หน.ปชป.เอาใจช่วยขจัดคราบน้ำมันรั่ว แนะทำให้กระจ่างถึงรู้ถึงปัญหา ควรซ้อมรับเหตุ จี้ ปตท.ทบทวนปรับปรุง ชม “นิชา” เขียนถึงการนิรโทษฯ โดยไร้สำนึก บังคับให้อภัยไม่ได้ ซัด นายกฯไม่ฟังผู้สูญเสีย ชูความจริงสร้างปรองดอง เย้ย รบ.ยุบ คอป.เหตุแฉชายชุดดำ แนะถอนร่างตั้งโต๊ะคุยทุกฝ่าย 2 วันมีทางออก เชื่อไม่ฟังสนแต่ช่วย “ทักษิณ” ติงนำเศรษฐกิจชาติเป็นตัวประกันแลกกู้ 2 ล้านล้าน งงจ้างที่ปรึกษาแพง อ้างกระตุ้นชาติ
วันนี้ (31 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel ถึงปัญหาจากกรณีน้ำมันดิบรั่วไหลนั้นว่า เราห่วงใยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็เอาใจช่วยทุกฝ่ายที่กำลังระดมกำลังกันเข้าไปช่วยขจัดคราบน้ำมัน และเร่งฟื้นฟูพื้นที่ แต่ความน่าเป็นห่วงสถานการณ์ตอนนี้หากมองจากภาพถ่ายทางอากาศก็เห็นว่าพื้นที่ที่มีปัญหามีมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด ฉะนั้นอยากให้หน่วยงานของรัฐและเอกชนได้เร่งทำความกระจ่างว่ามันจะเป็นอย่างไร แล้วจะมีมาตรการในการป้องกันอย่างไร ซึ่งหากเราสามารถทำความกระจ่างให้ข้อเท็จจริงได้ชัดเจนว่าปัญหาคืออะไรอย่างน้อยก็จะแก้ไขปัญหากันได้ถูกต้อง ทั้งนี้ตนมีสังเกตอยู่ว่า บทบาทของหน่วยงานรัฐในช่วงแรกหายไปไหน เพราะกลับกลายเป็นว่าปล่อยให้ทางบริษัท ปตท.เป็นหน่วยงานเดียวที่ดำเนินการอยู่ แต่ตอนหลังก็เริ่มมีการระดมความช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งต่อไปก็คงต้องมีการซักซ้อมหากเกิดกรณีเช่นนี้ จะมีกระบวนการอย่างไรในการที่จะประสานหน่วยงานต่างๆ
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า หากสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว ก็จะต้องมาสรุปถึงความพร้อมในขั้นตอนต่างๆ ในการที่จะบริหารจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ เพราะอย่างบริษัท ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทที่ติดอันดับแล้ว ทั้งในแง่ของขนาด หรือปริมาณเงินหมุนเวียน แต่ครั้งนี้ในแง่ความพร้อมก็ถูกตั้งคำถามว่า เรื่องอุปกรณ์เรื่องความรวดเร็ว เรื่องระบบข้อมูล ดังนั้นตรงนี้ก็ต้องมีการมาทบทวน แล้วก็ต้องมีการปรับปรุงครั้งใหญ่อย่างไร
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ได้เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงผลเสียของการนิรโทษกรรมที่ปราศจากการสำนึกยอมรับผิดว่า ต้องขอแสดงความชื่นชมในความรอบคอบของนางนิชา ในการเขียนถึงการนิรโทษกรรม ให้เห็นถึงแง่มุมต่างๆ โดยเขียนว่าการนิรโทษกรรมต้องมาพร้อมกับการยอมรับเรื่องของการกระทำความผิด แล้วการสำนึกผิด มิฉะนั้นก็คงไม่ต้องมานิรโทษกรรมกัน และการที่พยายามจะบอกว่าให้ลืมๆ กันไป บังคับให้ลืม บังคับให้อภัยนั้นไม่สามารถกระทำได้ และได้ตั้งคำถามเอาไว้ว่า ข้อเสียที่จะเกิดขึ้นในแง่ของการทำลายหลักนิติรัฐ สร้างบรรทัดฐานใหม่ ในแง่ของการไปลบล้างการใช้อำนาจของตุลาการ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่เคยตอบ และเหมือนกับบอกว่าต้องยอมให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เพียงเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง นอกจากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเคยได้รับเรื่องร้องเรียน และเคยเปิดโอกาสให้ญาติของผู้เสียชีวิตทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ ทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมไปพบแล้ว แต่ทำไมไม่รับฟังถึงความรู้สึกของคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงจริงๆ แต่กลับพยายามที่จะลอยตัวเหนือปัญหา ทั้งที่ก็รู้แล้วว่าจะทำอะไร ไม่ใช่ไม่รู้หรือไม่ตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทย หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะรัฐบาลตัดสินใจที่จะไม่ทำตามหนทางที่ไม่เกิดความขัดแย้ง
“เราพูดมาตลอดว่าขั้นตอนของการทำงานเรื่องการปรองดองนั้น ขั้นแรกคือการค้นหาข้อเท็จจริง และก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างมาสะดุดลง เมื่อ คอป.ค้นหาข้อเท็จจริงแล้วบอกมีชายชุดดำ ทำให้รัฐบาลซึ่งเคยแถลงนโยบายว่า จะสนับสนุนการทำงานของ คอป. กลับมีคนของรัฐบาลออกมาฉีกรายงานดังกล่าว ซึ่งก็เป็นปัญหาที่มันเกิดขึ้นว่า ทำไมกระบวนการการปรองดองจึงไม่สามารถเดินได้ ดังนั้นเรื่องการค้นหาหรือการได้ข้อสรุป ข้อเท็จจริงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
เมื่อถามว่าในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ทันทีที่ร่างกฎหมายนี้เข้าสู่สภา ความสับสนวุ่นวายจะต้องเกิดขึ้น คิดว่ายังมีเวลาพอที่จะแก้ไขสถานการณ์เพื่อไม่นำพาประเทศไปสู่ทิศทางนั้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้ยาก แค่เพียงรัฐบาลบอกว่าพักเรื่องนี้ไว้ก่อนก็จบ ไม่ได้มีอะไรเลย จากนั้นก็ถอนกฎหมายออกจากสภา แล้วมาพูดคุยกัน ทั้งนี้หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความจริงใจ รัฐบาลมีความจริงใจก็ควรประกาศตามแนวทางที่ตนเสนอ ซึ่งเชื่อว่าไม่เกิน 2 วันก็เสร็จ ที่จะได้กฎหมายที่ทุกฝ่ายยอมรับ แต่ที่รัฐบาลไม่ทำนั้นเพราะว่าต้องการที่จะตอบสนองเฉพาะพรรคพวกของตัวเอง แกนนำ แล้วก็ไต่บันไดไปสู่การจะเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ล้างผิด ซึ่งเป็นพื้นฐานของปัญหา ทั้งนี้ตนพร้อมจะคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในเรื่องนี้ เพื่อทำให้บ้านเมืองไปในทิศทางถูกต้อง
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณี พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ออกมาระบุว่าหากกฎหมายดังกล่าวไม่ผ่าน ก็พอมีช่องทางที่จะนำออกมาในลักษณะของงบประมาณกลางปีหน้า แล้วใส่ไปในงบปกติในปีถัดไปได้นั้น ว่า ตนรู้สึกว่ารัฐบาลนี้มีความเชี่ยวชาญเรื่องตัวประกัน เพราะเรื่องนิรโทษกรรมก็เอาชาวบ้านมาเป็นตัวประกัน เพื่อที่จะช่วยพรรคพวกตัวเอง พอมาเรื่องเศรษฐกิจก็จะเอาเศรษฐกิจของประเทศเป็นตัวประกัน เพื่อจะผลักดันกฎหมายที่น่าจะมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตนอยากให้รัฐบาลตอบว่า หากยืนยันว่าขณะนี้ถ้าไม่มีกฎหมายดังกล่าว แล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้นั้น ต้องอธิบายว่า 1. แผนของการใช้เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทในช่วงปีนี้ มีอยู่แผนเดียวคือการจ่ายเงินค่าที่ปรึกษา 2-3 หมื่นล้านบาทนั้น ก็ช่วยตอบสังคมว่าการจ้างที่ปรึกษานั้นเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจริงหรือไม่ 2.การที่จะทำให้การใช้จ่ายเงินถูกกฎหมายนั้นมีช่องทางที่ทำได้ อย่างที่สภาพัฒน์บอกว่า ถ้าเกิดกฎหมายดังกล่าวไม่ผ่าน ก็มาจัดงบปรกติเพิ่มเติมนั้น ก็เป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ชี้ให้เห็นมาตั้งแต่ต้นว่าหากทำอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา ฉะนั้นรัฐบาลก็อย่าเอาเศรษฐกิจเป็นตัวประกัน
เมื่อถามว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า หากกฎหมายดังกล่าวไม่ผ่าน จะทำให้กระทบต่อภาพรวมของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเพิ่งทราบว่าเศรษฐกิจของประเทศขึ้นอยู่กับการมีที่ปรึกษาที่จะได้เงิน 2 หมื่นล้านบาท ส่วนที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม บอกว่าหากกฎหมายดังกล่าวไม่ผ่าน ประเทศไทยจะสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน และโอกาสการเป็นศูนย์กลางขนส่งของอาเซียนนั้น ตนยืนยันว่าไม่จริง เพราะทุกโครงการใน พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น สามารถมาใช้งบประมาณได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย