ครม.ไฟเขียวดึงงบกลาง 7 พันล้านบาท โปะระบายข้าวต่ำกว่าราคาตลาด ตามนโยบายรัฐบาล ที่มีทั้งขายครึ่งราคา และตันละ 1 บาท ด้าน"ธีระชัย" ถล่มซ้ำจำนำข้าว 2 ปี เจ๊งกว่า 4 แสนล้าน จากปัญหาสต็อกข้าวไม่ครบถ้วน และคุณภาพข้าวต่ำกว่ามาตรฐาน อัด"โต้ง" ความรู้ด้านบัญชีเทียบไม่ติด"หม่อมอุ๋ย"
วานนี้ (22ต.ค.) นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. มีมติอนุมัติ จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น วงเงิน 7,048.15 ล้านบาท ให้กับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการขายข้าวสาร ที่ใช้ในโครงการตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีส่วนต่างของราคาที่ได้รับอนุมัติให้จำหน่ายกับราคาตลาด ณ วันที่ได้รับอนุมัติ เพื่อคืนเงินให้กับกระทรวงพาณิชย์ จากที่ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการบริจาคข้าวสาร ข้าวสารธงฟ้า และข้าวสาร จำหน่ายให้องค์กรของรัฐ
ทั้งนี้ ครม.ได้ให้กรมการค้าระหว่างประเทศในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐ นำไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวต่อไป
สำหรับรายละเอียดของข้าวสาร ที่มีการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องขอจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) รายงาน ครม.ว่า เป็นไปตามการดำเนินกิจกรรมเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยทั่วไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการนำไปจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาด เพื่อช่วยเหลือประชาชนในโครงการธงฟ้า ลดค่าครองชีพของประชาชน และจำหน่ายให้องค์กรของรัฐ เช่น กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมราชทัณฑ์ โดยจำหน่ายข้าวสารตันละ 1 บาท และไม่คิดมูลค่ากรณีนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งการจำหน่ายครึ่งราคา ให้กับร้านค้าถูกใจ ข้าวสารธงฟ้า และอคส. ส่วนที่จำหน่ายให้องค์การของรัฐอื่นๆ กำหนดราคาข้าวขาว 5% ตันละ 10,000 บาท และข้าวเหนียว 10% และข้าวเมล็ดยาวราคาตันละ 7,000 บาท ซึ่งเป็นการจำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาด ประกอบไปด้วย 3 รายการดังมีรายละเอียดได้แก่
1.การบริจาคข้าว กขช. อนุมัติให้มีการจัดทำข้าวสารบรรจุถุง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดต่างๆ 6 หมื่นตัน โดยจำหน่ายในราคาตันละ 1 บาท โดยเป็นข้าวของ อคส. และ อตก. หน่วยละ 30,000 ตัน และอนุมัติให้ช่วยเหลือเหลือฟิลิปปินส์ ปริมาณ 500 ตัน โดยคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 966.473 ล้านบาท
2. ข้าวธงฟ้า กขช. และคณะอนุกรรมการระบายข้าวได้อนุมัติการจัดทำข้าวบรรจุถุงเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน จำนวน 2.5 ล้านตัน และได้มีการเบิกข้าวจากโกดังกลางไปทำข้าวสารบรรจุถุง จำนวน 1,110,901 ตัน แต่ดำเนินการจริงจำนวน 593,047 ตัน คิดเป็นมูลค่าที่จะขอรับการจัดสรรในส่วนนี้ 5,589.409 ล้านบาท
3.ข้าวที่จำหน่ายให้กับองค์กรของรัฐ โดย กขช. ได้อนุมัติให้มีการจำหน่ายข้าวให้กับองค์กรของรัฐจำนวน 71,580 ตัน แต่มีองค์กรของรัฐที่มาขอรับมอบข้าว จำนวน 58,165 ตัน เมื่อนำไปคำนวณกับราคาตลาด จะคิดเป็นเงินที่ขอรับการจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 492.309 ล้านบาท
**วราเทพ'บอกยังไม่ถึงเวลาลดราคาจำนำข้าว
นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวว่ารัฐบาลมีแนวทางในการปรับปรุงโครงการรับจำนำข้าวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีการวางแนวทางไว้ 4 แนวทาง ได้แก่ การลดราคารับจำนำข้าว การลดปริมาณรับจำนำข้าวต่อครัวเรือนเพื่อจำกัดปริมาณข้าวที่จะเข้าโครงการ การลดต้นทุนการผลิตข้าวและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการ และการควบคุมให้โครงการมีความโปร่งใส โดยแนวทางต่างๆ บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ดำเนินการได้เลย เช่น การปรับปรุงให้โครงการมีความโปร่งใสมากขึ้น และการลดปริมาณรับจำนำต่อครัวเรือนลง อย่างไรก็ตามบางแนวทางก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะดำเนินการ เช่นการลดราคารับจำนำ
** "ธีระชัย"ถล่มซ้ำ2 ปีเจ๊งกว่า 4 แสนล้าน
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น่าจะขาดทุนสูงกว่าปีละ 2 แสนล้านบาท
"จำนำข้าว ขาดทุนปีละกว่า 2 แสนล้าน ที่คุณสุภาได้กรุณาให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนว่า รัฐบาลขาดทุนคร่าวๆ ปีละ 2 แสนล้าน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับที่ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ได้แถลงข่าวไว้ก่อนหน้านี้
***ความรู้ด้านบัญชี"โต้ง"ยังห่างชั้น"อุ๋ย"
ภายหลังจากที่ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร แถลงตัวเลขขาดทุน 4 แสนล้าน สำหรับสองปี ปรากฏว่า รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง (นายกิตติรัตน์ )ได้พูดว่า ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ไม่ได้เรียนวิชาบัญชี ตัวเลขจึงไม่ถูกต้อง
รัฐมนตรีพาณิชย์ ก็ออกมาเถียงว่า ขาดทุนปีหนึ่งๆ เพียง 1 แสนล้านบาท
ในประเด็นนี้ มีผู้ให้ข้อมูลแก่ผมว่า ในช่วงที่เรียนปริญญาตรีนั้น ม.ร.ว. ปรีดิยาธร สอบวิชาบัญชีได้คะแนนเต็มร้อยเปอร์เซนต์ ผมไม่ยืนยัน
แต่เนื่องจาก ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เคยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารพาณิชย์อันดับสองของประเทศไทย และเคยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทั้งสองตำแหน่ง ต้องใช้ความรู้ทางบัญชีอย่างหนัก
เปรียบเทียบกับ นายกิตติรัตน์ ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ผมจึงเห็นว่า ม.ร.ว. ปรีดิยาธร น่าจะมีความรู้ด้านบัญชี มากกว่า นายกิตติรัตน์อย่างเทียบกันไม่ติด
หากจะถกเถียงระหว่างสองคนนี้ ว่าใครเป็นผู้ที่มีความรู้ทางบัญชีมากกว่ากัน ผู้อ่านก็อาจจะไม่ถกเถียงกันได้ก็ตาม แต่หากพูดถึง คุณสุภา รับรองว่าไม่มีใครเถียง เพราะเธอเรียนมาทางนี้โดยตรง และทำงานด้านนี้มาตลอดชีวิต นอกจากนี้ก็ยังเข้าไปช่วยงานที่สภาวิชาชีพบัญชีอย่างเต็มที่อีกด้วย
TDRIได้พยายามอธิบาย ว่าตัวเลขของรัฐมนตรีพาณิชย์ที่ขาดทุนเพียงปีละ 1 แสนล้าน ต่ำกว่าตัวเลขของ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ก็เพราะกระทรวงพาณิชย์ ใช้วิธีตีราคาสต็อกข้าว ตามราคาทุน โดยอ้างว่ายังไม่ขาย ก็ควรตีมูลค่าสต็อกตามราคาทุน
แต่ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ใช้หลักบัญชีที่ถูกต้อง ซึ่งกำหนดว่า หากราคาตลาดต่ำกว่าราคาทุน ต้องตีมูลค่าสต็อกด้วยราคาตลาด
แต่ผมขอบอกว่า ตัวเลขปีละ 2 แสนล้าน รวมสองปี 4 แสนล้านนั้น ยังต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะการตีมูลค่าสต็อกนั้น ใช้สมมุติฐานว่า ข้าวที่เหลืออยู่ในสต็อกทั้งหมด มีคุณภาพที่จะขายได้ตามราคาตลาดทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ผมจึงมั่นใจ ว่าสต็อกข้าวที่เหลืออยู่นั้น หากตรวจนับกันแบบมีระบบ ตามหลักการตรวจสอบบัญชีที่ถูกต้อง ก็จะพบว่า(ก) จำนวนสต็อกที่เหลืออยู่ อาจจะไม่ครบถ้วน และ (ข) คุณภาพและสภาพของข้าว อาจจะต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้ขายได้จริงต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก ผมจึงคาดว่าขาดทุนสองปี น่าจะมากกว่า 4 แสนล้านเสียอีก
** รัฐบาลบีบธ.ก.ส.สำรองจ่าย 6.6 พันล้าน
นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า ชาวนาทั่วประเทศรู้สึกดีใจ ครม.มีมติอนุมัติ ธ.ก.ส. เปิดระบบสั่งจ่ายเงินจำนวน 6.6 พันล้านบาท ที่ค้างชำระให้แก่ชาวนาตามโครงการรับจำนำข้าวปี 2555/56 รอบที่ 2 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการออกใบประทวนให้แล้ว โดยเริ่มจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะจ่ายครบทุกรายในต้นเดือนธ.ค.นี้
ทั้งนี้ รัฐบาลค้างเงินชำระชาวนา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นเงินทั้งสิ้น 2,831 ล้านบาท ซึ่งแกนนำชาวนาในแต่ละอำเภอได้รับการติดต่อจากธ.ก.ส.แล้วว่า จะมีการโอนเงินเข้าสมุดบัญชีเงินฝากของชาวนาจริง ในวันพฤหัสบดีที่ 24 ต.ค.นี้ ดังนั้น ขอให้ชาวนานำสมุดบัญชีไปเบิกเงินสดได้
วานนี้ (22ต.ค.) นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. มีมติอนุมัติ จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น วงเงิน 7,048.15 ล้านบาท ให้กับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการขายข้าวสาร ที่ใช้ในโครงการตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีส่วนต่างของราคาที่ได้รับอนุมัติให้จำหน่ายกับราคาตลาด ณ วันที่ได้รับอนุมัติ เพื่อคืนเงินให้กับกระทรวงพาณิชย์ จากที่ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการบริจาคข้าวสาร ข้าวสารธงฟ้า และข้าวสาร จำหน่ายให้องค์กรของรัฐ
ทั้งนี้ ครม.ได้ให้กรมการค้าระหว่างประเทศในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐ นำไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวต่อไป
สำหรับรายละเอียดของข้าวสาร ที่มีการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องขอจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) รายงาน ครม.ว่า เป็นไปตามการดำเนินกิจกรรมเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยทั่วไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการนำไปจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาด เพื่อช่วยเหลือประชาชนในโครงการธงฟ้า ลดค่าครองชีพของประชาชน และจำหน่ายให้องค์กรของรัฐ เช่น กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมราชทัณฑ์ โดยจำหน่ายข้าวสารตันละ 1 บาท และไม่คิดมูลค่ากรณีนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งการจำหน่ายครึ่งราคา ให้กับร้านค้าถูกใจ ข้าวสารธงฟ้า และอคส. ส่วนที่จำหน่ายให้องค์การของรัฐอื่นๆ กำหนดราคาข้าวขาว 5% ตันละ 10,000 บาท และข้าวเหนียว 10% และข้าวเมล็ดยาวราคาตันละ 7,000 บาท ซึ่งเป็นการจำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาด ประกอบไปด้วย 3 รายการดังมีรายละเอียดได้แก่
1.การบริจาคข้าว กขช. อนุมัติให้มีการจัดทำข้าวสารบรรจุถุง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดต่างๆ 6 หมื่นตัน โดยจำหน่ายในราคาตันละ 1 บาท โดยเป็นข้าวของ อคส. และ อตก. หน่วยละ 30,000 ตัน และอนุมัติให้ช่วยเหลือเหลือฟิลิปปินส์ ปริมาณ 500 ตัน โดยคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 966.473 ล้านบาท
2. ข้าวธงฟ้า กขช. และคณะอนุกรรมการระบายข้าวได้อนุมัติการจัดทำข้าวบรรจุถุงเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน จำนวน 2.5 ล้านตัน และได้มีการเบิกข้าวจากโกดังกลางไปทำข้าวสารบรรจุถุง จำนวน 1,110,901 ตัน แต่ดำเนินการจริงจำนวน 593,047 ตัน คิดเป็นมูลค่าที่จะขอรับการจัดสรรในส่วนนี้ 5,589.409 ล้านบาท
3.ข้าวที่จำหน่ายให้กับองค์กรของรัฐ โดย กขช. ได้อนุมัติให้มีการจำหน่ายข้าวให้กับองค์กรของรัฐจำนวน 71,580 ตัน แต่มีองค์กรของรัฐที่มาขอรับมอบข้าว จำนวน 58,165 ตัน เมื่อนำไปคำนวณกับราคาตลาด จะคิดเป็นเงินที่ขอรับการจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 492.309 ล้านบาท
**วราเทพ'บอกยังไม่ถึงเวลาลดราคาจำนำข้าว
นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวว่ารัฐบาลมีแนวทางในการปรับปรุงโครงการรับจำนำข้าวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีการวางแนวทางไว้ 4 แนวทาง ได้แก่ การลดราคารับจำนำข้าว การลดปริมาณรับจำนำข้าวต่อครัวเรือนเพื่อจำกัดปริมาณข้าวที่จะเข้าโครงการ การลดต้นทุนการผลิตข้าวและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการ และการควบคุมให้โครงการมีความโปร่งใส โดยแนวทางต่างๆ บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ดำเนินการได้เลย เช่น การปรับปรุงให้โครงการมีความโปร่งใสมากขึ้น และการลดปริมาณรับจำนำต่อครัวเรือนลง อย่างไรก็ตามบางแนวทางก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะดำเนินการ เช่นการลดราคารับจำนำ
** "ธีระชัย"ถล่มซ้ำ2 ปีเจ๊งกว่า 4 แสนล้าน
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น่าจะขาดทุนสูงกว่าปีละ 2 แสนล้านบาท
"จำนำข้าว ขาดทุนปีละกว่า 2 แสนล้าน ที่คุณสุภาได้กรุณาให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนว่า รัฐบาลขาดทุนคร่าวๆ ปีละ 2 แสนล้าน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับที่ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ได้แถลงข่าวไว้ก่อนหน้านี้
***ความรู้ด้านบัญชี"โต้ง"ยังห่างชั้น"อุ๋ย"
ภายหลังจากที่ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร แถลงตัวเลขขาดทุน 4 แสนล้าน สำหรับสองปี ปรากฏว่า รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง (นายกิตติรัตน์ )ได้พูดว่า ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ไม่ได้เรียนวิชาบัญชี ตัวเลขจึงไม่ถูกต้อง
รัฐมนตรีพาณิชย์ ก็ออกมาเถียงว่า ขาดทุนปีหนึ่งๆ เพียง 1 แสนล้านบาท
ในประเด็นนี้ มีผู้ให้ข้อมูลแก่ผมว่า ในช่วงที่เรียนปริญญาตรีนั้น ม.ร.ว. ปรีดิยาธร สอบวิชาบัญชีได้คะแนนเต็มร้อยเปอร์เซนต์ ผมไม่ยืนยัน
แต่เนื่องจาก ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เคยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารพาณิชย์อันดับสองของประเทศไทย และเคยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทั้งสองตำแหน่ง ต้องใช้ความรู้ทางบัญชีอย่างหนัก
เปรียบเทียบกับ นายกิตติรัตน์ ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ผมจึงเห็นว่า ม.ร.ว. ปรีดิยาธร น่าจะมีความรู้ด้านบัญชี มากกว่า นายกิตติรัตน์อย่างเทียบกันไม่ติด
หากจะถกเถียงระหว่างสองคนนี้ ว่าใครเป็นผู้ที่มีความรู้ทางบัญชีมากกว่ากัน ผู้อ่านก็อาจจะไม่ถกเถียงกันได้ก็ตาม แต่หากพูดถึง คุณสุภา รับรองว่าไม่มีใครเถียง เพราะเธอเรียนมาทางนี้โดยตรง และทำงานด้านนี้มาตลอดชีวิต นอกจากนี้ก็ยังเข้าไปช่วยงานที่สภาวิชาชีพบัญชีอย่างเต็มที่อีกด้วย
TDRIได้พยายามอธิบาย ว่าตัวเลขของรัฐมนตรีพาณิชย์ที่ขาดทุนเพียงปีละ 1 แสนล้าน ต่ำกว่าตัวเลขของ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ก็เพราะกระทรวงพาณิชย์ ใช้วิธีตีราคาสต็อกข้าว ตามราคาทุน โดยอ้างว่ายังไม่ขาย ก็ควรตีมูลค่าสต็อกตามราคาทุน
แต่ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ใช้หลักบัญชีที่ถูกต้อง ซึ่งกำหนดว่า หากราคาตลาดต่ำกว่าราคาทุน ต้องตีมูลค่าสต็อกด้วยราคาตลาด
แต่ผมขอบอกว่า ตัวเลขปีละ 2 แสนล้าน รวมสองปี 4 แสนล้านนั้น ยังต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะการตีมูลค่าสต็อกนั้น ใช้สมมุติฐานว่า ข้าวที่เหลืออยู่ในสต็อกทั้งหมด มีคุณภาพที่จะขายได้ตามราคาตลาดทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ผมจึงมั่นใจ ว่าสต็อกข้าวที่เหลืออยู่นั้น หากตรวจนับกันแบบมีระบบ ตามหลักการตรวจสอบบัญชีที่ถูกต้อง ก็จะพบว่า(ก) จำนวนสต็อกที่เหลืออยู่ อาจจะไม่ครบถ้วน และ (ข) คุณภาพและสภาพของข้าว อาจจะต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้ขายได้จริงต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก ผมจึงคาดว่าขาดทุนสองปี น่าจะมากกว่า 4 แสนล้านเสียอีก
** รัฐบาลบีบธ.ก.ส.สำรองจ่าย 6.6 พันล้าน
นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า ชาวนาทั่วประเทศรู้สึกดีใจ ครม.มีมติอนุมัติ ธ.ก.ส. เปิดระบบสั่งจ่ายเงินจำนวน 6.6 พันล้านบาท ที่ค้างชำระให้แก่ชาวนาตามโครงการรับจำนำข้าวปี 2555/56 รอบที่ 2 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการออกใบประทวนให้แล้ว โดยเริ่มจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะจ่ายครบทุกรายในต้นเดือนธ.ค.นี้
ทั้งนี้ รัฐบาลค้างเงินชำระชาวนา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นเงินทั้งสิ้น 2,831 ล้านบาท ซึ่งแกนนำชาวนาในแต่ละอำเภอได้รับการติดต่อจากธ.ก.ส.แล้วว่า จะมีการโอนเงินเข้าสมุดบัญชีเงินฝากของชาวนาจริง ในวันพฤหัสบดีที่ 24 ต.ค.นี้ ดังนั้น ขอให้ชาวนานำสมุดบัญชีไปเบิกเงินสดได้