xs
xsm
sm
md
lg

คงQEหนุนหุ้นไทยบวกระยะสั้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – กูรูคาดเฟดคงQE3 แค่ปัจจัยบวกระยะสั้น ดึงเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า 20-30% จากที่ขายออกไปกว่า1แสนล้าน แถมกดดันกลับส่งออกผันผวน เมื่อบาทกลับมาแข็งค่า เตือนที่ระดับ1,500 จุด แรงเทขายพร้อมทำกำไร จากค่าP/E ที่เริ่มแพง ส่วนพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านหนุนประเทศระยะยาว แต่ต้องจับตาการยื่นศาลรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านราย หากมีปัญหาจะกดดันหุ้นรูด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า จากกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE ในการอัดฉีดเม็ดเงินซื้อพันธบัตร วงเงิน 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน เท่าเดิม และ พรบ.เงินกู้โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 2 ล้านล้านบาท ผ่านมติวาระของสภาตามเสียงข้างมาก ทำให้กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างประเทศเริ่มไหลกลับเข้ามาลงทุนในไทย สังเกตได้จากการที่ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่ามากขึ้นสูงสุดในรอบ 2 เดือน
อย่างไรก็ดีปกติไตรมาสที่ 4 ของปีจะเป็นไตรมาสที่ดี ที่นักลงทุนจากทุกกลุ่มจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งตัวดัชนีหุ้นเองจะเริ่มปรับราคาขึ้นมา โดยคาดว่าดัชนี SET INDEX ปลายปีมองไว้ที่ 1,500-1,520 จุด อย่างไรก็ดี นักลงทุนต้องระมัดระวังแรงเทขาย ซึ่งค่า P/E ที่ปรับตัวมาอยู่ที่ 13.1เท่า ก็อาจเกิดการขายทำกำไรออกมา เพราะถือว่าราคาเริ่มแพงขึ้นแล้ว
ส่วนกระแสเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเซีย โดยเฉพาะกลุ่ม TIP (Thailand Indonesia Philippines) มองว่าจะเป็นการกลับเข้ามาซื้อคืน ไม่ใช่การเข้ามาลงทุนอย่างเต็มที่ เพราะเฟด ยังไม่ได้ยกเลิกมาตรการ QE และไม่แน่ว่าการประชุมครั้งหน้าจะลดวงเงินอุตหนุนซื้อพันธบัตรลงหรือไม่ และเมื่อถึงกำหนดเวลา เฟดก็ต้องยกเลิกมาตรการนี้อยู่ดี อยู่ที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ซึ่งขณะนี้เป็นเพียงแค่การชะลอเวลาออกไปเท่านั้นเอง
“เม็ดเงินจากต่างประเทศคาดว่าจะไหลเข้ามาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 20% จากยอดสุทธิที่นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยไปกว่า 1 แสนล้านบาท ทำให้โบรกเกอร์หลายแห่งคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้เท่าเดิม และให้ความสำคัญกับสภาพคล่องมากกว่า ซึ่งโดยรวมคาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 1,430- 1,450 จุด ส่วนของ บล.ทิสโก้นั้น ยังคงเป้าหมายเดิมไว้ที่ 1,420 จุด”
ส่วนปัจจัยที่กดดันหุ้นไทยในระยะสั้นและระยะยาวนั้น จะต้องจับตาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจของตลาดหุ้นไทยและ GDP ไตรมาสที่ 3 ว่าจะสามารถหลุดพ้นสภาวะถดถอยทางเทคนิคได้หรือไม่ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เนื่องจากขณะนี้สินเชื่อมีแนวโน้มชะลอตัวลง และต้องดูนโยบายของธนาคารว่าจะตั้งสำรองมากน้อยแค่ไหน
ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทนั้น ถ้าหากว่าค่าเงินบาทมีอัตราที่แข็งค่าขึ้น จากเม็ดเงินที่ไหลกลับเข้ามาจะกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกที่มองว่าได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนแทน แต่ยังไม่กังวลมากนักหากเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนรุนแรงก่อนหน้านี้
โดยการลงทุนนับจากนี้จนถึงสิ้นปี หุ้นกลุ่มที่ยังน่าลงทุน ได้แก่หุ้นกลุ่มอสังหาฯ เพราะส่วนใหญ่แล้วในไตรมาสสุดท้ายของปีจะเป็นยอดรับรู้รายได้งานในมือรอโอน ( Backlog) ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่พีคที่สุดของไตรมาส และคาดว่าจะเป็นช่วงที่ทำกำไรได้ดีที่สุดของบริษัทฯ และกลุ่มอสังหาฯเองก็ได้รับอานิสงค์จาก พ.ร.บ.เงินกู้โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท เนื่องจากเมื่อเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงผ่านตามแนวระนาบรถไฟฟ้า ก็จะเกิดการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น ความเจริญและการเติบโตทางเศรษฐกิจจะกระจายไปตามเส้นทางต่างๆ และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ก็ยังมีงานในมือที่เยอะอยู่ และจะได้รับประโยชน์โดยตรงพ.ร.บ.ดังกล่าวด้วย และอีกกลุ่มที่น่าจับตา คือหุ้นในกลุ่ม ICT ได้แก่หุ้น SIM เนื่องจากเป็นหุ้นในกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่เฮ้าส์แบรนด์ที่มีมาเก็ตแชร์มากที่สุดในตลาดขณะนี้

**ปลายต.ค.แรงกดดันจากQEจ่อทุบอีกรอบ
นายกษมพนธ์ เหมนิลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า ทั้งปัจจัยเรื่องQE3 และพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นข่าวดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่ว แต่เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น สังเกตุจากการที่ดัชชีหุ้นไทยปรับตัวขานรับข่าวดีอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงเหวี่ยงเมื่อดัชนีไปถึง 1,500 จุดได้ แต่ พรบ.เงินกู้นั้นมีส่วนสัมพันธ์โดยตรงต่อเศรษฐกิจที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความขัดแย้งกับความรู้สึกในส่วนของนัยยะซ่อนเร้น
“มาตรการQE ในระสั้นเป็นบวก เนื่องจากเงินที่ใหลออกไปก่อนหน้านี้ กว่า 1 แสนล้านบาทที่เป็น เงินร้อน (Hot Money) จะไหลกลับเข้ามาลงทุนในประเทศอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเฟดจะประชุม QE อีกครั้งในวันที่ 29-30 ตุลาคม ซึ่งจากที่นักวิเคราะห์หลายๆคนได้วางกรอบเอาไว้ว่าอาจจะปรับลดวงเงิน 1-1.5 หมื่นล้านเหรียญ/เดือน ทำให้อาจจะเกิดความกังวลกลับมาอีกครั้ง จนทำมีแรงเทขายขนาดใหญ่ตามมาอีก”
ส่วน พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น จะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยโดยตรงทั้งบวกและลบที่รุนแรงกว่าตลาดในภูมิภาคเอเซียด้วยกัน เพราะพ.ร.บ. ฉบับนี้มีความโดดเด่นในสายตานักลงทุนต่างประเทศมาก เพราะมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาว และจะสะท้อนภาพออกมาในทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี แต่ทั้งนี้ยังมีในหลายส่วนของ พรบ.ที่ต้องย้อนกลับมาดูในรายละเอียด ซึ่งพรรคฝ่ายค้านอาจจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าว่าผิดเงื่อนไขอะไรหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากว่าศาลตัดสินออกมาว่าผิดเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งจริง หุ้นก็จะสนองออกมาในทางลบอีกครั้งหนึ่ง
“QE ที่สะท้อนกลับมาอย่างรวดเร็วที่สุดในตอนนี้คือเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งหุ้นกลุ่มส่งออกจะได้รับผลกระทบโดยตรงและเกิดแรงเทขายออกมาในระยะสั้น เพราะฉะนั้นถ้ามองเจาะลึกเข้าไปในกลุ่มส่งออกที่คาดว่าเลวร้ายที่สุดแล้วอาจจะต้องแบกรับภาระจากผลกระทบของค่าเงินไปอีกอย่างน้อยจนกว่าเศรษฐกิจจะสมดุลมากขึ้น”
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่โดดเด่นในไตรมาสที่ 3-4 นี้ได้แก่หุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งได้รับการอุดหนุนตลาดป้องกันความเสี่ยงทางลงได้ในระดับหนึ่ง ถ้าหุ้นกลุ่มไอซีทีไม่แย่ และหุ้นกลุ่มธนาคารประกาศผลกำไรออกมาไม่เลวร้ายจนเกินไป อีกทั้งไตรมาสที่ 4 จะเป็นฤดูที่ฟากทวีปยุโรปและอเมริการต้องการใช้เชื่อเพลิงมากกว่าปกติ
“บล.กรุงศรีนั้น ยังคงเป้าดัชนีไว้เช่นเดิม โดยดัชนีหุ้นไทยอาจดีดตัวกลับไปสูงถึง 1,650 จุดก็ได้ แต่ยังไงแล้วฝ่ายค้านก็จะพยายามยื้อเวลาและยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้นานที่สุด ซึ่งจะเป็นจุดหักเหของตลาดหุ้นไทยที่สำคัญที่สุด ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นจากการคงมาตรการ QE นั้น ถ้าเงินบาทอยู่ในระดับ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จะมีผลให้กลุ่มสินค้าส่งออกสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้น และกดให้ผลประกอบการกำไรที่ได้น้อยลงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตามยังไม่ถือว่าเลวร้ายทั้งหมด เพราะไตรมาสที่ 4 นั้นถือว่าเป็นช่วง High Season ของการส่งออก ซึ่งจะเข้ามาช่วยประคองธุรกิจไปได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและความต้องการของตลาดว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน”
สำหรับกลยุทธการลงทุน แนะนำนักลงทุนพิจารณาในหุ้นกลุ่มใหญ่ ซึ่งมีสภาพคล่องสูง จากมุมมองของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุน มักจะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มใหญ่ เช่น ธนาคาร พลังงาน สื่อสาร ซึ่งถ้าหากพิจารณาตามมูลค่าของหุ้นต่อราคากลุ่มที่ถือได้ว่ามีราคาถูกในตอนนี้ คือหุ้นกลุ่มพลังงาน รองลงมาจะเป็นหุ้นกลุ่มธนาคาร และกลุ่มเทคโนโลยีการสื่อสาร ทั้งนี้กลุ่มที่จะแทรกขึ้นมาได้แก่กลุ่มอาหาร กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มอสังหาฯ และรับเหมาก่อสร้าง จะมีบทบาทมากขึ้นจากอานิสงส์ต้นน้ำและปลายน้ำของ พรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น