xs
xsm
sm
md
lg

อึ้ง!จำคุก2ปี "สนธิ"ยึดมั่นจุดยืน หวั่นศาลปิดปาก คนป้องสถาบัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการรายวัน - "สนธิ " เปิดอก หลังศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 ปี คดีหมิ่นเบื้องสูงฯ ม.112 เหตุนำคำพูดดาร์ตอร์ปิโด มาเผยแพร่ต่อ ย้ำ "เจตนา" เพื่อปกป้องสถาบัน และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง นำตัวคนจาบจ้วงมาลงโทษ ซัดมีขบวนการจ้องเอาตนเข้าคุก เชื่อต่อไปคนไทยจะไม่กล้าพูดถึงเรื่องจาบจ้วงอีก ส่อนัยยะทางการเมือง หวังล้ม ม.112 อัดพวกผิดสัตยาบันในหลวงไม่ตายดี พร้อมรับคำตัดสินชั้นฏีกา หากต้องติดคุก จะยืดอกเดินเข้าคุกอย่างสง่างาม ท้าจับ "นชแม้ว"กลับมาติดคุกด้วย ด้าน“ถาวร”ปูดอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีก่อการร้าย “แม้ว” อ้างที่ผ่านมาใช้ดุลไม่เป็นธรรม แนะ ผู้เสียหาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเอง ด้าน “อรรถพล” ปัดไม่รู้ไม่เห็น

วานนี้ (1 ส.ค.) ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.2066/2553 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 8 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พิพากษาคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นสถาบันหรือไม่

เห็นว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยโต้แย้งกันในศาลล่างฟังได้ว่า จำเลยนำคำพูดของ น.ส.ดารณี หรือดา ตอร์ปิโด ที่พูดพาดพิงสถาบันเบื้องสูง มาปราศรัยที่เวทีพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นการนำคำพูดมาหมิ่นประมาทซ้ำ ที่จำเลยอ้างว่าไม่เจตนา แต่เอาคำพูดมาปราศรัยเพื่อให้มีการดำเนินคดีกับ น.ส.ดารณี หรือดา ตอร์ปิโด ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยไม่มีความจำเป็นต้องเอาเนื้อหามาถ่ายทอดพูดซ้ำในที่สาธารณะ เพราะประชาชนบางส่วนไม่ทราบว่า น.ส.ดารณี หรือดา ตอร์ปิโด พูดอย่างไร ก็มาทราบจากการที่จำเลยพูด ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ส่งผลกระทบต่อสถาบัน อันเป็นการกระทำที่ไม่ระวังระวังอย่างเพียงพอ การกระทำเป็นการครบองค์ประกอบความผิดแล้ว จึงเป็นความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 112 อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ลงโทษจำคุก 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี

ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางไปรับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าตนไม่หวั่นไหวใด ๆ และเคารพคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ และขอต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในศาลฏีกาต่อไป แต่ขอสังเกตว่าเหตุใดศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง อันสืบเนื่องจากที่ทนายได้สืบพยานโจทก์ลงลึกไปในประเด็นรายละเอียดของเจตนาในการกระทำความผิดค่อนข้างชัดเจนมาก และทำให้เห็นว่าตนไม่ได้มีเจตนาในการกระทำความผิด

"ผมเพียงนำคำพูดของ น.ส.ดารณี หรือ ดา ตอร์ปิโด ที่พูดพาดพิงสถาบันเบื้องสูง มาปราศรัยที่เวทีพันธมิตรฯ เพียงบางส่วนเท่านั้นแต่ไม่ได้นำมาพูดทั้งหมด อีกทั้งการที่ผมนำมาพูดนั้นเพียงต้องการให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทั้งทหารและตำรวจดำเนินคดีกับคนที่พูดจาจาบจ้วงเช่นนี้ ว่าปล่อยให้เหล่านี้พูดจาหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่เคารพรักของคนทั้งประเทศได้อย่างไร ศาลชั้นต้นผมและทนายนำสืบพยานให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผมไม่ได้มีเจตนาในการกระทำผิด ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงออกมาเช่นนี้ ไม่ดูที่เจตนาในการกระกระทำความผิด ซึ่งตามประมวลกฏหมายอาญา ต้องดูในข้อเท็จจริงในเรื่องของเจตนาของผู้กระทำความผิดเป็นหลัก"นายสนธิระบุ

นายสนธิ ยังกล่าวอีกว่าตนจำได้ว่าขณะนั้นตนได้เรียกร้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.สั่งการณ์ให้ทางทหารออกมาช่วยปกป้องสถาบัน แต่สิ่งที่ตนได้รับคืออดีตนายทหารคนนี้ ได้สั่งการให้นำคำปราศรัยดังกล่าวกลับมาเล่นงานแทน ทั้ง ๆที่ ได้เรียกร้องให้ไปจัดการกับคนที่มันหมิ่สนสถาบันจึงทำให้เห็นว่ามีกระบวนการพิเศษอะไรบางอย่างหรือไม่ ที่ต้องการจะทำให้ตนติดคุกให้ได้

"คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ มีเนื้อหาสาระในกระดาษไม่เกิน 1 หน้าครึ่งกระดาษ ท่านสั่งลงโทษจำคุกโดยให้ดุลพินิจว่า ตนได้นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาพูดจริง ซึ่งตนก็ยอมรับว่าจริง แต่เจตนาทำไมถึงไม่นำมาพูดถึงว่าตนนำคำพูดมาเพื่อเจตนาอะไร เพื่อการปกป้องสถาบันใช่หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ผมเชื่อว่าคนไทยทั้งชาติทราบดี อย่างไรก็ตามผมยังยืนยันที่จะทำหน้าที่ปกป้องสถาบันในฐานะคนไทยคนหนึ่งต่อไป ตนไม่รู้สึกหวั่นไหวใดใดยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลฏีกา เพราะประมวลกฏหมายอาญา ต้องดูที่เจตนาในการกระทำความผิดเป็นหลัก แต่เมืองไทยติดอยู่ที่คำว่า"ดุลพินิจ" ซึ่งท่านมีดุลพินิจเช่นนั้นตนก็ต้องเคารพในดุลพินิจของท่าน แต่ตนสงสัยเท่านั้นว่าเหตุใดถึงไม่มีรายละเอียดการต่อสู้คดีความในศาลชั้นต้นที่รวบรวมพยายนหลักฐานไว้ค่อนข้างแน่นหนา สิ่งเหล่านี้ตนอยากทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น"

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามองว่ามีนัยยะทางการเมืองใดหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า แน่นอนมีส่วน มันมีหลายนัยยะด้วยกัน นัยยะที่ 1. ทำให้คนที่ออกมาปกป้องสถาบันรู้สึกแหยง เพราะต่อไปคนไทยจะไม่กล้าออกมาเรียกร้องใด ๆ เห็นคนพูดจาจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จะนิ่งเฉยเพราะกลัวติดคุก

นัยยะที่ 2 ทำให้รู้ว่าต่อไปนี้ ม.112 ใครไปแตะต้องจะต้องติดคุกทันที จึงทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้ฝ่ายตรงข้ามกันข้ามฝ่ายนิติราษฏร์สามารถเอาเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขเพื่อล้ม ม.112 ทั้ง ๆ ที่ ม.112 ถ้าพิจารณาอย่างยุติธรรมและเป็นธรรมแล้ว ต้องดูที่เจตนาเป็นหลักจะไม่ปัญหาทั้งสิ้นเลย

นายสนธิยืนยันว่า ตนได้มีการระมัดระวังในการใช้คำพูดอย่างรอบคอบก่อนที่จะนำขึ้นมาปราศรัยแล้ว "แต่ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ใครทำอะไรไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ให้สัตยาบันกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ ถ้าผิดคำมั่นสัญญาสัตยาบันต้องมีอันเป็นไป ฉิบหายทุกคน เป็น มะเร็ง ตายก่อนวัย สำหรับผมสบายมาก และก็จะทำหน้าที่เหมือนเดิม ถ้าศาลฏีกาให้ผมต้องเข้าคุกผมจะเดินเข้าคุกอย่างสง่างาม และหันไปบอกว่าเรียก "ทักษิณ" กลับมาติดคุกด้วย ผมเป็นคนที่เคารพหลักนิติรัฐมาโดยตลอด"นายสนธิกล่าวทิ้งท้าย

ด้านนายถาวร เสนเนียม รองหน.ปชป. เปิดเผยว่า ตนได้รับข้อมูลจากวงในสำนักงานอัยการสูงสุดว่า ทางอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้องดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในคดีก่อการร้าย เนื่องจากมีการร้องขอให้ทบทวนการใช้ดุลยพินิจของอัยการ ในช่วงปี 2552 -2553 ว่าดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไม่เป็นธรรม จึงได้มีการหยิบยกพิจารณาใหม่อีกครั้ง แล้วเห็นว่าคำร้องดังกล่าวฟังได้ จึงมีคำสั่งไม่ฟ้องไปในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งตนก็ได้รวบรวมหลักฐานว่า เรื่องดังกล่าวมีข้อเท็จจริงอย่างไร แต่ที่ออกมาเปิดเผยขณะนี้ เพราะอยากให้ประชาชนรับรู้ว่า ระบอบทักษิณกำลังจะฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง เพราะหากเป็นเรื่องจริง จะส่งผลให้ไม่มีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในคดีก่อการร้ายอีกต่อไป และจะเหลือแต่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง และแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น

นายถาวร กล่าวว่า แม้อัยการซึ่งเป็นทนายแผ่นดินจะไม่ดำเนินการฟ้องร้องพ.ต.ท.ทักษิณ แต่สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ก่อขึ้นทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากกับหลายบุคคล ทั้งทำให้มีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินเสียหาย ตนคิดว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับความเสียหายสามารถเป็นโจทย์ฟ้องร้องเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งอัยการอีกต่อไป

ด้านนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุดคนล่าสุด กล่าวปฏิเสธเพียงสั้นๆว่า ตนยังไม่ทราบเรื่อง เพราะพึ่งมาดำรงตำแหน่งเป็นวันแรก หากมีข่าวดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่จะแจ้งให้ตนทราบอีกครั้ง

**แนะสอบ“บิ๊กแจ๊ส”บินหา“ทักษิณ”รอบ 2

วานนี้ (1 ต.ค.56) ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มาเก๊าอีกครั้งเพื่อเข้าพบและเยี่ยมเยียนตามที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวไปว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)น่าจะนำข้อมูลดังกล่าวมาสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เพราะผู้ตรวจการแผ่นดินได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปแล้ว ก็ต้องอยู่ที่สตช.ว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยทางสตช. มอบหมายให้ พล.ต.อ.อมรินทร์ อัครวงษ์ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในการสอบและอยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งหากมีผลออกมาอย่างไรก็จะแจ้งผู้ตรวจการแผ่นดินให้รับทราบ ซึ่งทางสำนักงานก็ได้มีการแจ้งต่อที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินทราบการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการคืนหนังสือเดินทางให้ พล.ต.ท.ทักษิณ ของกระทรวงต่างประเทศ นายรักษเกชา กล่าวว่า ทางสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ขอขยายระยะเวลาการพิจารณาของคณะทำงาน ที่สำนักนายกรัฐมนตรีตั้งขึ้น โดยทางผู้ตรวจการแผ่นดินได้อนุมัติในการขยายระยะเวลาอีก 30 วัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายเวลา โดยจะครบกำหนดภายในวันที่ 6-7 ต.ค.นี้.

นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร และอดีตประธานคณะกรรมการธิการตำรวจ เปิดเผย กรณีที่ที่มีภาพพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ถ่ายรูปกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษหนีคดี พร้อมกลุ่มคนอื่นๆ ที่อยู่ในภาพ โดยภาพดังกล่าวระบุว่าถ่ายไว้เมื่อวันที่ 27/9/56 ซึ่งได้ใช้ชื่อภาพว่า “In Macau ^_^ with happy time” ว่า การเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ของพล.ต.ท.คำรณวิทย์ และมีภาพออกมาอีก ก็ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นตำรวจเป็นข้าราชการ ไม่ควรแสดงพฤติกรรมที่ชัดเจนแบบนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ควรจะเป็นแบบอย่างให้ตำรวจรุ่นหลัง ให้มีภาพพจน์ที่ดีมากกว่า

นายสมชาย กล่าวอีกว่า เชื่อได้ว่าพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก็จะให้เหตุผลเดิมๆ คือเดินทางไปและบังเอิญไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ตั้งใจจะไปหา แต่ประชาชนมีรู้เหตุผลดี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ไม่สนใจเสียงวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม สนใจแต่จะรับใช้นายใหญ่อย่างเดียวเพื่อให้บรรลุผลสิ่งที่ตนต้องการ

“เรื่องครั้งก่อนที่บินไปให้ติดยศ ก็ถือว่าไม่เหมาะสมเพียงพอแล้ว และยังมีเรื่องพล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา และคณะนายตำรวจอีกกว่า 20 นาย ที่เป็นตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้เดินทางไปมอบเงิน จำนวน 3,334,999 บาท เพื่อร่วมสมทบในการสร้างพระพุทธลีลาปางประทานพร เพื่อไว้ประดิษฐานบนยอดวิหารเทพวิทยาคม (วิหารธรรมกลางสระน้ำวัดบ้านไร่) ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสม เนื่องด้วยฐานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ต้องโทษหลบหนีคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ แต่ ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา เป็นข้าราชการตำรวจ ซึ่งต้องตามจับโจรผู้ร้าย ไม่ใช่มาทำหน้าที่เป็นตัวแทนนักโทษหนีคดีไปมอบเงินให้วัด และเอาเวลาราชการไปทำอย่างนั้น”นายสมชายกล่าว

ขณะที่ในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ยังไม่มีวี่แววจของพล.ต.ท.คำรณวิทย์ เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อโทรศัพท์ติดต่อสอบถามพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก็รับสายและพูดแต่เพียงว่า “ปล่อยมันไปๆ” และวางหูทันที
กำลังโหลดความคิดเห็น