเลือกตั้ง โดยกำหนดให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยประชาชนมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้ 1 คน และหากในจังหวัดใดที่สามารถเลือก ส.ว.เกิน1คนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้คะแนนสูงสุดเรียงตามลำดับได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ว. ต่อเนื่องจากวันที่ 21 ส.ค.
โดย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า ตนไม่เห็นด้วยที่จะให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้ง 200 คน เพราะเชื่อว่าจะไม่สามารถทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารได้ อีกทั้งในช่วงที่มี ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ 2540 พบว่าทำให้มีปัญหา คือ ถูกควบคุมจากฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระ จนเป็นต้นเหตุให้เกิดการปฏิวัติวันที่ 19 ก.ย. พ.ศ. 2549 ทั้งนี้หลังการปฏิวัติได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และแก้ไขปมปัญหาดังกล่าว โดยให้มีส.ว.มาจากการสรรหา อย่างไรก็ตาม ในหลักการของการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องแก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อให้ผลที่เลวร้าย โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด พบว่าให้กลับไปใช้วิธีเลือกตั้ง ส.ว.ตามรัฐธรรมนุญปี 2540 แต่มีความเลวร้ายยิ่งกว่า คือ ให้ดำรงตำแหน่งได้ต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งมีวาระดำรงตำแหน่ง 6 ปีซึ่งเกินกว่าวาระดำรงตำแหน่งของ ส.ส.
“ส.ว.สรรหายึดประโยชน์ประเทศชาติ ไม่ตอบสนองรัฐบาล หากรัฐบาลทำประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน ผมพร้อมสนับสนุน แต่หากมีความสงสัยว่าผลที่เกิดขึ้นมีประโยชน์ต่อประเทศหรือไม่ เมื่อเกิดเหตุอะไรก็มาโทษทหาร พวกทหารไม่ยอมให้ประเทศล่มสลาย แม้เขาไม่อยากทำ แต่เมื่อประเทศเกิดความเลวร้ายกว่าเดิมเขาก็ต้องทำ ประชาธิปไตยจะอยู่ได้พวกเราต้องช่วยกัน อีกทั้งการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด” พล.อ.สมเจตน์อภิปราย
ต่อมาเมื่อเวลา 11.00 น. มีเหตุประท้วงวุ่นวายเล็ก โดยเป็นการประท้วงระหว่าง ส.ว.สรรหา และส.ว.เลือกตั้ง โดยนายปรเทพ สุจริตกุล ส.ว.สรรหา อภิปรายว่าการเลือกตั้งเป็นเพียงกระบวนการที่ได้บุคคลให้มาทำงานในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น และเพราะมีความเคยชินและรู้จักการเลือกตั้งมากเกินไปจนถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย แต่ข้อเท็จจริงแล้วประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบสุดท้าย และระบบประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว ต้องมีการบริหารจัดการที่โปร่งใส และถ่วงดุลระหว่างอำนาจ 3 ฝ่ายกันได้ อีกทั้งในฝ่ายบริหาร รัฐมนตรีบางคนไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
“หากให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง เชื่อว่าผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ว.ในอนาคตต้องวิ่งเข้าหาพรรคการเมืองอย่างเดียว เพราะถ้าไม่ไปจะเอาเสียงมาจากไหน และเมื่อ ส.ว.เลือกตั้งมาโดยใช้ฐานเสียงของพรรคการเมือง เสียงข้างมากในรัฐสภาก็จะกู่ไม่กลับแล้วครับ เผด็จการรัฐสภา ทำให้รัฐสภาไม่เป็นประชาธิปไตย” นายปรเทพอภิปราย
จากนั้นมีการประท้วง โดย พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ ส.ว.มุกดาหาร ว่า เป็นการใส่ร้าย ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้ตนในฐานะ ส.ว.เลือกตั้งจากประชาชนไม่ได้วิ่งหาพรรคการเมืองใด ลาออกจากราชการไปลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยตนเองไม่มีพรรคการเมืองสังกัด
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้วินิจฉัยและทักท้วงว่า อย่าพาดพิง และได้ปิดไมโครโฟนของ พ.ต.ท.จิตต์ เพื่อให้ยุติการประท้วง แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะ พ.ต.ท.จิตต์ ยังตะโกนกลางรัฐสภาว่า “มาดูถูกกันมากไปแล้ว ตัวเองวิเศษมาจากไหน”
ทั้งนี้ นายปรเทพขออภิปรายต่อว่า ตนอภิปรายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ได้กล่าวถึงสว.เลือกตั้งที่ผ่านมา ที่ผ่านมา ส.ว.เลือกตั้งและสรรหาต่างร่วมทำงานกันเป็นอย่างดี นอกจากนั้นที่ผ่านมามีอะไรทีกระทบกับส.ว.เลือกตั้ง ตนช่วยปกป้องมาตลอด
ต่อมา นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ตนมีความคิดว่า ส.ว.ควรมีจำนวน 150 คนแยก ส.ว.จากการเลือกตั้งเป็น 2 ประเภท คือ 1. เขตเลือกตั้ง 1 จังหวัด 1 คนตามเกณฑ์เดิม เพราะเราไม่จำเป็นต้องมี ส.ว.ลงไปดูทุกข์สุขของประชาขนแทน ส.ข. หรือ ส.ก.เพราะหน้าที่ของ ส.ว.ไม่ได้ยึดโยงกับประชาขน ซึ่งอีก 73 คนก็น่าจะมาจากระบบสรรหาเหมือนเดิม แต่เมื่อสภาแห่งนี้เห็นว่า ส.ว.ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด200 คน ตนจึงมองว่าควรแบ่งเป็นการคัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามาเป็น ส.ว.แบบเขตเลือกตั้งและสายอาชีพ ซึ่งเราก็จะหาคนในอาชีพนั้นๆมาเลือกตัวแทนของพวกเราเอง ขั้นตอนอาจจะฟังดูยุ่งยาก แต่จะทำให้เราได้ ส.ว.ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นตนจึงไม่เห็นด้วยกับกรรมาธิการ
จากนั้นนายประสงค์ นุรักษ์ ส.ว.สรรหา ได้กล่าวอภิปรายว่า ตนอยากเห็น ส.ว.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและการเลือกตั้งทางอ้อม ซึ่งเป็นวิธีทางหนึ่งที่จะทำให้สมาชิกวุฒิสภาได้ทำงานร่วมกัน เพราะที่ผ่านมาเราก็ทำงานได้มาตลอดในระยะเวลาเกือบ 6 ปีโดยไม่มีปัญหาและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นตนจึงยืนยันว่า ส.ว.สรรหาไม่ได้เป็นโทษอย่างดีคนอื่นๆ กล่าวเอาไว้
“ผมไม่ได้ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เพราะหลังจากการจบวาระครั้งนี้แล้ว ผมจะไม่ขอเข้ามารับตำแหน่งในสภาฯแห่งนี้อีกต่อไป เพราะไม่ขอรับประโยชน์จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นนี้ เพราะฉะนั้นคนที่หลงอยู่กลับอำนาจก็คือคนที่เป็นประชาธิปไตยปลอม” นายประสงค์ กล่าว
นายประสงค์กล่าวต่อว่า ตนไม่คิดว่าการมี ส.ว.สรรหาจะทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมลง และถ้ามาแก้รัฐธรรมนูญแบบนี้อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยของเรา อดีตที่ผ่านมามีข้อครหาว่า ส.ว.สรรหานั้นไม่มีข้อยึดโยงกับประชาชน แต่ระยะเวลาการทำงานตนติดต่อสื่อสารกับประชาชนมาตลอด บุคคลที่สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ตนก็ขอสาปแช่งบุคคลเหล่านี้ด้วย การแก้รัฐธรรมนูญครั้งเปรียบเสมือนนาฬิกายังไม่เสียเราจะไปซ่อมเพื่ออะไร จนทำให้นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงนายประสงค์ โดยระบุว่าคนที่เสนอร่าวกฎหมายฉบับนี้คือตน เพราะฉะนั้นตนไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ แน่นอน ซึ่งที่มาของนายประสงค์ ตนก็รู้ดีว่าได้ตำแหน่ง ส.ว.มาเพราะอะไร