“สมศักดิ์” ส่งหนังสือด่วนนัด ส.ส.ประชุมร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท วาระ 2-3 วันที่ 19-20 ก.ย. ขณะที่ ปชป.เตรียมขุนพลชำแหละโครงการกู้เงิน 2 ล้านล้าน ซัดเอาประชาชนเป็นตัวประกัน ระบุขัดรัฐธรรมนูญ ม.169
ผู้สื่อข่าวจากรัฐสภาว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกหนังสือด่วนมาก ที่ สผ 0014/ผ 114 นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไป ครั้งที่ 10 เป็นพิเศษ ในวันที่ 19 ก.ย. เวลา 09.30 น. และครั้งที่ 11 เป็นพิเศษ ในวันที่ 20 ก.ย. เวลา 09.30 น. เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... (พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท) ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว
โดยในรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ระบุว่า มี ส.ส.เสนอคำแปรญัตติทั้งหมด 144 คน และในบัญชีท้าย พ.ร.บ.ดังกล่าว มีรายละเอียดยุทธศาสตร์ แผนงาน และวงเงินดำเนินการ ซึ่งในหมวด ก. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ มีทั้ง 3 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1.ยุทธศาสตร์ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า วงเงิน 357,709.51 ล้านบาท 2.ยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศ และเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน วงเงิน 1,043,224.14 ล้านบาท และ 3.ยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัว วงเงิน 578,015.65 ล้านบาท สำหรับหมวด ข. แผนงานการส่งเสริม หรือสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศตามยุทธศาสตร์ วงเงิน 21,050.70 ล้านบาท
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรมีหนังสือเชิญ ส.ส.ประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... (พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท) ระหว่างวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งนี้ การจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้นต้องเป็นไปโดยชอบของกฎหมายและมีความโปร่งใส แต่จากการพิจารณาของพรรค เห็นว่าการดำเนินการของรัฐบาลตามร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวอาจเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่โปร่งใส อีกทั้งงบประมาณเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ใช้ในโครงการต่างๆ ที่อยู่ในบัญชีแนบท้ายของ พ.ร.บ.ฉบับนี้จะถูกดำเนินการโดยกระทรวงคมนาคมเป็นหลัก และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในปี 2555-2556 มีอุบัติเหตุที่เกิดกับขบวนรถไฟหลายสายเกิดขึ้นมากอย่างผิดสังเกต ตนไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใด และไม่มีผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงถึงสาเหตุที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ยิ่งใกล้วันที่จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในวาระ 2 และ 3 ปรากฏว่า คนของรัฐบาลออกมาพูดว่าอุบัติเหตุรถไฟตกราง หรือการเกิดปัญหาเกี่ยวกับการเดินรถไฟจำนวนมากทั่วไปทำให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเพื่อใช้ในการพัฒนาปรับปรุงการเดินรถไฟทั้งระบบทั่วประเทศ ตนคิดว่าเป็นการนำความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นข้ออ้างในการเรียกร้องความเห็นใจจากสังคม และประชาชนว่าควรปล่อยให้ประชาชนกู้เงินจำนวนนี้โดยไม่มีการคัดค้านจากฝ่ายใด
อีกทั้งข้ออ้างดังกล่าวก็ไม่เป็นความจริง และไม่สมเหตุสมผล เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ได้ตรวจสอบพบว่า ขณะนี้รัฐบาล กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) มีเงินงบประมาณในการปรับปรุง หรือดำเนินการไม่ให้เกิดรถไฟตกรางอยู่แล้ว แต่หน่วยงานเหล่านี้กลับไม่นำงบประมาณนี้ไปใช้ดำเนินการดังกล่าว โดยปีงบประมาณ 2556 ร.ฟ.ท.ได้รับการจัดสรรงบประมาณในส่วนของการลงทุน ประมาณ 1,500 ล้านบาท แต่มาจนถึงขณะนี้ ร.ฟ.ท.กลับนำเงินตรงนี้ไปใช้เพียงร้อยละ 10 ของงบประมาณดังกล่าว ตนจึงขอให้รัฐบาลนำความจริงมาพูดกับสังคม และประชาชน มากกว่าการหาข้ออ้างในลักษณะที่จะนำความเดือดร้อนประชาชนผู้โดยสารรถไฟมาเป็นตัวประกันเพื่อหาเหตุผลมาสนับสนุนการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ กล่าวว่า ประเด็นหลักที่ฝ่ายค้านจะใช้อภิปราย คือ ยังติดใจเรื่องที่เคยเสนอให้รัฐบาลว่าทำอย่างไรให้ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่ขัดต่อกฎหมายฉบับอื่น และจะไม่ทำให้กฎหมายนี้แท้งได้ รวมทั้งข้อเสนอให้การกู้เงินนี้ไปอยู่ในงบประมาณประจำปีแทน เพื่อไม่ให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อรัฐบาลไม่ตอบรับข้อเสนอนี้ก็บ่งบอกได้ถึงนัยที่จะดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ หลีกเลี่ยงวิธีปกติ ซึ่งถ้ารัฐบาลเลือกเดินตามแนวทางนี้ก็จะพบทางตันเหมือนร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 วงเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจไม่ดี
นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า รัฐบาลหวังที่จะทำให้รายจ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นด้วยการใช้เงินจากเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท แต่ถ้ารัฐบาลไม่ทำตามสูตรที่ตนได้เสนอไป จะทำให้กฎหมายฉบับนี้แท้งอย่างแน่นอน และรายจ่ายภาครัฐก็จะไม่เกิดขึ้น ประมาณการทุกตัวก็จะถูกลดลงหมด ทั้งนี้ ตน และนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะอภิปรายเรื่องการใช้จ่ายเงิน และวินัยการเงินการคลัง ส่วนเนื้อหาโครงการนั้น นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายเจือ ราชสีห์ ส.ส.สงขลา และนายอนุชา บูรพชัยศรี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้อภิปรายหลัก
ด้าน นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การอภิปรายวาระนี้แบ่งเป็น 3 ส่วนสำคัญครอบคลุมทั้ง 19 มาตรา คือ 1.โครงการทั้งหมด 2.การใช้จ่ายเงิน วินัยการเงินการคลัง และ 3.ข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ส่วนการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ต้องรอให้พิจารณาเสร็จก่อนในวาระ 2 และ 3 โดยมีประเด็นในมาตรา 6 ที่บัญญัติว่า เงินที่ได้จากการกู้ให้นำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ในการกู้ โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง กระทรวงการคลัง อาจนำเงินที่ได้จากการกู้ไปให้กู้ต่อแก่หน่วยงานของรัฐเพื่อให้นำไปใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของภายในประเทศก็ได้ แต่ต้องเป็นการใช้จ่ายเพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์ และแผนงานที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.นี้เท่านั้น ซึ่งตนเห็นว่าอาจจะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ที่บัญญัติว่าการจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้เฉพาะที่อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายที่เกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง เว้นแต่กรณีจำเป็นเร่งด่วนรัฐบาลจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ