xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” เปิดไทยเข้มแข็ง 2020 ลั่นพัฒนาชาติครอบคลุมไม่ต้องกู้ ก้าวพ้นประชานิยม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หน.ปชป.นำลูกพรรค เปิดโครงการสร้างอนาคตไทยเข้มแข็ง 2020 ลั่นทำได้ดีกว่าถูกกว่ากู้ 2 ล้านล้าน โดยไม่ต้องกู้ ครอบคลุมด้านคมนาคม ศึกษา และสาธารณสุข ตอบโจทย์ ปชช.ทั้งประเทศ ชวนสังคมก้าวข้ามประชานิยมเข้าสู่สังคมสวัสดิการ วางรากฐานให้ไทยเข้มแข็ง “กรณ์” ชี้รถไฟความเร็วสูงมุ่ง กทม.-หนองคาย กทม.-ปาดังเบซาร์ ใช้วิธีร่วมทุนดีสุด เชื่อมจีนกับอาเซียน “สามารถ” โว เพิ่มเส้นทางรถไฟทางคู่ได้มากกว่ารัฐฯ 6 เส้นทาง แถมตรวจสอบได้


 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงข่าว  

วันนี้ (23 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดตัวโครงการสร้างอนาคตไทยเข้มแข็ง 2020 เพื่อแสดงจุดยืนในการกำหนดทิศทางให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็ง เพื่อเทียบเคียงกับการใช้เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทเพื่อลงทุนโครงสร้างฟื้นฐานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทางเลือกที่รัฐบาลนำเสนอมีปัญหา 4 ประการ 1. การตัดสินใจที่จะใช้เงินจำนวนมหาศาลนอกระบบงบประมาณทำให้เป็นการใช้เงินที่ขาดวินัย ขาดการตรวจสอบ ขาดความโปร่งใสตามกระบวนการงบประมาณ และยังเป็นการท้าทายเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าด้วยการใช้เงินแผ่นดินด้วย 2. ทำให้ประเทศเป็นหนี้ถึง 50 ปี แต่เงินถูกไปใช้เฉพาะการขนส่งระบบราง ถนนและท่าเรือ ทั้งๆ ที่ไทยต้องการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทุกด้าน และเมื่อดูการจัดอันดับขีดความสามารถในด้านต่างๆ จะพบว่าความจำเป็นในด้านการศึกษา สาธารณสุข เร่งด่วนมากกว่าด้านคมนาคม จึงเป็นการทุ่มเงินลงทุนเพียงด้านเดียว

3. รัฐบาลขาดความพร้อมในการดำเนินโครงการเป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องการศึกษาความเป็นไปได้ ความคุ้มค่าการลงทุน รายละเอียดเบื้องต้นของโครงการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถให้คำตอบได้ จึงเท่ากับรัฐบาลขอเงินจำนวนมากเหมือนเช็คเปล่า นำไปใช้อะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องอธิบายวงเงินที่สูงเกินความเป็นจริง 4. เมื่อความพร้อมไม่มีและการตัดสินใจอยู่กับความไม่แน่นอนคู่กับนโยบายประชานิยมที่เดินหน้าเต็มสูบในระบบงบประมาณ จึงทำให้มีความเสี่ยงในเรื่องสถานะการคลังของประเทศอย่างสูง การยืนยันว่าจะไม่มีหนี้สาธารณะเกิน 50 เปอร์เซ็นต์และทำงบประมาณสมดุลภายในปี 2560

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พรรคจึงขอเสนอแนวทางที่สามารถปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานได้โดยไม่จำเป็นต้องกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่ากฎหมายดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญไม่สามารถดำเนินการได้ พรรคก็มีข้อเสนอที่สามารถลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดโดยไม่ต้องกู้เงินแต่ทำในระบบงบประมาณและให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการที่มีผลตอบแทนทางธุรกิจ ซึ่งจะทำให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ให้ผู้แทนประชาชนทุกฝ่ายตรวจสอบรายละเอียดแผนงาน 7 ปีที่รัฐบาลวางไว้ ส่วนการร่วมทุนถ้าไม่คุ้มค่าก็จะไม่มีเอกชนรายใดมาร่วมด้วย แสดงให้เห็นว่าโครงการที่ดำเนินการต้องมีผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมา

ทั้งนี้ พรรคจะนำเงินสองล้านล้านจัดสรรให้กับเรื่องโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม รถไฟความเร็วสูง 36,722 ล้านบาท รถไฟทางคู่ 397,377 ล้านบาท รถไฟทางคู่สายใหม่ 110,555 ล้านบาท รถไฟฟ้า 410,996 ล้านบาท ปรับปรุงระบบรถไฟ 20,912 ล้านบาท ถนนทั้งระบบและสถานีขนส่ง 198,422 ล้านบาท ท่าเรือ 26,622 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นงบประมาณรวม 1.2 ล้านล้านบาท และเหลือเงิน 8 แสนล้านบาทมาจัดสรรด้านการศึกษาจำนวน 4 แสนล้านบาท ทำโรงเรียนวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิจัย 150,000 ล้านบาท อาชีวะสร้างชาติ 50,000 ล้านบาท ครูพันธุ์ใหม่ พัฒนาคุณภาพครูและ Excellent centre  110,000 ล้านบาท ปรับปรุงอุปกรณ์และสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 90,000 ล้านบาท

สำหรับด้านสาธารณสุขจะสามารถจัดสรรงบประมาณได้ 2 แสนล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาโรงพยาบาล 12,000 แห่งทั่วประเทศ วงเงิน 1 แสนล้านบาท และพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสถานศึกษาด้านสาธารณสุข 1 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังมีงบประมาณเหลืออีก 2 แสนล้านเพื่อพัฒนาระบบชลประทานเพื่อการเกษตรซึ่งในวงเงินกู้สองล้านล้านของรัฐบาลชุดนี้ไม่มีสิ่งเหล่านี้ โดยจะพัฒนาชลประทานพื้นที่เกษตร 75 ล้านไร่ทั่วประเทศ

“เรามั่นใจว่าสิ่งทีพรรคเสนอเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้เงินกู้ 2 ล้านล้านของรัฐบาล เพราะไม่กระทบวินัยการเงินการคลัง ควบคุมการขาดดุลงบประมาณไม่ให้เกินร้อยละ 50 ได้อย่างโปร่งใส เพราะการดำเนินการตามแผนนี้จะทำให้รัฐบาลต้องลดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองไม่เป็นประโยชน์ เช่น โครงการประชานิยมที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อีกทั้งการดำเนินการตามข้อเสนอของพรรคยังทำให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้ และยังเป็นการลงทุนครอบคลุมทุกด้านตอบโจทย์ประเทศได้อย่างสมดุล ทำให้ประชาชนจะได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง แตกต่างจากที่รัฐบาลจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นหนี้ 50 ปี แต่บางพื้นที่จะไม่ได้ประโยชน์เลย พรรคจึงเสนอทางเลือกที่มีอยู่จริงปฏิบัติได้และยินดีส่งมอบให้รัฐบาลไปดำเนินการ ทั้งนี้ เห็นว่าต้องตั้งหลักเรื่องบริหารเศรษฐกิจ และโครงการประชานิยมใหม่ เพราะการบริหารของรัฐบาลได้สร้างปัญหาความโปร่งใส และก่อให้เกิดปัญหาด้านวินัยการเงินการคลังที่จะนำประเทศไทยไปสู่ความเสี่ยง จึงขอเชิญชวนคนไทยก้าวข้ามประชานิยมเข้าสู่สังคมสวัสดิการและวางรากฐานให้กับประเทศไทยให้เข้มแข็งอย่างแท้จริง” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า แผนเหล่านี้ได้มีการจัดทำตั้งแต่ในช่วงที่ตนเป็นรัฐบาลทั้งที่มีข้อจำกัดด้านการคลังและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวในปี 53 รัฐบาลของตนก็เริ่มมีการเจรจากับจีนเกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูง มีอนุมัติกรอบวงเงินรถไฟรางคู่ รถไฟฟ้า และสถาบันวิจัยแต่ถูกรัฐบาลชุดนี้ตัดงบประมาณทิ้งไปมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้ทำได้ทันทีตามกรอบเวลา 7 ปี หรืออาจจะรวดเร็วกว่า เพราะเป็นโครงการที่เคยมีการวางรากฐานไว้แล้ว แต่ต้องเสียเวลาไปสองปีจากการบริหารงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ไม่ได้ตอบโจทย์ให้กับประชาชน สิ่งสำคัญคืองบด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ถูกรัฐบาลชุดนี้ตัดไปจะต้องจัดสรร 2% ต่อจีดีพี จากปัจจุบันกำหนดงบวิจัยเพียงแค่ 0.3% ต่อจีดีพีเท่านั้น

ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่าข้อเสนอนี้ทำให้ได้งานได้เท่ากันแต่ครอบคลุมการปรับปรุงโครงสร้างแต่ละด้านอย่างสมดุลมากขึ้น และมั่นใจว่าจะดำเนินการได้อย่างรวดเร็วกว่าที่รัฐบาลทำอยู่ เพราะถ้ารัฐบาลไม่ติดกับ 2 ล้านล้าน ป่านนี้รถไฟทางคู่ต้องดำเนินการก่อสร้างและมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องน้ำถ้าทำตามปกติก็เดินได้แล้ว แต่ 3.5 แสนล้านเดินไม่ได้ ถ้าทำแบบพรรคประชาธิปัตย์จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้รวดเร็วและมากกว่า

ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในเรื่องของรถไฟความเร็วสูงมีการคำนวณความคุ้มค่าแล้ว ซึ่งเส้นทางที่คุ้มค่ามากที่สุดคือ กรุงเทพฯ-หนองคาย แต่ถูกยกเลิกไป สร้างแค่โคราชเท่านั้น และกรุงเทพ-ปาดังเบซาร์ เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน จีน ลาวเชื่อมไทย และไทยไปมาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ยุค AEC  ซึ่งจีนได้ส่งสัญญาณที่จะเข้ามาร่วมทุน ดังนั้นสิ่งที่พรรคนำเสนอจึงมีความชัดเจน แต่สิ่งที่รัฐบาลทำไม่ควรอนุมัติเพราะเปรียบเสมือนให้เช็คเปล่าล่วงหน้าให้รัฐบาล

ด้านนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รถไฟความเร็วสูงที่จะใช้วิธีร่วมทุน และจะทำรถไฟรางคู่ที่มีการทำแผนแม่บท 17 สายทางในรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้ครบทั้งหมด แตกต่างจากที่รัฐบาลชุดนี้ทำ เพราะมีการบรรจุไว้ในแผนเงินกู้ 2 ล้านล้าน เพียงแค่ 11 เส้นทางเท่านั้น ในส่วนของพรรคจะเพิ่มอีก 6 เส้นทางเพื่อให้ครบตามแผนแม่บท มีระยะทางเพิ่ม 1,100 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้ง 17 เส้นทาง 3,300 กิโลเมตร ทั้งนี้ในส่วนวิธีบริหารที่จะดึงเอาเอกชนมาร่วม จะช่วยลดต้นทุนของรัฐบาลได้ และยังเข้าสู่ระบบงบประมาณปกติที่สามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส แต่ถ้าโครงการไหนยังไม่พร้อมก็จะไม่มีการดำเนินการ โดยจะให้ศึกษาความคุ้มค่า และความเป็นไปได้ให้ชัดเจนก่อน









กำลังโหลดความคิดเห็น