โบรกฯ คาดเฟดคง QE3 แค่ปัจจัยบวกระยะสั้น ดึงเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า 20-30% จากที่ขายออกไปกว่า 1 แสนล้าน แถมกดดันกลับส่งออกผันผวนเมื่อบาทกลับมาแข็งค่า เตือนที่ระดับ 1,500 จุด แรงเทขายพร้อมทำกำไร จากค่า P/E ที่เริ่มแพง แนะจับตา พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน การยื่นศาลรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้าน หากมีปัญหาจะกดดันหุ้นรูด ส่วนแนวโน้มตลาด 23-27 ก.ย. คาดดัชนีแกว่งตัวในลักษณะพักฐาน ข่าวที่เข้ามาหนุนตลาดก็จบลงไปเยอะแล้ว ตลาดก็ตอบสนองกับข่าวไปมากแล้ว ถือเป็นจังหวะในการขายทำกำไร
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า จากกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE ในการอัดฉีดเม็ดเงินซื้อพันธบัตร วงเงิน 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน เท่าเดิม และ พ.ร.บ.เงินกู้โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 2 ล้านล้านบาท ผ่านมติวาระของสภาตามเสียงข้างมาก ทำให้กระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างประเทศเริ่มไหลกลับเข้ามาลงทุนในไทย สังเกตได้จากการที่ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่ามากขึ้นสูงสุดในรอบ 2 เดือน
อย่างไรก็ดี ปกติไตรมาสที่ 4 ของปีจะเป็นไตรมาสที่ดีที่นักลงทุนจากทุกกลุ่มจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งตัวดัชนีหุ้นเองจะเริ่มปรับราคาขึ้นมา โดยคาดว่าดัชนี SET INDEX ปลายปีมองไว้ที่ 1,500-1,520 จุด อย่างไรก็ดี นักลงทุนต้องระมัดระวังแรงเทขาย ซึ่งค่า P/E ที่ปรับตัวมาอยู่ที่ 13.1 เท่า ก็อาจเกิดการขายทำกำไรออกมาเพราะถือว่าราคาเริ่มแพงขึ้นแล้ว
ส่วนกระแสเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่ม TIP (Thailand Indonesia Philippines) มองว่าจะเป็นการกลับเข้ามาซื้อคืน ไม่ใช่การเข้ามาลงทุนอย่างเต็มที่ เพราะเฟดยังไม่ได้ยกเลิกมาตรการ QE และไม่แน่ว่าการประชุมครั้งหน้าจะลดวงเงินอุดหนุนซื้อพันธบัตรลงหรือไม่ และเมื่อถึงกำหนดเวลา เฟดก็ต้องยกเลิกมาตรการนี้อยู่ดี อยู่ที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ซึ่งขณะนี้เป็นเพียงแค่การชะลอเวลาออกไปเท่านั้นเอง
“เม็ดเงินจากต่างประเทศคาดว่าจะไหลเข้ามาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 20% จากยอดสุทธิที่นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยไปกว่า 1 แสนล้านบาท ทำให้โบรกเกอร์หลายแห่งคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้เท่าเดิม และให้ความสำคัญกับสภาพคล่องมากกว่า ซึ่งโดยรวมคาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 1,430-1,450 จุด ส่วนของ บล.ทิสโก้นั้น ยังคงเป้าหมายเดิมไว้ที่ 1,420 จุด”
ส่วนปัจจัยที่กดดันหุ้นไทยในระยะสั้น และระยะยาวนั้น จะต้องจับตาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจของตลาดหุ้นไทย และ GDP ไตรมาสที่ 3 ว่าจะสามารถหลุดพ้นสภาวะถดถอยทางเทคนิคได้หรือไม่ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เนื่องจากขณะนี้สินเชื่อมีแนวโน้มชะลอตัวลง และต้องดูนโยบายของธนาคารว่าจะตั้งสำรองมากน้อยแค่ไหน
ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทนั้น ถ้าหากว่าค่าเงินบาทมีอัตราที่แข็งค่าขึ้น จากเม็ดเงินที่ไหลกลับเข้ามาจะกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกที่มองว่าได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนแทน แต่ยังไม่กังวลมากนักหากเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนรุนแรงก่อนหน้านี้
โดยการลงทุนนับจากนี้จนถึงสิ้นปี หุ้นกลุ่มที่ยังน่าลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มอสังหาฯ เพราะส่วนใหญ่แล้วในไตรมาสสุดท้ายของปีจะเป็นยอดรับรู้รายได้งานในมือรอโอน (Backlog) ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่พีกที่สุดของไตรมาส และคาดว่าจะเป็นช่วงที่ทำกำไรได้ดีที่สุดของบริษัทฯ และกลุ่มอสังหาฯเองก็ได้รับอานิสงส์จาก พ.ร.บ.เงินกู้โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท เนื่องจากเมื่อเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงผ่านตามแนวระนาบรถไฟฟ้า ก็จะเกิดการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น ความเจริญและการเติบโตทางเศรษฐกิจจะกระจายไปตามเส้นทางต่างๆ และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ก็ยังมีงานในมือที่เยอะอยู่ และจะได้รับประโยชน์โดยตรงจาก พ.ร.บ.ดังกล่าวด้วย และอีกกลุ่มที่น่าจับตา คือ หุ้นในกลุ่ม ICT ได้แก่หุ้น SIM เนื่องจากเป็นหุ้นในกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่เฮาส์แบรนด์ที่มีมาร์เกตแชร์มากที่สุดในตลาดขณะนี้
ด้านนายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า (23-27 ก.ย.) โดยคาดว่า ดัชนียังคงมีการแกว่งตัวในลักษณะการพักฐาน โดยปัจจัยที่เข้ามาหนุนตลาดในช่วงนี้ส่วนใหญ่ได้ข้อสรุปแล้ว ซึ่งตลาดได้ตอบสนองปัจจัยบวกไปค่อนข้างมากแล้ว
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในช่วงต่อจากนี้ ถือเป็นจังหวะในการขายทำกำไร นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จะได้ข้อสรุปออกมาอย่างไร โดยประเมินแนวรับแรกที่ 1,470 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,460 จุด และประเมินแนวต้านแรกที่ 1,486 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,494 จุด
นายสมชาย กล่าวย้ำว่า ข่าวที่เข้ามาหนุนตลาดก็จบลงไปเยอะแล้ว ตลาดก็ตอบสนองกับข่าวไปมากแล้ว อย่างเรื่องกรณีธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ดัชนีก็ปรับเพิ่มขึ้นแรงสะท้อนไปแล้ว ขณะที่ปัจจัยไหม่ๆ ก็ยังไม่มีอะไรเข้ามาส่งผลต่อตลาดฯ ถือเป็นจังหวะในการขายทำกำไร