“ทนายสุวัตร” ลั่นรับไม่ได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก “สนธิ” คดีหมิ่นเบื้องสูงฯ เหตุไม่ได้ดูที่เจตนาว่าพูดเพื่อต้องการปกป้องสถาบันฯ แฉมีขบวนการเอาติดคุกเพื่อแลกกับการไม่ให้ พธม.ค้านแก้มาตรา 112 เผยจะสู้ในชั้นศาลฎีกาเต็มที่ มั่นใจชนะแน่ พร้อมย้ำมาตรา 112 ไม่ได้มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ดุลพินิจของผู้ใช้
วันนี้ (1 ต.ค.) นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ “News Hour” ทางเอเอสทีวี ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับนี้ตนรับไม่ได้ ทั้งนี้เพราะโดยหลักของกฎหมายนั้นต้องมีเจตนาเป็นสำคัญ การที่คำพิพากษาบอกว่า “นายสนธิเอาคำพูด ดา ตอร์ปิโด มาพูดต่อก็เป็นความผิดแล้ว จะหยิบยกว่าไม่มีเจตนาไม่ได้ แล้วการที่นายสนธิพูดทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันต่อไป” ความข้อนี้อยู่ตรงไหนในการนำสืบศาลชั้นต้น ไม่มี ในศาลชั้นต้นสู้กันชัดเลยว่านายสนธินำคำพูดที่ ดา ตอร์ปิโด พูด 3 ครั้งที่เวทีท้องสนามหลวง ตอนนั้นมีตำรวจ มีหน่วยงานความมั่นคง แต่ไม่มีใครทำอะไรเลย จนนายสนธินำมาพูด วันรุ่งขึ้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ถึงให้ทหารไปแจ้งความ ดา ตอร์ปิโด แล้วตำรวจค่อยมาดำเนินการตอนหลัง
จะเห็นว่านายสนธิทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ฉะนั้นจะผิดได้อย่างไร ประกอบกับสิ่งที่นายสนธิพูด พยานโจทก์ซึ่งเป็นตำรวจก็มาเบิกความว่าเมื่อฟังคำพูด ดา ตอร์ปิโด กับนายสนธิ เห็นว่าสองคนนี้มีเจตนาต่างกัน พยานโจทก์อีกคนที่เป็นแม่ค้าขายน้ำในเวทีพันธมิตรฯ ก็มาเบิกความว่าฟังแล้วเห็นได้ว่ามีเจตนาต่างกัน ดา ตอร์ปิโด พูดเพื่อทำลายสถาบัน แต่นายสนธิพูดเพื่อปกป้องสถาบันฯ เพราะนายสนธิพูดต่อด้วยว่า ถ้าเจอ ดา ตอร์ปิโด ที่ไหนจะตบที่นั่น เป็นการประณาม และคนที่หน้าเวทีก็ไม่มีใครเห็นด้วยกับดา ตอร์ปิโด แต่เห็นด้วยกับนายสนธิ ไม่ได้ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันต่อ
นายสุวัตรกล่าวต่อว่า หลังศาลตัดสิน ตนมานั่งกับนายสนธิที่ห้องรอประกันตัว นายสนธิเข้มแข็งมาก แทนที่ตนจะเป็นคนปลอบ แต่นายสนธิกลับปลอบตนว่าทำดีที่สุดแล้ว มาถูกทางแล้ว และยืนยันจะปกป้องสถาบันฯ ต่อไป
แม้พันธมิตรฯ หลายคนผิดหวัง บอกว่าแล้วต่อไปใครจะปกป้องสถาบันฯ ลึกๆ แล้วคดีนี้มันมีขบวนการเอานายสนธิเข้าคุกให้ได้ตั้งแต่ศาลชั้นแล้ว เพื่อต่อรองว่าพันธมิตรฯ อย่าคัดค้านการแก้มาตรา 112 แต่นายสนธิและแกนนำฯ ไม่ยอม ต่อมาก็เจรจามาทางตนว่าอย่าคัดค้านการแก้มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ปรองดอง พันธมิตรฯ ก็ไม่เห็นด้วย พอมาจนถึงวันนี้คดีขึ้นไปเมื่อเดือนมีนาคม แล้วพิพากษาวันนี้ซึ่งถือว่าเร็วมาก
นายสุวัตรกล่าวอีกว่า ตนจะฎีกาคำพิพากษานี้ภายใน 30 วัน ตนมั่นใจศาลฎีกาว่า ดา ตอร์ปิโดกับนายสนธิมีเจตนาต่างกัน แล้วไปดูคำพิพากษาศาลฎีกาในอดีต กรณีการนำคำพูดคนอื่นมาพูดต่อจะมีความผิดก็ต่อเมื่อคนพูดที่หลังต้องมีเจตนาเดียวกับผู้พูดครั้งแรก แต่นี่ศาลอุทธรณ์ไม่พิจารณาถึงเจตนานายสนธิเลย ตนมั่นใจว่าศาลฎีกาจะยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ไม่ดูที่เจตนาเลย บอกแต่ว่านายสนธิยอมรับว่าพูดจริง ทั้งที่สิ่งที่นายสนเอามาพูดยังไม่ถึง 1 ใน 5 ที่ ดา ตอร์ปิโด พูดเลย สรุปออกมาแค่ 3 ประโยค ทั้งที่ ดา ตอร์ปิโด พูดตั้ง 3 วัน 3 ครั้ง ครั้งละเป็นชั่วโมง เนื้อหาในการสรุปนั้นก็ไม่มีข้อความใดที่เป็นความผิดมาตรา 112 ที่ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีองค์ประกอบของเจตนาทั้งนั้น แต่ศาลอุทธรณ์ไม่หยิบเรื่องเจตนามาพูดเลย
นายสุวัตรกล่าวต่ออีกว่า ศาลอุทธรณ์เขียนว่าการกระทำของนายสนธิไม่ระมัดระวังอย่างเพียงพอ ศาลได้อ่านหรือยังว่าดา ตอร์ปิโด พูดอะไร แล้วนายสนธิ สรุปแค่ 3 ประโยค แบบนี้ไม่ระมัดระวังอย่างเพียงพอหรือ ศาลหยิบยกอะไรมาเขียน มันไม่ตรงกับพยานหลักฐานที่นำสืบกันไว้ในศาลชั้นต้นเลย
ศาลอุทธรณ์เขียนว่าจำเลยไม่มีความจำเป็นต้องถ่ายทอดซ้ำ ทั้งที่ดา ตอร์ปิโด พูด 3 วัน 3 คืนที่สนามหลวง ไม่มีใครลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันฯเลย แบบนี้จำเป็นหรือยัง หรือใครจะหมิ่นประมาทในหลวงก็ได้ ไม่ต้องมีคนลุกขึ้นมาปกป้องใช่ไหม
นายสุวัตรกล่าวทิ้งท้ายว่า นายสนธิยืนยันว่าจะมุ่งมั่นปกป้องสถาบันฯ ต่อไป แม้เอามาตรา 112 มาคล้องคอก็ตาม ทั้งนี้มาตรา 112 ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ดุลพินิจของผู้ใช้ ฉะนั้นอย่าย่อท้อ มั่นใจศาลฎีกาชนะแน่