ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นร่วงต่ออีก18 จุด แค่2วันเกือบ 70 จุด นักวิเคราะห์ ชี้ความสับสนต่อมาตรการQE และเพดานหนี้สหรัฐฯกดดันทุกตลาดหุ้น ขณะที่ไทยเจอแรงขายจากกองทุนทริกเกอร์ ฟันด์ และพอร์ตโบรกฯผสมโรง แต่คาดโอกาสรีบาวนด์มีมากขึ้นหลังจากร่วงไปเยอะ ด้านก.ล.ต.จี้เร่งสร้างบรรยากาศลงทุน รับQEยุติ ดึงเงินกลับ ส่วนสมาคมนักวิเคราะห์ให้ช่วงสิ้นปีดัชนีวิ่ง1,400-1,500 จุด จากข่าวลบที่หมดแล้ว
ตลาดหุ้นไทย วานนี้ (24ก.ย.) ยังเคลื่อนไหวในแดนลบต่อเนื่องจากวันก่อนที่ลดลง 50 จุด โดยปิดที่ระดับ 1,417.77 จุด ลดลง 18.91 จุด หรือ -1.32% มูลค่าการซื้อขาย 43,572.63 ล้านบาท ภาพรวมนักวิเคราะห์เชื่อว่าเกิดจากแรงที่ขายของนักลงทุน ที่กังวลในความสับสนของมาตรการผ่อนปรนเชิงปริมาณ(QE) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประธานสาขาออกมาแสดงความคิดเห็นแตกแยกกัน อีกทั้งนักลงทุนเริ่มกังวลกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนในการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดหุ้นในหลายประเทศ ปรับตัวลง
นอกจากนี้ ในตลาดหุ้นไทย ดัชนียังต้องเผชิญแรงขายทำกำไรจากกองทุน รวมทั้งพอร์ตลงทุนโบรกเกอร์ (Prop. Trade) โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,578.20 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ขายสุทธิ 782.80 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 2,777.35 ล้านบาท และสถาบันซื้อสุทธิ 583.65 ล้านบาท
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวว่า การที่เฟดจะลดหรือยุติมาตรการ QE จะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในระยะยาว แม้ว่าในระยะสั้นอาจจะทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับไปยังไปสหรัฐฯ แต่เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ยังมีความน่าสนใจอยู่ จึงมองว่านักลงทุนน่าจะมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนและกระจายความเสี่ยงออกไปทั่วโลก ไม่ลงทุนในสหรัฐฯเพียงประเทศเดียว
“สิ่งที่ประเทศไทยควรทำในขณะนี้ คือการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี มีการส่งเสริมและมีการกำกับดูแลที่ดี มีสภาพแวดล้อมที่ดี รวมถึงมีระบบพื้นฐานทางการเงินที่ดี เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้กลับเข้ามาลงทุนในประเทศหากมีการยุติมาตรการ QE ของสหรัฐฯ”
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า ในช่วงปลายปีดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเริ่มทรงตัว และลดความผันผวนลง โดยคาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวอยู่ระดับ 1,400-1,500 จุด เนื่องจากในช่วงกลางปีรับข่าวที่ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบไปหมดแล้ว และประเมินว่าการส่งออกจะปรับตัวดีขึ้นตามภาพรวมเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์ การลงทุน บล.เคทีบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นยังเหวี่ยงต่อเนื่องจากและลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย โดยคาดว่าเป็นแรงขายจากกองทุนในประเทศที่ take profit โดยเฉพาะจากทริกเกอร์ฟันด์ที่ผลตอบแทนถึงเป้าหมาย และอาจมีแรงขายของต่างชาติและพอร์ตโบรกกเอร์ ผสมโรงด้วย ภายใต้ประเด็นความกังวลเรื่องการลดขนาด QE ของสหรัฐ
“นักลงทุนควรติดตามเรื่อง QE รวมทั้ง เพดานหนี้และงบประมาณปี 57 ของสหรัฐต่อไป ส่วนในประเทศต้องรอดูการพิจารณาร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของวุฒิสภา รวมทั้งปัญหาน้ำท่วมที่คาดว่าจะไม่รุนแรงถ้าหากไม่มีพายุใหญ่เข้ามา ทำให้แนวโน้มวันนี้(25 ก.ย.) ดัชนีมีโอกาสที่จะรีบาวด์หลังจากปรับตัวลงไปมาก แนวรับ 1,420-1,410 จุด แนวต้าน 1,430-1,440 จุด”
ตลาดหุ้นไทย วานนี้ (24ก.ย.) ยังเคลื่อนไหวในแดนลบต่อเนื่องจากวันก่อนที่ลดลง 50 จุด โดยปิดที่ระดับ 1,417.77 จุด ลดลง 18.91 จุด หรือ -1.32% มูลค่าการซื้อขาย 43,572.63 ล้านบาท ภาพรวมนักวิเคราะห์เชื่อว่าเกิดจากแรงที่ขายของนักลงทุน ที่กังวลในความสับสนของมาตรการผ่อนปรนเชิงปริมาณ(QE) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประธานสาขาออกมาแสดงความคิดเห็นแตกแยกกัน อีกทั้งนักลงทุนเริ่มกังวลกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนในการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดหุ้นในหลายประเทศ ปรับตัวลง
นอกจากนี้ ในตลาดหุ้นไทย ดัชนียังต้องเผชิญแรงขายทำกำไรจากกองทุน รวมทั้งพอร์ตลงทุนโบรกเกอร์ (Prop. Trade) โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,578.20 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ขายสุทธิ 782.80 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 2,777.35 ล้านบาท และสถาบันซื้อสุทธิ 583.65 ล้านบาท
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวว่า การที่เฟดจะลดหรือยุติมาตรการ QE จะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในระยะยาว แม้ว่าในระยะสั้นอาจจะทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับไปยังไปสหรัฐฯ แต่เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ยังมีความน่าสนใจอยู่ จึงมองว่านักลงทุนน่าจะมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนและกระจายความเสี่ยงออกไปทั่วโลก ไม่ลงทุนในสหรัฐฯเพียงประเทศเดียว
“สิ่งที่ประเทศไทยควรทำในขณะนี้ คือการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี มีการส่งเสริมและมีการกำกับดูแลที่ดี มีสภาพแวดล้อมที่ดี รวมถึงมีระบบพื้นฐานทางการเงินที่ดี เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้กลับเข้ามาลงทุนในประเทศหากมีการยุติมาตรการ QE ของสหรัฐฯ”
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า ในช่วงปลายปีดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเริ่มทรงตัว และลดความผันผวนลง โดยคาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวอยู่ระดับ 1,400-1,500 จุด เนื่องจากในช่วงกลางปีรับข่าวที่ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบไปหมดแล้ว และประเมินว่าการส่งออกจะปรับตัวดีขึ้นตามภาพรวมเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์ การลงทุน บล.เคทีบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นยังเหวี่ยงต่อเนื่องจากและลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย โดยคาดว่าเป็นแรงขายจากกองทุนในประเทศที่ take profit โดยเฉพาะจากทริกเกอร์ฟันด์ที่ผลตอบแทนถึงเป้าหมาย และอาจมีแรงขายของต่างชาติและพอร์ตโบรกกเอร์ ผสมโรงด้วย ภายใต้ประเด็นความกังวลเรื่องการลดขนาด QE ของสหรัฐ
“นักลงทุนควรติดตามเรื่อง QE รวมทั้ง เพดานหนี้และงบประมาณปี 57 ของสหรัฐต่อไป ส่วนในประเทศต้องรอดูการพิจารณาร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของวุฒิสภา รวมทั้งปัญหาน้ำท่วมที่คาดว่าจะไม่รุนแรงถ้าหากไม่มีพายุใหญ่เข้ามา ทำให้แนวโน้มวันนี้(25 ก.ย.) ดัชนีมีโอกาสที่จะรีบาวด์หลังจากปรับตัวลงไปมาก แนวรับ 1,420-1,410 จุด แนวต้าน 1,430-1,440 จุด”