องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย จวกรัฐบาลผิดสัตยาบันที่เคยให้ไว้ในการเข้าร่วมภาคีอนุสัญญาของสหประชาชาติ ระบุนิรโทษกรรมคนผิด จะทำให้การคอร์รัปชันรุนแรงขึ้น และกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนของประเทศ พร้อมย้ำเดินหน้าต่อต้านเต็มที่เพื่อให้สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง
วานนี้ (28 ต.ค.) เวลา 09.30 น.องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) พร้อมด้วยสมาชิกองค์กรในภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุน ได้จัดงานแถลงจุดยืนต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีการแก้ไขในมาตรา 3 ส่งผลกระทบต่อคดีทุจริตต่างๆ โดยนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นประเทศไทย อ่านแถลงการณ์ว่า ทางองค์กรและภาคีภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุนมีจุดยืนในการคัดค้านและต่อต้านการคอร์รัปชัน รวมถึงการล้างผิดคดีทีเกิดจากการคอร์รัปชัน
ทังนี้ ตามที่กรรมาธิการเสียงข้างมากในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. …. (พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) มีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ความบางนั้น
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวว่า การแก้ไขเนื้อหามาตรา 3 ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมของคณะกรรมาธิการฯ โดยระบุว่า การกระทำดังกล่าวมีเจตนาลบล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตและส่งผลให้คดีที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ต้องยุติไป ซึ่งส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการต่อสู้คอร์รัปชัน ที่ทุกภาคส่วนของสังคมได้ขับเคลื่อนร่วมกันอย่างต่อเนื่องและยาวนาน รวมทั้งจะทำให้การคอร์รัปชันในประเทศมีความรุนแรงมากขึ้น เพราะแต่ละปีงบประมาณแผ่นดินที่เสียไปกับการทุจริตมีมากกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการกระทำทุจริตโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง รวมทั้งส่งผลเสียต่อผู้ถูกล่าวหา ที่ถูกตัดโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธ์ ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของประเทศก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์
"เนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขัดแย้งกับคำประกาศเจตนารมณ์และสัตยาบันของรัฐบาลที่เคยแสดงไว้ก่อนเข้าร่วม เป็นภาคีอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติ เพื่อการต่อต้านการทุจริต เมื่อปี 2554 ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลกที่ออกกฎหมายนิรโทษ กรรมให้กับคดีคอร์รัปชันภายหลังลงนามให้สัตยาบัน ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ประเทศในสายตาของประชาคมโลกและกระทบต่อความเชื่อมั่น ด้านการลงทุนในประเทศ"
นายประมนต์ กล่าวอีกว่า องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และสมาชิกองค์กรภาคธุรกิจ เห็นว่ามติดังกล่าวจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการต่อสู้คอร์รัปชันที่ทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชน เอกชน รวมถึงภาครัฐที่รัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นแกนหลัก ได้พยายามขับเคลื่อนร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง
ทางองค์กรฯ จึงขอยืนยันคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 เพื่อล้างผิดคดีทุจริต และเน้นย้ำจุดยืนว่า บรรดาคดีในฐานความผิดคอร์รัปชันทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องของกระบวนการยุติธรรมในสังคม และเพื่อให้การปราบปราบการทุจริตคอร์รัปชันเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังและน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ขอให้คำมั่นว่าเราจะทำทุกอย่างที่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในสังคม และขอเชิญชวนให้ประชาชนผู้ต้องการเห็นสังคมไทยปราศจากคอร์รัปชันร่วมสนันสนุน ในการคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ครั้งนี้และเราจะเอาชนะคอร์รัปชันได้ด้วยพลังของสังคม
อนึ่ง องค์กรต่อต้านการคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย)มีสมาชิกทั้งจากภาคการเงินและการลงทุน อาทิ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สำนักงานคณะ กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่งประกอบด้วยสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมนัก วิเคราะห์หลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยมีความพยายามขับเคลื่อนต่อต้านการคอร์รัปชันร่วมกันภายใต้เหตุผลประกอบด้วย
1. เป็นที่ทราบว่าสถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทยมีความรุนแรงมากขึ้น ในทุกระดับ ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ตัวเลขจากการศึกษาพบว่าประเทศไทยสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปกับการทุจริตมากกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่สามารถนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้อย่างมาก
2. ถ้อยคำแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา ๓ เป็นการส่งเสริมการกระทำทุจริต ส่งผลให้ผู้มีส่วนสมรู้ร่วมคิดทั้งตัวการ ผู้สนับสนุน และผู้ถูกใช้ให้กระทำ ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งจะทำให้คอร์รัปชันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนมิอาจประมาณความสูญเสียได้
3. การล้างผิดในคดีทุจริตเป็นการทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง สังคม ไทยและโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนชาติ จะมีค่านิยมใหม่ว่าโกงแล้วไม่มีความผิด โกงแล้วล้วนได้แต่ผลดี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวทางสังคมอย่างใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ไขได้
4. มติแก้ไขเพิ่มเติมในร่างกฎหมายดังกล่าว ส่งผลเสียโดยตรงและอย่างรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากถูกตัดโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด หมดโอกาสที่จะได้ใช้ความจริงพิสูจน์ข้อกล่าวหาและลบล้างความระแวงแคลงใจของคนในสังคม ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของประเทศก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่สามารถทำให้สังคมเชื่อในคำตัดสิน และไม่สามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมาย เพื่อชดใช้และรับผิดต่ออาชญากรรมร้ายแรงที่กระทำต่อแผ่นดินและคนไทยทั้งประเทศได้
5. รัฐบาลได้เคยแสดงความมุ่งมั่นที่จะต่อต้านคอร์รัปชัน โดยนำส่วนราชการต่าง ๆ ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ให้คำมั่นว่าการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันถือเป็นภารกิจหน้าที่ และนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและข้าราชการทุกคน ทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ พร้อมกับได้วางยุทธศาสตร์ มาตรการต่างๆ รวมถึงสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม ทว่า การแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ขัดแย้งอย่างชัดแจ้งต่อคำประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาล ซึ่งส่งจะผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความพยายามต่างๆ ของรัฐบาลอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่ควรเกิดขึ้น
6. รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต (United Nations Convention against Corruption : UNCAC 2003) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 แต่ทว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ มีเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงว่าจะขัดแย้งและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ กรณีนี้อาจทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลกที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคดีอันเป็นความผิดฐานคอร์รัปชันภายหลังลงนามให้สัตยาบัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก
วานนี้ (28 ต.ค.) เวลา 09.30 น.องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) พร้อมด้วยสมาชิกองค์กรในภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุน ได้จัดงานแถลงจุดยืนต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีการแก้ไขในมาตรา 3 ส่งผลกระทบต่อคดีทุจริตต่างๆ โดยนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นประเทศไทย อ่านแถลงการณ์ว่า ทางองค์กรและภาคีภาคธุรกิจ การเงินและการลงทุนมีจุดยืนในการคัดค้านและต่อต้านการคอร์รัปชัน รวมถึงการล้างผิดคดีทีเกิดจากการคอร์รัปชัน
ทังนี้ ตามที่กรรมาธิการเสียงข้างมากในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. …. (พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) มีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ความบางนั้น
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวว่า การแก้ไขเนื้อหามาตรา 3 ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมของคณะกรรมาธิการฯ โดยระบุว่า การกระทำดังกล่าวมีเจตนาลบล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตและส่งผลให้คดีที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ต้องยุติไป ซึ่งส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการต่อสู้คอร์รัปชัน ที่ทุกภาคส่วนของสังคมได้ขับเคลื่อนร่วมกันอย่างต่อเนื่องและยาวนาน รวมทั้งจะทำให้การคอร์รัปชันในประเทศมีความรุนแรงมากขึ้น เพราะแต่ละปีงบประมาณแผ่นดินที่เสียไปกับการทุจริตมีมากกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการกระทำทุจริตโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง รวมทั้งส่งผลเสียต่อผู้ถูกล่าวหา ที่ถูกตัดโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธ์ ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของประเทศก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์
"เนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขัดแย้งกับคำประกาศเจตนารมณ์และสัตยาบันของรัฐบาลที่เคยแสดงไว้ก่อนเข้าร่วม เป็นภาคีอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติ เพื่อการต่อต้านการทุจริต เมื่อปี 2554 ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลกที่ออกกฎหมายนิรโทษ กรรมให้กับคดีคอร์รัปชันภายหลังลงนามให้สัตยาบัน ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ประเทศในสายตาของประชาคมโลกและกระทบต่อความเชื่อมั่น ด้านการลงทุนในประเทศ"
นายประมนต์ กล่าวอีกว่า องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และสมาชิกองค์กรภาคธุรกิจ เห็นว่ามติดังกล่าวจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการต่อสู้คอร์รัปชันที่ทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชน เอกชน รวมถึงภาครัฐที่รัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นแกนหลัก ได้พยายามขับเคลื่อนร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง
ทางองค์กรฯ จึงขอยืนยันคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 เพื่อล้างผิดคดีทุจริต และเน้นย้ำจุดยืนว่า บรรดาคดีในฐานความผิดคอร์รัปชันทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องของกระบวนการยุติธรรมในสังคม และเพื่อให้การปราบปราบการทุจริตคอร์รัปชันเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังและน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ขอให้คำมั่นว่าเราจะทำทุกอย่างที่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในสังคม และขอเชิญชวนให้ประชาชนผู้ต้องการเห็นสังคมไทยปราศจากคอร์รัปชันร่วมสนันสนุน ในการคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ครั้งนี้และเราจะเอาชนะคอร์รัปชันได้ด้วยพลังของสังคม
อนึ่ง องค์กรต่อต้านการคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย)มีสมาชิกทั้งจากภาคการเงินและการลงทุน อาทิ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สำนักงานคณะ กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่งประกอบด้วยสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมนัก วิเคราะห์หลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยมีความพยายามขับเคลื่อนต่อต้านการคอร์รัปชันร่วมกันภายใต้เหตุผลประกอบด้วย
1. เป็นที่ทราบว่าสถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทยมีความรุนแรงมากขึ้น ในทุกระดับ ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ตัวเลขจากการศึกษาพบว่าประเทศไทยสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปกับการทุจริตมากกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่สามารถนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้อย่างมาก
2. ถ้อยคำแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา ๓ เป็นการส่งเสริมการกระทำทุจริต ส่งผลให้ผู้มีส่วนสมรู้ร่วมคิดทั้งตัวการ ผู้สนับสนุน และผู้ถูกใช้ให้กระทำ ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งจะทำให้คอร์รัปชันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนมิอาจประมาณความสูญเสียได้
3. การล้างผิดในคดีทุจริตเป็นการทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง สังคม ไทยและโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนชาติ จะมีค่านิยมใหม่ว่าโกงแล้วไม่มีความผิด โกงแล้วล้วนได้แต่ผลดี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวทางสังคมอย่างใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ไขได้
4. มติแก้ไขเพิ่มเติมในร่างกฎหมายดังกล่าว ส่งผลเสียโดยตรงและอย่างรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากถูกตัดโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด หมดโอกาสที่จะได้ใช้ความจริงพิสูจน์ข้อกล่าวหาและลบล้างความระแวงแคลงใจของคนในสังคม ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมของประเทศก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่สามารถทำให้สังคมเชื่อในคำตัดสิน และไม่สามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมาย เพื่อชดใช้และรับผิดต่ออาชญากรรมร้ายแรงที่กระทำต่อแผ่นดินและคนไทยทั้งประเทศได้
5. รัฐบาลได้เคยแสดงความมุ่งมั่นที่จะต่อต้านคอร์รัปชัน โดยนำส่วนราชการต่าง ๆ ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ให้คำมั่นว่าการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันถือเป็นภารกิจหน้าที่ และนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและข้าราชการทุกคน ทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ พร้อมกับได้วางยุทธศาสตร์ มาตรการต่างๆ รวมถึงสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม ทว่า การแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 ขัดแย้งอย่างชัดแจ้งต่อคำประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาล ซึ่งส่งจะผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความพยายามต่างๆ ของรัฐบาลอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่ควรเกิดขึ้น
6. รัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต (United Nations Convention against Corruption : UNCAC 2003) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 แต่ทว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ มีเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงว่าจะขัดแย้งและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ กรณีนี้อาจทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลกที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคดีอันเป็นความผิดฐานคอร์รัปชันภายหลังลงนามให้สัตยาบัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก