ก่อนอื่นเราต้องต่อสู้กันภายในอย่างสันติ เพื่อให้เกิดการนำต่อสู้ที่ถูกต้องเพื่อชาติและประชาชน นักวิชาการ แกนนำมองไม่เห็นเหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง อย่างเช่น ไปโทษระบอบทักษิณบ้าง ไปโทษระบอบเผด็จการรัฐสภา ซึ่งทั้งสองนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์ หรือผล หรือเป็นเงาของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญเท่านั้น มันเป็นเพียงปลายเหตุ เราก็ต้องมาร่วมมือกันสืบสาวไปหาเหตุ เพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตชาติร่วมกัน
ซึ่งสังเกตได้ว่า หลายฝ่ายมีความเชื่อและมีความเห็นผิดๆ ซึ่งเรียกคำว่า “ระบอบ” ซ้อนอยู่อย่างน้อย 3 อย่าง ซึ่งทำให้ประชาชนสับสนมาก ได้แก่
1)“ระบอบประประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
2)“ระบอบทักษิณ”
3)“ระบอบเผด็จการรัฐสภา”
ประการแรก คำว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
1) เป็นการเขียนผิด และเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจริงๆ ความจริงสิ่งที่ตั้งอยู่ เมื่อได้พิสูจน์ทราบอย่างแท้จริงแล้ว มันเป็นระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
2) ความถูกต้องที่สุดคือ องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐไทย ไม่ใช่ประมุขระบอบและไม่สามารถเป็นประมุขระบอบอะไรๆ ได้ทั้งสิ้น เพราะมันผิดหลักทางรัฐศาสตร์จึงเป็นการเขียนผิด จากความเห็นผิด และเป็นการทำลายองค์พระมหากษัตริย์ โดยทั้งกด ทั้งลดทั้งลิดรอนพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ให้ต่ำลงเป็นประมุขระบอบเผด็จการ เพราะด้วยความเห็นผิดอย่างร้ายแรง จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
ประการที่ 2 “ระบอบทักษิณ” ไม่มีอยู่จริงในเชิงรัฐศาสตร์ มันเป็นเพียงความรู้สึก ความจริงคือมันเป็นเพียงปรากฏการณ์ หรือมันเป็นผลของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ต่างก็ใช้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการปกครองเพื่อปล้นชาติ
การนำใดๆ ที่ปลุกระดมว่าต้องโค่นระบอบทักษิณ ก็เท่ากับว่า การนำนั้น ยังมีความเห็นผิด พวกเขากำลังเล็งปืน เล็งธนู หรือเป้าโจมตี ไปที่เงาของระบอบเผด็จการ ทำลายทักษิณเท่าไรๆ ก็ไม่สามารถทำลายลงได้ เพราะนักวิชาการ แกนนำยังมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จึงเสียแรงเปล่า นอกจากจะพ่ายแพ้แล้ว ยังจะตอกย้ำความแค้น ความโกรธ และสร้างความเห็นผิดๆ ให้ยาวนานออกไปอีก
การที่ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย มีนโยบายรับจำนำข้าว ออก พ.ร.บ.นิรโทษฯ แก้กฎหมายรัฐธรรมนูญบางมาตรา ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง และกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเหล่านี้ พวกเขาได้อาศัยระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ส่วนการกระทำดังกล่าวมันเป็นผลที่ฝ่ายต่อต้านไม่พอใจ ดังนั้นการต่อต้านที่ถูกต้อง ต้องช่วยกันระดมเล็งเป้าไปที่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ อันเป็นระบอบของนักการเมือง เพื่อนักการเมืองในการปล้นชาตินี่คือเหตุแห่งหายนะของชาติในทุกด้านพูดง่ายๆ เพราะความเห็นผิดอย่างร้ายแรงที่ว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย พวกเขาจึงสร้างระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ เพื่อให้นักการเมือง รัฐบาลให้ปล้นชาติ ยึดเอาทรัพย์สมบัติของชาติของประชาชนไปเป็นของพวกตระกูลต่างๆ เพียงหยิบมือเดียว หากไม่คิดโค่นระบอบเผด็จการอย่างแท้จริงแล้ว พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเหล่านี้ก็จะยังคงสับเปลี่ยนกันเข้าไปปล้นชาติเหมือนเดิม “อัปรีย์ไป จัญไรมา”
ประการที่ 3 “ระบอบเผด็จการรัฐสภา” มันเป็นปรากฏการณ์หรือมันเป็นผลที่มาจากเหตุคือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ผู้คนทั้งหลายต่างก็ได้ยิน ได้เห็นด้วยตาเนื้อว่า การเมืองไทยนั้น มันก็อีแค่ “เสียงข้างมากลากไปพาไปพินาศ” ซึ่งภาพที่เห็นก็คือ “ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายกฎหมายโดยเสียงข้างมากเพื่อพรรคพวกของฝ่ายรัฐบาล แต่พวกมันไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชน” แต่อย่าลืมว่า แท้จริง รัฐบาลเขาอาศัยระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ พวกเขาจึงทำอุบาทว์จัญไรเช่นนั้นได้
ส่วนฝ่ายต่อต้านโจมตี “ระบอบเผด็จการรัฐสภา” ก็ยังหลง ยังเชื่อว่า นี่คือ ”ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่รัฐบาลมันเป็นผู้ทำให้เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา
ดังนี้แล้ว หากเราโค่นระบอบเผด็จการรัฐสภาเพียงอย่างเดียว มันก็เท่ากับ เล็งเป้าหมาย จุดโจมตี กลายเป็นเงาของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ นั่นเอง จึงเป็นการต่อสู้ที่นอกจากจะไม่ชนะแล้ว ยังพ่ายแพ้สูญเสียสิ่งต่างๆ อีกมากมาย
สรุปง่ายๆ การโจมตีรัฐบาล แต่ ไม่โจมตีเหตุที่มาแห่งรัฐบาลนั้น อย่างนี้มีแต่แพ้กับแพ้และประชาชนไม่ได้อะไร
อย่ากระนั้นเลย ตั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีใหม่ เช่น ยุทธวิธีคือ โค่นรัฐบาล ยุทธศาสตร์คือโค่นระบอบเผด็จการ ซึ่งก็คือ “โค่นรัฐบาลสู่การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย” นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่สำหรับการเมืองของประชาชนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
กลุ่มพลังมวลชนใดๆ ไม่เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ก็จะมีแต่ความพ่ายแพ้
ส่วนกลุ่มพลังมวลชนใดๆ เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นจุดหมายหรือเป้าหมายร่วมกัน ก็จะชนะทุกวัน โดยเฉพาะชนะจิตใจตนเอง ที่ต่อสู้ด้วยความรัก ความเมตตา เพื่อให้คนเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติของตนหันหน้ากลับมากลับเนื้อกลับตัว ฉุกคิด กลับใจมาเห็นถูก แล้วร่วมกันสร้างชาติไปด้วยกัน โดยมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นจุดหมายร่วมกัน ประชาชนอันแตกต่างหลากหลายต่างเชิดชูจุดหมายเดียวกันหรือยุทธศาสตร์เดียวกัน จึงเป็นชนะของปวงชนทั้งแผ่นดิน จึงเป็นการเปลี่ยนการเมืองของพรรคการเมือง ให้เป็นการเมืองของปวงชนที่เปิดเผย ไม่ปิดบังซ่อนเร้นซึ่งต่างระบอบการเมืองของนักการเมืองที่มีแต่ กฎหมายรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว ปิดบังซ่อนเร้นหลักการปกครองเผด็จการเอาไว้ เพราะว่า มันเป็นหลักการของนักการเมือง ของพรรคการเมือง มันจึงเปิดเผยไม่ได้ เพราะมันคือพรรคการเมืองเพื่อปล้นชาตินั่นเอง
จึงกล่าวได้ว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิด “ปิดหลักการปกครอง แต่เปิดเลยวิธีการปกครอง หรือวิธีการปฏิบัติ”
ส่วนการเมืองของปวงชน คือการทำให้ปวงชนฉลาด รู้เท่าทันในทางการเมือง จึงได้ทำการเปิดเผย แสดงให้เห็น “เปิดหลักการปกครองโดยธรรม และเปิดวิธีการปกครองหรือวิธีการปฏิบัติโดยธรรม ให้ได้รู้ได้เห็น เข้าใจกันโดยทั่วกัน จึงเป็นการเมืองที่โปร่งใสทุกคน ประชาชนเมื่อมีจุดหมายการเมืองการปกครองร่วมกัน มีหลักการปกครองร่วมกัน
ขอขยายความ คำว่า ระบอบ (Regime) หรือหลักการปกครอง (Principle of Government) หรือจุดศูนย์กลางของการปกครอง (Aim of Government) ซึ่งจะเห็นได้ว่า ลักษณะแนวคิดของผู้ปกครองระบอบเผด็จการปัจจุบัน
1) ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์รวมอำนาจใช่หรือไหม
2) ใช้รัฐธรรมนูญเป็นหลักการปกครองใช่หรือไม่
3) ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางของการปกครองใช่หรือไม่
เราจะวิจารณ์ให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง ดังนี้
ข้อหนึ่ง ถามว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายทุกชนิดมันเป็นจุดหมายการปกครองของประชาชนได้หรือไม่ ตอบว่า ไม่ได้เลยเพราะกฎหมายทุกชนิดมันเป็นได้แค่วิธีการปกครองหรือเครื่องมือในการปกครองเท่านั้น ดังนั้น เครือข่ายรัฐบาลเพียงหยิบมือเดียว พวกเขาจึงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการ พวกเขาจึงปล้นชาติตามที่เขาต้องการ มันจึงเป็นการเมืองของนักการเมือง เพื่อปกป้องผลประโยชนของพวกเขา ฯลฯ
ข้อสอง การที่พวกผู้ปกครองรุ่นแล้วรุ่นเล่ายาวนาน 81 กว่าปี มีความเห็นผิดอย่างร้ายแรง ที่นำเอากฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นหลักการปกครอง หรือนำมาเป็นระบอบ ถามว่าพวกเขาทำถูกต้องหรือไม่ ตอบว่าทำผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติมายาวนานที่สุดเพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมาย กฎหมายจึงเป็นหลักการไม่ได้ เป็นได้เพียงวิธีการของหลักการปกครอง ในเมื่อหลักการปกครองหรือระบอบที่แท้จริงไม่มี ดังนั้น หลักการหรือระบอบของระบอบปัจจุบัน มันก็คือเครือข่ายรัฐบาลนั่นเอง นี่แหละ จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการ มันจึงเป็นเหตุของความขัดแย้งภายในชาติ
หลักการปกครองของปวงชนหรือของชาติ จะต้องเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ว่าด้วยเรื่อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อำนาจอธิปไตยของปวงชน เสรีภาพบริบูรณ์ของปวงชน ความเสมอภาคทางโอกาสของปวงชน ฯลฯ เป็นต้น
ข้อสาม พวกผู้ปกครองเผด็จการ ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางของการปกครองถูกต้องหรือไม่ ตอบว่า ไม่สามารถเอากฎหมายมาเป็นศูนย์กลางได้ เพราะกฎหมายเป็นวิธีการ เป็นเครื่องมือ อุปมา การที่เอาวิธีการ ไปวัดพระแก้ว มาเป็นจุดหมาย เช่น ยึดติดว่า ต้องไปรถเก๋งเท่านั้น และในขณะเดียวกันวัดพระแก้ว หรือจุดหมาย หรือระบอบ หรือหลักการปกครองของปวงชน ยังไม่มี ดังนี้ ผลที่ออกมา คือ จุดหมายที่แท้หรือศูนย์กลางที่แท้จริงของการปกครองชนิดนี้มันกลายเป็นของนักการเมืองหรือพรรครัฐบาล และใช้วิธีการคือกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ทั้งกดขี่ (ปกครองเพื่อผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว) และขูดคือเก็บภาษีเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ข้าวของก็จะราคาแพงขึ้นไปเรื่อย ประชาชนก็จะจนลงไปเรื่อยๆ ดูเขื่อนแม่วงก์ นี่อีกตัวอย่างมันคือนโยบายปล้นชาติของระบอบจัญไร รัฐบาลจัญไร รัฐมนตรีประจำกระทรวงจัญไร แล้วประเทศชาติจะเหลืออะไรอ่านกันดีๆ ทำความเข้าใจกันดีๆ เถิด
ซึ่งสังเกตได้ว่า หลายฝ่ายมีความเชื่อและมีความเห็นผิดๆ ซึ่งเรียกคำว่า “ระบอบ” ซ้อนอยู่อย่างน้อย 3 อย่าง ซึ่งทำให้ประชาชนสับสนมาก ได้แก่
1)“ระบอบประประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
2)“ระบอบทักษิณ”
3)“ระบอบเผด็จการรัฐสภา”
ประการแรก คำว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
1) เป็นการเขียนผิด และเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจริงๆ ความจริงสิ่งที่ตั้งอยู่ เมื่อได้พิสูจน์ทราบอย่างแท้จริงแล้ว มันเป็นระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
2) ความถูกต้องที่สุดคือ องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐไทย ไม่ใช่ประมุขระบอบและไม่สามารถเป็นประมุขระบอบอะไรๆ ได้ทั้งสิ้น เพราะมันผิดหลักทางรัฐศาสตร์จึงเป็นการเขียนผิด จากความเห็นผิด และเป็นการทำลายองค์พระมหากษัตริย์ โดยทั้งกด ทั้งลดทั้งลิดรอนพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ให้ต่ำลงเป็นประมุขระบอบเผด็จการ เพราะด้วยความเห็นผิดอย่างร้ายแรง จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
ประการที่ 2 “ระบอบทักษิณ” ไม่มีอยู่จริงในเชิงรัฐศาสตร์ มันเป็นเพียงความรู้สึก ความจริงคือมันเป็นเพียงปรากฏการณ์ หรือมันเป็นผลของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ต่างก็ใช้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการปกครองเพื่อปล้นชาติ
การนำใดๆ ที่ปลุกระดมว่าต้องโค่นระบอบทักษิณ ก็เท่ากับว่า การนำนั้น ยังมีความเห็นผิด พวกเขากำลังเล็งปืน เล็งธนู หรือเป้าโจมตี ไปที่เงาของระบอบเผด็จการ ทำลายทักษิณเท่าไรๆ ก็ไม่สามารถทำลายลงได้ เพราะนักวิชาการ แกนนำยังมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จึงเสียแรงเปล่า นอกจากจะพ่ายแพ้แล้ว ยังจะตอกย้ำความแค้น ความโกรธ และสร้างความเห็นผิดๆ ให้ยาวนานออกไปอีก
การที่ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย มีนโยบายรับจำนำข้าว ออก พ.ร.บ.นิรโทษฯ แก้กฎหมายรัฐธรรมนูญบางมาตรา ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง และกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเหล่านี้ พวกเขาได้อาศัยระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ส่วนการกระทำดังกล่าวมันเป็นผลที่ฝ่ายต่อต้านไม่พอใจ ดังนั้นการต่อต้านที่ถูกต้อง ต้องช่วยกันระดมเล็งเป้าไปที่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ อันเป็นระบอบของนักการเมือง เพื่อนักการเมืองในการปล้นชาตินี่คือเหตุแห่งหายนะของชาติในทุกด้านพูดง่ายๆ เพราะความเห็นผิดอย่างร้ายแรงที่ว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย พวกเขาจึงสร้างระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ เพื่อให้นักการเมือง รัฐบาลให้ปล้นชาติ ยึดเอาทรัพย์สมบัติของชาติของประชาชนไปเป็นของพวกตระกูลต่างๆ เพียงหยิบมือเดียว หากไม่คิดโค่นระบอบเผด็จการอย่างแท้จริงแล้ว พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเหล่านี้ก็จะยังคงสับเปลี่ยนกันเข้าไปปล้นชาติเหมือนเดิม “อัปรีย์ไป จัญไรมา”
ประการที่ 3 “ระบอบเผด็จการรัฐสภา” มันเป็นปรากฏการณ์หรือมันเป็นผลที่มาจากเหตุคือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ผู้คนทั้งหลายต่างก็ได้ยิน ได้เห็นด้วยตาเนื้อว่า การเมืองไทยนั้น มันก็อีแค่ “เสียงข้างมากลากไปพาไปพินาศ” ซึ่งภาพที่เห็นก็คือ “ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายกฎหมายโดยเสียงข้างมากเพื่อพรรคพวกของฝ่ายรัฐบาล แต่พวกมันไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชน” แต่อย่าลืมว่า แท้จริง รัฐบาลเขาอาศัยระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ พวกเขาจึงทำอุบาทว์จัญไรเช่นนั้นได้
ส่วนฝ่ายต่อต้านโจมตี “ระบอบเผด็จการรัฐสภา” ก็ยังหลง ยังเชื่อว่า นี่คือ ”ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่รัฐบาลมันเป็นผู้ทำให้เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา
ดังนี้แล้ว หากเราโค่นระบอบเผด็จการรัฐสภาเพียงอย่างเดียว มันก็เท่ากับ เล็งเป้าหมาย จุดโจมตี กลายเป็นเงาของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ นั่นเอง จึงเป็นการต่อสู้ที่นอกจากจะไม่ชนะแล้ว ยังพ่ายแพ้สูญเสียสิ่งต่างๆ อีกมากมาย
สรุปง่ายๆ การโจมตีรัฐบาล แต่ ไม่โจมตีเหตุที่มาแห่งรัฐบาลนั้น อย่างนี้มีแต่แพ้กับแพ้และประชาชนไม่ได้อะไร
อย่ากระนั้นเลย ตั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีใหม่ เช่น ยุทธวิธีคือ โค่นรัฐบาล ยุทธศาสตร์คือโค่นระบอบเผด็จการ ซึ่งก็คือ “โค่นรัฐบาลสู่การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย” นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่สำหรับการเมืองของประชาชนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
กลุ่มพลังมวลชนใดๆ ไม่เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ก็จะมีแต่ความพ่ายแพ้
ส่วนกลุ่มพลังมวลชนใดๆ เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นจุดหมายหรือเป้าหมายร่วมกัน ก็จะชนะทุกวัน โดยเฉพาะชนะจิตใจตนเอง ที่ต่อสู้ด้วยความรัก ความเมตตา เพื่อให้คนเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติของตนหันหน้ากลับมากลับเนื้อกลับตัว ฉุกคิด กลับใจมาเห็นถูก แล้วร่วมกันสร้างชาติไปด้วยกัน โดยมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นจุดหมายร่วมกัน ประชาชนอันแตกต่างหลากหลายต่างเชิดชูจุดหมายเดียวกันหรือยุทธศาสตร์เดียวกัน จึงเป็นชนะของปวงชนทั้งแผ่นดิน จึงเป็นการเปลี่ยนการเมืองของพรรคการเมือง ให้เป็นการเมืองของปวงชนที่เปิดเผย ไม่ปิดบังซ่อนเร้นซึ่งต่างระบอบการเมืองของนักการเมืองที่มีแต่ กฎหมายรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว ปิดบังซ่อนเร้นหลักการปกครองเผด็จการเอาไว้ เพราะว่า มันเป็นหลักการของนักการเมือง ของพรรคการเมือง มันจึงเปิดเผยไม่ได้ เพราะมันคือพรรคการเมืองเพื่อปล้นชาตินั่นเอง
จึงกล่าวได้ว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิด “ปิดหลักการปกครอง แต่เปิดเลยวิธีการปกครอง หรือวิธีการปฏิบัติ”
ส่วนการเมืองของปวงชน คือการทำให้ปวงชนฉลาด รู้เท่าทันในทางการเมือง จึงได้ทำการเปิดเผย แสดงให้เห็น “เปิดหลักการปกครองโดยธรรม และเปิดวิธีการปกครองหรือวิธีการปฏิบัติโดยธรรม ให้ได้รู้ได้เห็น เข้าใจกันโดยทั่วกัน จึงเป็นการเมืองที่โปร่งใสทุกคน ประชาชนเมื่อมีจุดหมายการเมืองการปกครองร่วมกัน มีหลักการปกครองร่วมกัน
ขอขยายความ คำว่า ระบอบ (Regime) หรือหลักการปกครอง (Principle of Government) หรือจุดศูนย์กลางของการปกครอง (Aim of Government) ซึ่งจะเห็นได้ว่า ลักษณะแนวคิดของผู้ปกครองระบอบเผด็จการปัจจุบัน
1) ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์รวมอำนาจใช่หรือไหม
2) ใช้รัฐธรรมนูญเป็นหลักการปกครองใช่หรือไม่
3) ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางของการปกครองใช่หรือไม่
เราจะวิจารณ์ให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง ดังนี้
ข้อหนึ่ง ถามว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายทุกชนิดมันเป็นจุดหมายการปกครองของประชาชนได้หรือไม่ ตอบว่า ไม่ได้เลยเพราะกฎหมายทุกชนิดมันเป็นได้แค่วิธีการปกครองหรือเครื่องมือในการปกครองเท่านั้น ดังนั้น เครือข่ายรัฐบาลเพียงหยิบมือเดียว พวกเขาจึงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการ พวกเขาจึงปล้นชาติตามที่เขาต้องการ มันจึงเป็นการเมืองของนักการเมือง เพื่อปกป้องผลประโยชนของพวกเขา ฯลฯ
ข้อสอง การที่พวกผู้ปกครองรุ่นแล้วรุ่นเล่ายาวนาน 81 กว่าปี มีความเห็นผิดอย่างร้ายแรง ที่นำเอากฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นหลักการปกครอง หรือนำมาเป็นระบอบ ถามว่าพวกเขาทำถูกต้องหรือไม่ ตอบว่าทำผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติมายาวนานที่สุดเพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมาย กฎหมายจึงเป็นหลักการไม่ได้ เป็นได้เพียงวิธีการของหลักการปกครอง ในเมื่อหลักการปกครองหรือระบอบที่แท้จริงไม่มี ดังนั้น หลักการหรือระบอบของระบอบปัจจุบัน มันก็คือเครือข่ายรัฐบาลนั่นเอง นี่แหละ จึงเรียกว่าระบอบเผด็จการ มันจึงเป็นเหตุของความขัดแย้งภายในชาติ
หลักการปกครองของปวงชนหรือของชาติ จะต้องเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ว่าด้วยเรื่อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อำนาจอธิปไตยของปวงชน เสรีภาพบริบูรณ์ของปวงชน ความเสมอภาคทางโอกาสของปวงชน ฯลฯ เป็นต้น
ข้อสาม พวกผู้ปกครองเผด็จการ ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางของการปกครองถูกต้องหรือไม่ ตอบว่า ไม่สามารถเอากฎหมายมาเป็นศูนย์กลางได้ เพราะกฎหมายเป็นวิธีการ เป็นเครื่องมือ อุปมา การที่เอาวิธีการ ไปวัดพระแก้ว มาเป็นจุดหมาย เช่น ยึดติดว่า ต้องไปรถเก๋งเท่านั้น และในขณะเดียวกันวัดพระแก้ว หรือจุดหมาย หรือระบอบ หรือหลักการปกครองของปวงชน ยังไม่มี ดังนี้ ผลที่ออกมา คือ จุดหมายที่แท้หรือศูนย์กลางที่แท้จริงของการปกครองชนิดนี้มันกลายเป็นของนักการเมืองหรือพรรครัฐบาล และใช้วิธีการคือกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ทั้งกดขี่ (ปกครองเพื่อผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว) และขูดคือเก็บภาษีเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ข้าวของก็จะราคาแพงขึ้นไปเรื่อย ประชาชนก็จะจนลงไปเรื่อยๆ ดูเขื่อนแม่วงก์ นี่อีกตัวอย่างมันคือนโยบายปล้นชาติของระบอบจัญไร รัฐบาลจัญไร รัฐมนตรีประจำกระทรวงจัญไร แล้วประเทศชาติจะเหลืออะไรอ่านกันดีๆ ทำความเข้าใจกันดีๆ เถิด