ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หลายวันก่อน มีการเผยแพร่สำนวน“สำนักงานอัยการสูงสุด” หรือ อสส.กรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เสนอความเห็นสมควรสั่งฟ้องในคดีฉ้อโกงและคดีฮั้วประมูล ที่บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นต์ แอนด์ คอนตรัคชั่น จำกัด พร้อมพวกผู้บริหาร ตกเป็นผู้ต้องหา ในโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ มูลค่า 5,848 ล้านบาท
สำนวนดังกล่าว ระบุ ว่า สำหรับสำนวนคดีฉ้อโกงที่ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นต์ แอนด์ คอนตรัคชั่น จำกัด ,นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ประธานบริษัท พีซีซีฯ , นายวิศณุ วิเศษสิงห์ กรรมการผู้จัดการบริษัท พีซีซีฯ และนายจตุรงค์ อุดมสิทธิกุล กรรมการบริษัท พีซีซีฯ ผู้ต้องหาที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงเงินค่าก่อสร้างผู้รับเหมาช่วง ในโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ จำนวนกว่า 90 ล้านบาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
แต่สำหรับความเห็นของ อสส.สรุปสั้น ๆ คือ อสส. มีความเห็น จะสั่งไม่ฟ้อง “พีซีซี-ผู้บริหาร” เนื่องจาก พยานหลักฐานไม่เพียงพอพิสูจน์ความผิดตามข้อกล่าวหา ความเห็นดักงล่าวไม่มีการกล่าวถึงนักการเมือง
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ต.ค.นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม นายสุชน ชาลีเครือ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษเฉพาะด้าน( ระดับ9) ดีเอสไอ ยกโขยงร่วมแถลงข่าว
โดยมีมติเห็นแย้งสั่งฟ้องบริษัทพีซีซี คดีฉ้อโกงผู้รับเหมาช่วง และคดีฮั้วประมูลโครงการสร้างสถานีตำรวจทดแทน หลังจากอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัทพีซีซีฯ
“นายธาริต”คนขยันบอกว่า ได้พิจารณาสำนวนคดีแล้วมีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ทั้งสองคดีดังนี้ คือ ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง เห็นว่าจากการสอบสวนพบว่าก่อนที่บริษัทพีซีซีฯ จะเข้าประมูลจัดจ้างกับ สตช. ได้ยอมรับว่า บริษัทพีซีซีฯ กับพวก ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามสัญญา เนื่องจากผู้รับเหมารายเดียว
ทำสัญญา กับ สตช. โดยมีเจตนาที่จะไม่ผูกพันกระทำการตามสัญญาดังกล่าว เป็นการแสดงเจตนาโดยกลฉ้อฉล นิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งการแสดงเจตนาดังกล่าวมีเจตนาทุจริตเป็นฉ้อโกง เงินจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าจำนวน 877 ล้านบาท และครบครองสิทธิตามสัญญาดังกล่าวซึ่งถือเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งในวงเงิน 5,848 ล้านบาท จึงเชื่อได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาฉ้อโกงทรัพย์ผู้รับเหมาช่วง
จากการสอบสวนพบว่า เนื่องจากมติ ครม ปี 2550 ได้ระบุว่า ให้ บริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ก่อสร้างดังกล่าว และมติ ครม. ปี 2552ให้ สตช. จัดจ้างโดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค และให้ สตช. จัดทำรายละเอียดโครงการจัดจ้างดังกล่าวเข้า ครม. เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่ สตช. ก็ไม่ได้ดำเนินการตามมติ ครม ดังกล่าว แต่กลับให้ดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างอาคารรวมกันในครั้งเดียว และไม่ยอมให้ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เข้ารับจ้างทำการก่อสร้างและเข้าร่วมประกวดราคาก่อสร้างดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำขัดกับ มติ ครม.
บริษัท พีซีซีฯ กับพวก ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามสัญญา เนื่องจากผู้รับเหมารายเดียวไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จเป็นไปตามสัญญาได้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตรา 8
ดังนั้น ตนในฐานะดีเอสไอ พิจารณาแล้วมีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณามีคำสั่งฟ้อง ตามฐานความผิดทั้งสองเรื่องดังกล่าวข้างต้น โดยได้นำส่งความเห็นแย้งดังกล่าวไปยังอัยการสูงสุดแล้ว และในส่วนคดีความผิดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ได้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ปปช. แล้ว และทางคณะกรรมการ ปปช. ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนในเรื่องดังกล่าว
นายธาริต ยังบอกว่า สำนวนที่ทำถึง อสส. มีพยานหลักฐานว่ามีการจ่ายเงิน ตอบแทนให้ฝ่ายการเมืองที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของผู้บริหารรัฐบาลในขณะนั้น ซึ่งตนรับผิดชอบเพราะมีพยานหลักฐาน จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้ยึดโยงกัน ตามพยานหลักฐานมีการจ่ายเงินในวันที่ฝ่ายการเมืองอนุมัติให้ยกเลิกจากการประมูลทั่วประเทศเป็นภาคๆ มารวมศูนย์แล้วอนุมัติให้บริษัทพีซีซีฯ ได้ไปก็มีพยานยืนยันว่าตัวผู้บริหารระดับสูงของบริษัทพูดเองเลยว่า เสียเงินไปเท่าไหร่อย่างไรอยู่ในสำนวนการสอบสวน แต่จะมีการจ่ายเงินกี่ล้าน จำไม่ได้อยู่สำนวน
เรื่องนี้เราประมวลเรื่องทั้งหมดแล้ว ถึงความสืบเนื่องและก็ความเป็นไป มันถึงสอดคล้องกันในแง่พยานหลักฐาน ตนพร้อมรับผิดชอบเพราะทุกอย่างคือข้อเท็จจริง เราจัดเป็นพยานแวดล้อมเพราะข้อกล่าวหาเราคือการเจตนาหลอกลวงมาตั้งแต่ต้น ที่จะทุจริตเงินงบประมาณแผ่นดิน
จากพยานหลักฐานมันต่อเนื่องมีการวางแผนจากฝ่ายการเมือง จากการที่ประมูลรายภาคมาสั่งที่ส่วนกลางที่เดียว ทั้งๆที่การสั่ง ฝ่ายการเมืองไม่ต้องสั่ง ฝ่ายข้าราชการประจำทำได้ ถ้าจะรวม แต่ในที่สุดก็มีการส่งให้ฝ่ายการเมืองสั่ง พอฝ่ายการเมืองสั่งแล้วก็มาถึงการชนะประมูลพอถึงวันที่ชนะประมูล ก็มีการจ่ายเงินและก็เป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายที่จะมีการเลือกตั้ง
ตอนหนึ่งนักข่าวเลยถามนายธาริตว่า ว่านักการเมืองคนดังกล่าวมีอักษรย่อ ส.ใช่ไหมหรือไม่ ได้คำตอบว่า “ตนตอบไม่ได้ถ้าตอบไปถูกฟ้องแน่นอน” เพราหากมีการสั่งไม่ฟ้อง2คดีนี้ อาจจะกระทบต่อคดีที่ป.ป.ช. ที่ต้องชี้มูลเพราะมีทั้งภาคเอกชนและเจ้าหน้าที่รัฐพันกัน
พยานหลักฐานดีเอสไอมีว่าฝ่ายการเมืองรับเงินรับทองไม่ถูกต้องในเรื่องโรงพักทดแทนเป็นสาระสำคัญ
ขณะที่พยานที่ได้ให้การกับดีเอสไอว่าเคยได้ยินผู้บริหารบริษัทพีซีซีฯ ให้เงินนักการเมือง 7 หลัก แต่พยานไม่ได้ระบุยอดเงินที่ชัดเจน ซึ่งเป็นหลักฐานใหม่ในการเห็นแย้งสั่งฟ้องคดี
เรื่อนี้ “นายธาริต”คนขยัน ตามงานเข้าตา อสส.ไม่ฟ้องไม่ได้
อีกเรื่อง มีข่าวว่า “กระทรวงยุติธรรม” โดย “นายชัยเกษม นิติสิริ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
จะเสนอ คณะรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัติงบประมาณ 3 หมื่นล้าน เพื่อก่อสร้างเรือนจำใหม่ทั่วประเทศจำนวน 42 แห่ง
มีชื่อเก๋ๆ ว่า “เรือนจำซุปเปอร์แมก”
เขาอ้างว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากาข้อครหา การเรียกรับผลประโยชน์ในการย้ายผู้ต้องขังกลับภูมิลำเนา
เพราะเรือนจำบางแห่ง ไม่สามารถรองรับได้เนื่องจากแออัด
ขณะที่ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ บอกว่า ในเรือนจำซุปเปอร์แมกที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่พร้อมกับเรือนจำใหม่ 42 แห่งที่ จะออกแบบระบบให้เรือนจำมีความมั่นคงสูง มีการวางระบบคัดผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่อย่างเข้มงวด มีการติดเครื่องตัดสัญญาณ วางระบบป้องกันการสื่อสาร เพื่อควบคุมผู้ต้องขังไม่ให้มีพฤติการณ์ลักลอบติดต่อซื้อขายยาเสพติด
ทั้งนี้ยังมีแนวคิดสร้างเรือนจำเอกชน โดยว่าจ้างผู้มีความชำนาญเกี่ยวกับงานควบคุมผู้ต้องขังเข้ามาบริหารงานเรือนจำ แต่มีแนวคิดจะใช้ในกลุ่มผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี และผู้ต้องขังหญิงที่มีครรภ์ ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ
หวังว่า “เรือนจำซุปเปอร์แมก” 3 หมื่นล้าน จะไม่มีปัญหาฉ้อโกง เหมือนกับคดีโกงสร้างโรงพัก เดี๋ยวจะเดือดร้อนถึง นายธาริต คนขยัน ต้องเข้ามาสอบสวนจับนักการเมืองอีก เพราะเพิ่งได้ต่ออายุทำงานอีกตั้ง 1 ปีแล้ว เพราะมีอีกอีเวนส์ ที่จะต้องสอบสวนเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการคดีทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวะศึกษา ตามโครงการไทยเข้มแข้ง ของรัฐบาลประชาธิปัตย์