xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“สนธิ” ยึด “เจตนา” ป้องสถาบัน “ศาล” ใช้ “ดุลพินิจ” สั่งจำคุก 2 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สนธิ ลิ้มทองกุล
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-จากกรณีศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.2066/2553 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 8 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พิพากษาคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นสถาบันหรือไม่

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์ และจำเลยโต้แย้งกันในศาลล่างฟังได้ว่า จำเลยนำคำพูดของ น.ส.ดารณี หรือดา ตอร์ปิโด ที่พูดพาดพิงสถาบันเบื้องสูงมาปราศรัยที่เวทีพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นการนำคำพูดมาหมิ่นประมาทซ้ำ ที่จำเลยอ้างว่าไม่เจตนา แต่เอาคำพูดมาปราศรัยเพื่อให้มีการ ดำเนินคดีต่อ น.ส.ดารณี หรือดา ตอร์ปิโด ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยไม่มีความจำเป็นต้องเอาเนื้อหามาถ่ายทอดพูดซ้ำในที่สาธารณะ เพราะประชาชนบางส่วน ไม่ทราบว่า น.ส.ดารณี หรือดา ตอร์ปิโด พูดอย่างไร ก็มาทราบจากการที่จำเลยพูด ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ส่งผลกระทบต่อสถาบัน อันเป็นการกระทำที่ไม่ระวังระวังอย่างเพียงพอ การกระทำเป็นการครบองค์ประกอบความผิดแล้ว จึงเป็นความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 112 อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ลงโทษจำคุก 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี

นายสนธิให้สัมภาษณ์หลังทราบคำพิพากษาว่า ไม่หวั่นไหวใดๆ และเคารพคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ และขอต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในศาลฎีกาต่อไป แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง อันสืบเนื่องจากที่ทนายได้สืบพยานโจทก์ลงลึกไปในประเด็นรายละเอียดของเจตนาในการกระทำความผิดค่อนข้างชัดเจนมาก และทำให้เห็นว่า ตนเองไม่ได้มีเจตนาในการกระทำความผิดมาตรา 112

“ผมเพียงนำคำพูดของ น.ส.ดารณี หรือดา ตอร์ปิโด ที่พูดพาดพิงสถาบันเบื้องสูง มาปราศรัยที่เวทีพันธมิตรฯ เพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ได้นำมาพูดทั้งหมด อีกทั้งการที่ผมนำมาพูดนั้นเพียงต้องการให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทั้งทหาร และตำรวจ ดำเนินคดีต่อคนที่พูดจาจาบจ้วงเช่นนี้ ว่าปล่อยให้คนเหล่านี้พูดจาหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่เคารพรักของคนทั้งประเทศได้อย่างไร ศาลชั้นต้น ผมและทนายนำสืบพยานให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผมไม่ได้มีเจตนาในการกระทำผิด ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงออกมาเช่นนี้ ไม่ดูที่เจตนาในการกระกระทำความผิด ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา ต้องดูในข้อเท็จจริงในเรื่องของเจตนาของผู้กระทำความผิดเป็นหลัก”

นายสนธิระบุด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สงสัยว่าน่าจะเกี่ยวโยงและมีนัยการเมืองแน่นอน คือ นัยที่ 1 ทำให้คนที่ออกมาปกป้องสถาบันรู้สึกแหยง เพราะต่อไปคนไทยจะไม่กล้าออกมาเรียกร้องใดๆ เมื่อเห็นคนพูดจาจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จะนิ่งเฉยเพราะกลัวติดคุก เพราะขนาดนายสนธิยังติดคุกเลย คนก็จะไม่กล้าที่จะออกมาพูดอะไรกัน

นัยที่ 2 ทำให้รู้ว่าต่อไปนี้ มาตรา 112 ใครไปแตะต้องจะต้องติดคุกทันที จึงทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้ฝ่ายตรงข้าม กับฝ่ายนิติราษฎร์ สามารถเอาเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขให้ดูว่าแม้แต่ “สนธิ” ยังโดนเลย มาเพื่อล้มมาตรา 112 ทั้งๆ ที่มาตรา 112 ถ้าพิจารณาอย่างยุติธรรมและเป็นธรรมแล้ว ต้องดูที่เจตนาเป็นหลักจะไม่มีปัญหาเลย

ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่พิพากษากลับให้จำคุกนายสนธิ 2 ปี ฐานหมิ่นเบื้องสูงว่า โดยหลักของกฎหมายนั้น ต้องดูที่เจตนาเป็นสำคัญ การที่คำพิพากษาบอกว่า นายสนธิเอาคำพูด ดา ตอร์ปิโด มาพูดต่อก็เป็นความผิดแล้ว จะหยิบยกว่าไม่มีเจตนาไม่ได้ จะเห็นว่านายสนธิทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ดูที่เจตนาเลย

“มันมีขบวนการเอานายสนธิเข้าคุกให้ได้ เพื่อต่อรองกับพันธมิตรฯ อย่าคัดค้านการแก้มาตรา 112 โดยจะฎีกาคำพิพากษานี้ ภายใน 30 วัน และมั่นใจว่า ศาลฎีกาจะยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพราะการพูดของ ดา ตอร์ปิโดกับนายสนธิมีเจตนาต่างกัน”นายสุวัตรแจกแจง

ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า คดีหมิ่นเบื้องสูงที่นายสนธิถูกตัดสินใจจำคุก 2 ปีด้วยเจตนาที่จะปกป้องสถาบัน โดยการหยิบคำพูดของผู้ที่พูดจาบจ้วงสถาบันฯ บางประโยค ออกมาจี้ต่อมสำนึกให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเร่งดำเนินคดีกับผู้ที่พูดจาบจ้วงนั้น กำลังเป็นจับตามองของสังคม เพราะท้ายที่สุดแล้วนายสนธิกลับโดนดำเนินคดีเสียเอง

แต่จะอย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่สิ้นสุดและต้องสู้กันถึงชั้นศาลฎีกาเพื่อเป็นบรรทัดฐานทางสังคมต่อไป
ล้อมกรอบ

จำคุก 5ปี นพวรรณ ประชาไท เหตุจำนนต่อหลักฐาน

ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 914 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำที่ 1257/52 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.นพวรรณ ตั้งอุดมสุข ในความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ต่อพระราชินี ต่อรัชทายาท หรือต่อผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

จากกรณีเมื่อวันที่ 15 ต.ค.2551 จำเลยได้พิมพ์ข้อความอันเป็นการดูหมิ่นเบื้องสูง แล้วนำไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไท (www.prachatai.com) ให้ประชาชนทั่วไปที่ใช้บริการเว็บไซต์ดังกล่าวได้อ่าน ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เบื้องสูงได้ ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า พยานหลักฐานที่เป็นไอพีแอดเดรส และเบอร์โทรศัพท์ สำหรับใช้ต่ออินเทอร์เน็ต ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลย

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยโพสต์ข้อความดังกล่าวจริงหรือไม่ เห็นว่าแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว แต่โจทก์ก็มีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (ปอท.) เบิกความยืนยันว่า จากการตรวจสอบไอพีแอดเดรสของผู้ที่โพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ประชาไทและตรวจสอบกับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต พบว่าไอพีแอดเดรส ตรงกับเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กของจำเลย นอกจากนี้ ตรวจสอบการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตของจำเลย พบว่า วันและเวลา ตรงกับการกระทำผิดในคดีนี้ ซึ่งผู้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะต้องมีรหัสผ่าน และใช้หมายเลขโทรศัพท์ ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบว่าข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ตดังกล่าวตรงกับจำเลย ที่สมัครสมาชิกไว้ตั้งแต่ปี 2550 และได้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตเรื่อยมา

อีกทั้งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบผู้ใช้งานในวันและเวลาขณะเกิดเหตุพบว่า มีผู้ใช้งานเพียงคนเดียว ซึ่งไอพีแอดเดรส ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะไม่ซ้ำกันและมีเพียงไอพีแอดเดรสเดียวเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ได้ ไอพีแอดเดรส จึงเป็นพยานหลักฐานสำคัญ ที่ทำให้ทราบ ชื่อผู้ใช้ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งตรงกับข้อมูลของจำเลย

ทั้งนี้ แม้ว่าข้อความที่โพสต์ลงบนเว็บไซต์ประชาไท จะโดนลบไปแล้ว แต่ข้อความที่โพสต์ดังกล่าวยังถูกเก็บอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต จำเลยจึงไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งพยานโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตรงไปตรงมา ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งจำเลย อีกทั้งความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและความระมัดระวังในการตรวจสอบ จนทราบว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว จึงจะดำเนินคดีตามกฎหมาย พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความหมิ่นเบื้องสูงจริง

ส่วนที่จำเลยอ้างว่าถูกบุคคลอื่นปลอมแปลงไอพีแอดเดรสนั้น เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า การปลอมแปลงไอพีแอดเดรส และการเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ไอพีแอดเดรสของจำเลยทำได้ยาก เพราะไอพีแอดเดรสของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องไม่สามารถปลอมแปลงได้ และในการโพสต์ข้อความ จำเป็นต้องใช้ชื่อและรหัสผ่านด้วย ซึ่งหากรหัสผ่านไม่ตรงกับข้อมูลของจำเลย ก็ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้ พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวด้วยตนเอง เป็นการกระทำผิดตามฟ้อง อีกทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ระบุว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพรักของประชาชน และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังบัญญัติให้ปวงชนชาวไทยต้องมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงสืบไป ผู้ใดจะมาล่วงละเมิดไม่ได้ การกระทำของจำเลยเป็นการใส่ความ ทำให้สถาบันเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เห็นควรให้ลงโทษจำเลยสถานหนักเพื่อไม่ให้บุคคลอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา14 ซึ่งความผิดเป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิด ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักสุด พิพากษาจำคุกจำเลยเป็นเวลา 5 ปี และให้ยึดเอกสารข้อความการกระทำผิด


นพวรรณ ตั้งอุดมสุข
กำลังโหลดความคิดเห็น