องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ใช้ช่องทางออนไลน์ Change.org ล่ารายชื่อ 1 ล้านชื่อรณรงค์หยุดกฎหมายล้างผิดคดีโกง ย้ำจุดยืนคดีโกงทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมถึงที่สุด วอนคนที่อยากเห็นสังคมไทยปราศจากคอร์รัปชันร่วมสนันสนุน
วันนี้ (30 ต.ค.) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้รณรงค์ในเว็บไซต์ Change.org ในหัวข้อ “ขอล้านชื่อหยุดกฎหมายล้างผิดคดีโกง” โดยระบุเหตุผลว่า เนื่องจากกรรมาธิการเสียงข้างมากในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... (พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) มีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ความบางส่วนว่า “..หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง..” ซึ่งมีเจตนามุ่งหมายที่จะลบล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตต่างๆ และให้คดีที่ยังค้างคาเป็นอันต้องยุติ ให้ผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดพ้นจากความรับผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวจะส่งผลดังต่อไปนี้
1. ลบล้างคำพิพากษาในคดีทุจริตที่ศาลฎีกาฯ ได้ตัดสินแล้วทั้งหมด
2. คดีทุจริตทั้งหมดที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการไม่ว่าอยู่ในชั้น ป.ป.ช. อัยการ ศาลฎีกาฯ หรือหน่วยงานอื่น จะต้องยุติ ไม่มีการดำเนินคดีอีกต่อไป จะไม่มีการนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ
3. ส่งผลกระทบต่อคดีคอร์รัปชันทั้งหมดที่ดำเนินการโดย ป.ป.ช. คตส. หรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ไม่ว่าการทุจริตนั้นจะเกิดก่อนวันที่ 19 กันยายน 2549 หรือไม่ เนื่องจากหากมีการดำเนินการโดย ป.ป.ช. คตส. หรือ คตง. ก็ถือว่าเข้าเงื่อนไขร่างมาตรา 3
4. ร่างมาตรา 3 มีเนื้อหาที่เป็นการ “ส่งเสริม” ให้เกิดการทุจริตมากยิ่งขึ้น ผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งตัวการ ผู้สนับสนุน และผู้ถูกใช้ให้กระทำ หรือถูกบังคับให้ทำ จะไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ทำให้คอร์รัปชันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนสามารถประมาณความสูญเสียได้
5. สถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทยมีความรุนแรงมากขึ้นในทุกระดับ ประเทศไทยสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปกับการทุจริตมากกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี เป็นเงินจำนวนมหาศาลที่สามารถนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้อย่างมาก
6. การล้างผิดในคดีทุจริตเป็นการทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง สังคมไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่มีค่านิยมใหม่ว่าโกงแล้วไม่มีความผิด โกงแล้วได้แต่ผลดี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวทางสังคมอย่างใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ไขได้
7. ส่งผลเสียโดยตรงและอย่างรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากถูกตัดโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด กระบวนการยุติธรรมจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่สามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมาย เพื่อชดใช้และรับผิดต่ออาชญากรรมร้ายแรงที่กระทำต่อแผ่นดินและคนไทยทั้งประเทศได้
8. การแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ขัดแย้งอย่างชัดแจ้งต่อคำประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 รัฐบาลไม่อาจปัดความรับผิดชอบว่าเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติได้
9. เนื้อหาร่างมาตรา 3 ขัดแย้งและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต (UNCAC 2003) ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้เมื่อ 1 มีนาคม 2554 ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลกที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคดีอันเป็นความผิดฐานคอร์รัปชันภายหลังลงนามให้สัตยาบัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก
10. ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่มาถึงคนไทยทั้งสังคม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย
“องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ย้ำจุดยืนว่า บรรดาคดีในฐานความผิดคอร์รัปชันทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องของกระบวนการยุติธรรมในสังคม และเพื่อให้การปราบปราบการทุจริตคอร์รัปชันเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังและน่าเชื่อถือ และขอเชิญชวนให้ประชาชนผู้ต้องการเห็นสังคมไทยปราศจากคอร์รัปชันร่วมสนันสนุนในการคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ครั้งนี้ เราจะเอาชนะคอร์รัปชันได้ด้วยพลังของสังคม” ข้อความในเว็บไซต์รณรงค์ ระบุ
อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย และสมาชิกองค์กรธุรกิจการเงินและการลงทุน ออกแถลงการณ์ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ และภาคีภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุน คัดค้านล้างผิดคดีโกง โดยเน้นย้ำจุดยืนว่า บรรดาคดีในฐานความผิดคอร์รัปชันทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องของกระบวนการยุติธรรมในสังคม และเพื่อให้การปราบปราบการทุจริตคอร์รัปชันเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังและน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (29 ต.ค.) นายประมนต์ได้เข้ายื่นหนังสือแถลงการณ์ที่สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย เพื่อเรียกร้องให้ตระหนักถึงกรณี ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา 3 มีเจตนาและมุ่งหมายที่จะลบล้างให้คดีทุจริตคอร์รัปชันถูกเพิกถอนไปทั้งหมด พร้อมกับร่วมส่งสัญญาณเตือนให้รัฐบาลปฏิบัติตามอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต ที่รัฐบาลเคยให้สัตยาบันไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก