“ชัชชาติ” นำเกมเรียกคะแนนเสียงรัฐบาลยิ่งลักษณ์-เพื่อไทย เชื่อแก้ปัญหารถเมล์-รถไฟ-รถตู้ เอาใจคนยากจน ปูทางสู่การกู้ 2 ล้านล้านไร้คนต้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทยเตรียมขยายผล หากเกิดอุบัติเหตุยุบสภาเมื่อไร ชูเป็นประเด็นหลักหาเสียงในพื้นที่ทันที นิด้าโพลล์ชี้ เพื่อไทยมีแนวโน้มได้คะแนนนิยมจากเรื่องนี้จริง แต่จะได้แค่ช่วงแรก เพราะการคิดไคร่ครวญตัดสินใจในครั้งที่ 2 อาจเป็นแรงต้านมากกว่า ขณะที่นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองมองประชาธิปัตย์สู้แบบหืด มีอุปสรรคทุกทาง การเมืองอึมครึม เศรษฐกิจตกเหตุไร้ความสามารถในการแข่งขัน สู้เพื่อนบ้านไม่ได้ ประเทศไทยไร้ทางออกอีกยาว!
ท่ามกลางการเมืองที่องศาร้อนขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการต่อสู้ของ ส.ส.ทั้งสองฝ่ายในสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญมาตราที่เกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ขณะที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยกำลังทำในสิ่งที่เรียกว่า “เผด็จการเสียงข้างมาก” โดยหวังว่าคะแนนเสียง 300 คะแนนในเวทีแห่งนี้จะนำพาสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คาดหวังไปสู่เป้าหมาย คือการนิรโทษกรรมตัวเขาเอง และพวกพ้อง และการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อแทรกแซงอำนาจทางการเมืองเข้าไปสู่สภานิติบัญญัติในอนาคตนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเป็นพรรคฝ่ายค้านในแบบ “ลาก” ให้ข้อจำกัดด้านเวลา ทำให้สิ่งที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยกำลังดำเนินการไม่เป็นผล ซึ่งสิ่งที่เห็นเป็นผลข้างเคียงในเวลานี้คือ “สภาไร้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์” และประชาชนเบื่อการเมืองอย่างมาก
แต่สิ่งที่น่าจับตามองการเคลื่อนไหวของรัฐบาลแม้ว่าจะถูกโจมตีในหลายๆ ด้าน ก็ยังใช้กลยุทธ์ช่วงชิงคะแนนเสียงจากมวลชนระดับรากหญ้าและชนชั้นกลางได้อย่างรวดเร็ว!
ดังนั้นเกือบทุกวันเราจะเห็น “นายชัชชาติ สิทธิพันธ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีสายตรง “นายใหญ่-นายหญิง” ออกมาเดินตรวจงาน ตั้งแต่ขึ้นรถเมล์ไปทำงาน ขึ้นรถเมล์นรกสาย 8 ลงเรือด่วน นั่งรถไฟชั้น 3 สั่งการปรับปรุงระบบขนส่ง ล่าสุดก็ประกาศกวาดรถตู้เถื่อนเข้าระบบ ฯลฯ
แต่ทั้งหลายทั้งปวง ที่รัฐมนตรีชัชชาติกำลังดำเนินการนั้น แม้จะมีข้อครหาว่าต้องการสร้างภาพก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นการสร้างคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทยได้อย่างดี ท่ามกลางที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายๆ คนในรัฐบาลล้วนแต่มีภาพลบโดยเฉพาะเรื่องทุจริตคอร์รัปชันในโครงการรับจำนำข้าว หรือ/และวิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากการบริหารงานของรัฐบาล จนทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากค่าครองชีพที่พุ่งสูงปรี๊ด แรงงานตกงาน ธุรกิจเอสเอ็มอี นับแสนรายต้องปิดกิจการ เป็นต้น
นี่คือผลงานและคะแนนเสียงที่รัฐมนตรีชัชชาติ และพรรคเพื่อไทย ได้ไปเต็มๆ แต่เบื้องหน้าเบื้องหลังของการสร้างผลงานครั้งนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาและก็เป็นประเด็นโต้แย้งระหว่างฝ่ายค้าน กลุ่ม 40 ส.ว.กับพรรครัฐบาลโดยตรง
หลายฝ่ายมองว่า การที่ “นายชัชชาติ” ออกไปเดินเกมสร้างคะแนนนิยมในการแก้ปัญหาความเดือนร้อนด้านคมนาคมครั้งนี้ เป็นการปูทางไปสู่การต่อต้านที่น้อยลงของการกู้เงิน 2 ล้านล้านมาเพื่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และแนวทางนี้เริ่มชัดเจนแล้วว่าได้ผล อย่างที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเตรียมเดินหน้าตามเต็มที่
ส.ส.เพื่อไทยพร้อมเลือกตั้งใหม่-ชูแก้ปัญหาคมนาคม
นายไพจิต ศรีวรขาน ประธานกลุ่มอีสานพัฒนา ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมา ไม่เคยมีการพูดคุยเรื่องปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง มีแต่การคุยกันเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในแต่ละเรื่อง ดังนั้นที่ผ่านมาจึงมีการพูดคุยกันในเรื่องของเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท, ปัญหาปากท้องประชาชน โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรเพื่อผลักดันให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ และพูดเรื่องการเมืองคือการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการแก้ไขปัญหารัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของ ส.ว.เท่านั้น
ซึ่ง ณ เวลานี้ เมื่อการเมืองเริ่มมีการต่อสู้กันร้อน โดยเฉพาะเมื่อประชาธิปัตย์ออกไปเล่นการเมืองนอกสภาฯ เต็มตัวเมื่อไร ก็อาจจะมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่
นายไพจิตยอมรับว่า เมื่อรัฐมนตรีชัชชาติสร้างผลงานขึ้นมาแบบนี้ ส.ส.ของพรรคก็ได้เห็นตัวอย่าง และคิดว่าหากมีการยุบสภาเกิดขึ้น นโยบายสำคัญที่จะนำไปเป็นจุดขายในการไปหาเสียงของพรรคคือ การแก้ไขปัญหาระบบขนส่งของประเทศ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
ขยายขึ้นมาให้โดดเด่น!
“แต่จริงๆ ต้องเข้าใจนะว่าทำไม่ได้เลยทันที เมื่อได้งบประมาณมาจะทำได้แค่ 1 ใน 3 ของโครงการ 2 ล้านล้านเท่านั้น นอกนั้นต้อง 3-5 ปี ถึงจะเดินหน้าได้ ช่วงแรกจะเป็นแค่รถไฟรางคู่ และทำการปรับรถไฟให้เร็วขึ้นไปก่อน” นายไพจิต กล่าว
ปูทางไปสู่เงินกู้ 2 ล้านล้าน?
นิด้าโพลล์ชี้ปูทางให้เงินกู้ 2 ล้านล้านไร้คนต้าน
ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ผู้อำนวยการนิด้าโพลล์ กล่าวว่า ความจริงแล้ว การที่ รมว.ชัชชาติออกมาสร้างผลงานครั้งนี้นั้น มองได้ว่าเป็นการสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง เป็นการพีอาร์ตัวเองมากกว่าที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างหรือปัญหาคมนาคมที่แท้จริง เพราะหลังจากออกข่าวไปแต่ละจุดแล้วนั้น ยังไม่มีการสานต่อการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมออกมา
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการสร้างคะแนนนิยมของตัวเขาเองครั้งนี้ เป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยด้วย และเชื่อว่ามีทางเป็นไปได้สูงที่จะปูทางไปสู่เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท
“เป็นการสร้างภาพให้คนไทยเห็นว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องใช้เงินทำโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ต้องลำบากขึ้นรถเมล์ รถไฟที่ไม่ได้คุณภาพอีก ซึ่งการกู้เงิน 2 ล้านล้านมาปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานเป็นเรื่องจำเป็นต้องมี”
ดร.สุวิชากล่าวเพิ่มเติมว่า ยิ่งทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับผลดีทางคะแนนนิยมได้
“ตอนที่ทำโพลเรื่องประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ที่จะมีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทมาทำโครงการต่างๆ ตอนแรกได้คุยกับอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์หลายคนที่นิด้า ผมได้รับคำตอบว่าไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจเลย มีความเสี่ยงมาก เลยลองมาทำโพลทั่วประเทศ น่าสนใจว่าผลที่ออกมาตรงกันข้ามกับเหตุผลทางวิชาการ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ คือกว่า 70 กว่าเปอร์เซ็นต์เห็นด้วยกับโครงการนี้”
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ประชาชนยังเห็นว่าอะไรที่ได้ประโยชน์มาถึงตัวเอง คือทำให้ชีวิตตนเองสะดวกขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ดังนั้น แม้ผลโพลจะออกมาชี้อย่างนั้น แต่รัฐบาลจะมองว่าสำเร็จแล้ว ไม่มีใครต่อต้าน ก็ไม่จำเป็นเสมอไป
“การทำโพลคือการถามในสิ่งที่รู้สึก และคิดเป็นครั้งแรก เรียกว่าเป็นการคิด ณ เดี๋ยวนี้ แต่เชื่อว่าเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบมาก ประชาชนจะมีการคิดอย่างละเอียด จะเป็นการคิดอย่างรอบคอบ เรียกว่า การคิดครั้งที่ 2 ได้ ซึ่งผลคะแนนนิยมจะพลิกทันทีได้เช่นกัน”
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยตอนนี้จึงมีโอกาสทั้งเสียเปรียบและได้เปรียบทางการเมืองได้เช่นกัน
“ตอนนี้ถือว่า รมว.ชัชชาติทำให้เพื่อไทยได้เปรียบทางการเมืองขึ้นมามากกว่าประชาธิปัตย์ แต่หากประชาธิปัตย์สามารถที่จะเอาคนเก่งๆ ที่มาพูดภาษาชาวบ้านได้ แล้วให้ข้อมูลว่าการกู้เงินมาทำโครงการเงินกู้สูงถึง 2 ล้านล้านบาท จะทำให้พวกเขาเดือดร้อนยังไง จะทำให้คะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยตกลงได้ เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์มีแต่คนเก่ง เก่งด้านกฎหมาย เก่งด้านเศรษฐศาสตร์ แต่พูดภาษาชาวบ้านไม่เป็น ไม่เหมือนพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องอะไรมาก ขอให้มีคนพูดภาษาชาวบ้านได้อย่างเดียวพอ”
ประชาธิปัตย์หืด-สู้ยาก!
เช่นเดียวกับสายตานักเศรษฐศาสตร์การเมืองที่มองว่า รมว.ชัชชาติ กำลังเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนที่ได้ผล
“ส่วนตัวแล้วเห็นว่า คุณชัชชาติเป็นคนมีความสามารถ แต่สิ่งที่ทำเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ในเชิงการตลาด ทำเพื่อคะแนนเสียงอย่างเดียว เพราะว่างานที่ลงไปดูความเดือดร้อนประชาชนในสิ่งที่คุณชัชชาติทำ มันเป็นสิ่งที่รู้กันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องลงไป แต่สามารถสั่งการลงไปเพื่อแก้ปัญหาได้ทันที แต่นั่นแหละ ด้านคะแนนเสียงมันได้” รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าว
พร้อมกล่าวว่า ในขณะที่รัฐบาลเองนั้น ก็พยายามสร้างผลงานขึ้นมาเหมือนกัน และได้คะแนนเสียงด้วยเช่นกันคือเวทีการปฏิรูปการเมือง เพราะคนในประเทศไทยตอนนี้มีจำนวนไม่น้อยที่อยากให้ประเทศชาติมีทางออก และการที่รัฐบาลแสดงตัวว่าต้องการแก้ปัญหานี้ ก็มีผลต่อคะแนนเสียงส่วนหนึ่งเพราะดูเหมือนเป็นความตั้งใจดี
ได้ผลในเชิงการเมืองที่โดดเดี่ยวพรรคประชาธิปัตย์
“แต่ถ้าวิเคราะห์ให้ดี ในเนื้อหาการพูดคุยมีข้อจำกัดมากในการไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยที่แท้จริง รัฐบาลต้องชัดเจนก่อนว่า ต่อจากนี้ไปจะมีการเคารพเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ต้องเคารพเสียงข้างน้อย และต้องปล่อยให้องค์กรอิสระมีความเป็นกลาง ปราศจากการเมืองเข้าแทรกแซง ให้ประชาชนเห็นว่ามีที่พึ่ง ไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่”
คนจำนวนหนึ่งซึ่งไม่น้อย ก็ยังต่อต้านการปฏิรูปประเทศดังกล่าวอยู่ดี อันเนื่องมาจากว่าคนกลางๆ ทางการเมืองไม่ได้เข้าร่วมเวทีครั้งนี้เลย เพราะเห็นว่าไปไม่ถึงไหน เพราะมีคำตอบอยู่แล้วว่ารัฐบาลไม่ได้จริงใจ
ดังนั้นปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เวลานี้ไม่เห็นเลยว่าจะมีข้อยุติลงได้ ณ จุดไหน
เช่นเดียวกับการต่อสู้ของประชาธิปัตย์ เวลานี้ประชาธิปัตย์เหมือนไม่มีทางออก การต่อสู้ในสภาฯ ก็ทำให้ดูเหมือนไปไหนไม่ได้ เพราะความเป็นเผด็จการเสียงข้างมาก ในขณะที่การต่อสู้ทางท้องถนนนอกสภาฯ ประชาธิปัตย์ก็ทำยาก เพราะพรรคเพื่อไทยมีกองกำลังประชาชนในนามคนเสื้อแดงคอยขัดขวาง
รศ.ดร.สมชายย้ำว่า การต่อสู้ของประชาธิปัตย์จึงเดินหน้าไปอย่างสะดุดตลอดเวลา และประชาธิปัตย์ก็จะเดินเกมอย่างนี้ต่อไป และประเทศไทยจะเดินหน้าไปในทางที่สะดุดไปสะดุดมาอย่างนี้อีกหลายปี ที่สำคัญเศรษฐกิจก็จะขยายตัวช้าลงเรื่อยๆ
“การแก้ปัญหาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เป็นเรื่องที่ควรทำ หากรัฐบาลนี้จะเน้นโครงการทำสาธารณูปโภคพื้นฐานต่อไปก็เห็นว่ามีความจำเป็น แต่จะช่วยเดินหน้าเศรษฐกิจไทยได้แค่ส่วนเดียว เพราะสิ่งที่ประเทศไทยขาดจริงๆ คือขาดความสามารถในการแข่งขัน”
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยแค่ปีละ 3-4% ขณะที่ประเทศอื่นในเอเชียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า โดยเฉพาะมาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเขาส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม แต่ของไทยยังคงส่งออกสินค้าวัตถุดิบ ซึ่งอ่อนไหวต่ออัตราแลกเปลี่ยน
การที่จะผลักดันโครงสร้างพื้นฐานของพรรคเพื่อไทยในโครงการ 2 ล้านล้าน ก็จะมาช่วยส่วนหนึ่งในด้านของการลดต้นทุนโลจิสติกส์ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรกับเศรษฐกิจไทย เพราะสิ่งสำคัญคือความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งวันนี้แนวทางนี้ไม่มีความเด่นชัด
เศรษฐกิจก็ไปไม่ไหว การเมืองก็ไม่มีทางออก ฟันธงว่า ประเทศไทยจะอยู่ในภาวะอึมครึมอีกนาน!