หมอแพตปุญชิดา :“วันนี้ หมอขอถาม ท่านอาจารย์ ดร.ป. นะค่ะว่า อะไรคือที่สุดแห่งอัปรีย์ของชาติ ค่ะ เมตตา เขียน ให้ความกระจ่างด้วยนะค่ะ ขอบพระคุณค่ะ” ประเทศไทยภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบอบรัฐสภา นี่คือสภาพความเป็นจริงที่ครอบงำประเทศไทยมายาวนานถึง 81 ปี
ข้อเขียนนี้ย่อมขัดแย้งอย่างรุนแรงกับคนที่มีความเชื่อในแนวทางของคณะราษฎรทั้งในพรรคเพื่อไทยและผู้คนในพรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นๆ และกลุ่มชนที่สนับสนุนระบอบนี้ โดยที่พวกเขาเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่าเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จากประเด็นดังกล่าวนี้ มีข้อเสนอแนะได้ดังนี้
1. ประเทศไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตยหรือประเทศไทยไม่เคยมีการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือประเทศไทยไม่เคยมีจุดหมายร่วมของปวงชนหรือประเทศไทยไม่เคยมีหลักนิติธรรมหรือประเทศไทยไม่เคยมีกฎหมายความมั่นคงสูงสุด (Supreme Law)
ดังนั้น จึงเป็นการเมืองการปกครองที่หลอกหลอนประชาชนและทำลายประเทศไทยมาตลอดยาวนานถึง 81 ปี
2. ไม่มีประเทศไหนๆ ในโลกที่ประมุขประเทศจะมาเป็นประมุขระบอบใดๆ ได้ ประมุขประเทศจะเป็นประมุขระบอบเผด็จการก็ไม่ได้ จะเป็นระบอบประชาธิปไตยก็ไม่ได้ทั้งนั้น
คำว่าตำแหน่งประมุขประเทศ (The head of state) ต้องเป็นประมุขประเทศเท่านั้น นี่เป็นการเขียน พูดทำลายองค์พระมหากษัตริย์ไทย และเป็นการเขียนกดลดพระบรมเดชานุภาพให้เป็นประมุขระบอบเลว (ระบอบที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมและไม่มีองค์ประกอบแห่งรัฐ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์)
อาจจะมีคนแย้งว่า ทุกวันนี้ที่เลวนะ เพราะพวกนักการเมืองไม่ใช่ระบอบ แสดงว่าเขาคนนั้นไม่รู้เรื่องระบอบหรือหลักการปกครองโดยธรรม หากเรามองด้วยเหตุผล เหตุเลว ผลเลว ระบอบเลว นักการเมืองเลว ระบอบดี นักการเมืองดี ประชาชนดี
เราขอสรุปสั้นๆ ตรงนี้ว่าประเทศไทย คนรักชาติ ยังมีความเข้าใจผิดเรื่องระบอบประชาธิปไตยกันอย่างมาก ยังไม่รู้จักระบอบประชาธิปไตย เมื่อพวกเขาเห็นผิด จึงคิดผิด พูดผิดและทำผิดซ้ำซาก แม้จะเป็นฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณก็ตาม
ระบอบทักษิณ มันก็อันเดียวกับระบอบปู ระบอบปูมันก็คือระบอบมาร์ค แท้จริงหากเรามองข้ามปัญหาบุคคล รัฐบาลไหนๆ ก็เป็นผลของระบอบเผด็จการที่เอากฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นระบอบนั่นเอง แล้วก็โกหกหรือเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่า “เป็นระบอบประชาธิปไตย...”
เราขอฟันธงตรงนี้ว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญมา 81 ปีแล้ว โดยสลับขั้วกันระหว่างยึดอำนาจร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขั้วหนึ่ง สลับขั้วกับรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งซึ่งหากไม่คิดแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แนวคิดของพวกเขาก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะมาจากรัฐประหารหรือเลือกตั้ง
นี่คือแนวคิดของพวกที่เรียกว่า “ลัทธิรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการอย่างหนึ่ง เป็น “ลัทธิอุบาทว์ทางการเมืองที่ครอบงำผู้ปกครองไทย” ที่มีความเชื่อมั่น เห็นเพียงรูปธรรมทางการเมือง เช่นเขาเชื่อและเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ อย่างที่นักการเมือง เขาพูดกันว่า...
1. รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย คือความเห็นผิดร้ายแรงต่อชาติของผู้ปกครองมีนักวิชาการส่วนใหญ่และนักการเมืองไทยทุกพรรคเท่านั้นตายร้อยชาติพันชาติเขาก็เชื่ออย่างนี้ ทั้งๆ กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือหรือเป็นวิธีการในการปกครองไม่ใช่ระบอบหรือหลักการปกครองไม่มีนักรัฐศาสตร์ที่ไหนในโลกที่เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ขอให้มีปัญญารู้อย่างถูกต้องว่า ระบอบกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ คนละส่วนกัน ดุจดังเครื่องจักรกับรถยนต์ แต่ใช้ร่วมกัน
2. พวกเขาเชื่อและเห็นผิดอย่างร้ายแรงว่าระบบรัฐสภา คือระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ระบบรัฐสภาเป็นเพียงรูปการปกครอง (Form of Government) ชนิดหนึ่ง ระบอบอะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ เพื่อจัดความสัมพันธ์ในองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยให้เกิดดุลยภาพกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ แต่ถ้าเป็นระบอบเผด็จการ มันก็จะรวบอำนาจไว้มากบ้างเบาบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับระบอบเผด็จการนั้นๆ ขอให้มีปัญญารู้ถูกต้องว่า ระบอบกับรูปการปกครองคนละส่วนกัน
3. พวกเขาเชื่อว่าการเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการคัดคนเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง มันเป็นวิธีการหนึ่ง ไม่ใช่ระบอบ แต่นักการเมืองทุกพรรค มันก็มาหลอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตยใช้การเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ขอให้มีปัญญารู้ถูกต้องว่า ระบอบฯกับการเลือกตั้งคนละส่วนกัน
ท่านผู้อ่านครับ รัฐธรรมนูญแท้จริงเป็นเพียงวิธีการปกครอง (Methods of Government) ไม่ใช่ระบอบ ระบบรัฐสภาเป็นเพียงรูปการปกครอง การเลือกตั้งเป็นวิธีการกลางๆ เพื่อคัดเลือกคน ระบอบไหนๆ ก็เอาไปใช้ได้ ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งแล้วจะเป็นระบอบประชาธิปไตยเสมอไปตามที่พวกเผด็จการเข้าใจกัน
เรามาดูการเปรียบเทียบกันลักษณะการเมืองการปกครองแบบเผด็จการโดยลัทธิรัฐธรรมนูญกับการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยธรรมาธิปไตย
กฎหมายรัฐธรรมนูญทุกฉบับมันเป็นเพียงวิธีการ เป็นเครื่องมือรับใช้นักการเมืองทำหน้าที่เพื่อนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว พวกเขาจึงปล้นชาติ คอร์รัปชันกันอย่างใหญ่โตมโหฬาร จากหมื่นเป็นแสน เป็นล้าน ปัจจุบันกลายเป็นแสนล้าน ตามลำดับ ที่แต่ละรัฐบาลนั้นๆ โกงไป มันจึงมีคำพูดออกมาว่า “ใครโกงมากกว่ากัน” “ใครเลวน้อยกว่ากัน” แต่พวกมันก็เป็นผลพวงของระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญนี่เอง ที่พวกมันหลอกหลอนประชาชนว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย เช่น ทักษิณ พูดว่า “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” ให้ทักษิณร่างใหม่สุดพันฉบับก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตย
มาร์ค พูดว่า “พวกเราต้องรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ใช่ไหมครับพี่น้อง” ความจริงคือระบอบประชาธิปไตยยังไม่เกิด ยังไม่ได้สถาปนา แล้วคุณจะรักษาอะไร มันก็รักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญนั่นเอง นี่คือความหลงผิดอย่างร้ายแรงของนักการเมืองไทย ทุกคนทุกพรรค
ผลพวงของระบอบเผด็จการ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสุด คือ ที่สุดของอัปรีย์จัญไรที่เกิดขึ้นในชาติ แต่มันมีความต่างกันลิบลับระหว่างทักษิณ กับสมีคำ หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นมันต่างกันลิบลับระหว่างนักการเมืองขี้โกงกับนักบวชผู้พ่ายแพ้ใจตนเอง ซึ่งทั้งสองคนต่างก็คิดนึกทำเพื่อตนเอง และคนทั้งสองเป็นบุคคลสาธารณะเหมือนกัน
ทักษิณถูกกล่าวหาว่า 1) ละเมิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ 2540 2) ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ (ละเมิดพระราชอำนาจ) 3) ฉ้อราษฎร์บังหลวง 4) ห่วงผลประโยชน์ของตัวเอง 5) ละเลงวินัยทางการคลัง 6) หวังขายสมบัติชาติ 7) บังอาจทำลายกระบวนการยุติธรรม 8) ระยำกับนโยบายประชานิยม 9) ขื่นขมกับการรักษาระบอบเผด็จการ 10) ระรานทำลายพระศาสนา 11) บ้าอยู่กับการคิดโกงชาติ
เมื่อนักการเมืองทำผิดย่อมกระทบถึงประชาชนทุกคน ความยากจน ความขมขื่นที่ประชาชนได้รับไปทั่วทั้งแผ่นดินกระทบทุกส่วน ส่วนที่ได้ประโยชน์เพียงหยิบมือเดียว แต่ส่วนที่เสียหายกระทบทั้งแผ่นดิน
ส่วนสมีคำ แกเป็นนักบวชภายใต้ระบอบเผด็จการทุนนิยมผูกขาด (ทุนสามานย์) สถาบันพระศาสนาแทนที่จะเป็นจิตของชาติ ก็กลายเป็นกลไกรัฐอยู่ในระดับกรมการศาสนา หากเรามองด้วยกฎอิทัปปัจจยตา “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” “เมื่อสิ่งนี้เลว สิ่งนี้จึงเลว” หรือ “เมื่อเหตุเลว ผลย่อมเลวตาม” เมื่อการเมืองเลว (เป็นของนักการเมือง ธุรกิจการเมืองเพียงหยิบมือเดียว การปกครองก็เลวตาม กระทรวง กรม ก็เลวตาม ตามลำดับ พระศาสนาแทนที่จะทำหน้าที่เป็นจิต ก็กลายเป็นตับ ไต ไส้พุง เมื่อสภาพการดำรงอยู่มันเป็นอย่างนี้ หรือสัมพันธภาพมันเป็นไปทางลบ ก็แน่นอนว่า สถาบันพระศาสนาย่อมอ่อนแอ ขาดการดูแลอย่างเป็นระบบ
สมี เขาเป็นนักบวชอยู่ในระบอบเผด็จการ เขาได้ลุ่มหลงอย่างสุดสามานย์ เช่น เสพเมถุน ครอบครองเรือยอร์ช ครอบครองเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัว มีคฤหาสน์ หลอกลวงประชาชน สอนผิดๆ ที่สมีคำทำได้ ก็เพราะชาวพุทธไม่เข้าใจในคำสอน จึงถูกสมีคำและพวกหลอกว่าเป็นพระอริยะ สร้างภาพ ซึ่งนิกายนี้ ทำแบบนี้กันทั่วประเทศ ทั้ง เหนือ อีสาน ตะวันออก ใต้ คนขึ้นกันเยอะ เพราะสร้างภาพว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทั้งๆ ที่สอนธรรมะตื้นๆ เท่านั้นเอง แต่เพราะมีการจัดการอย่างเป็นระบบ และอยากครอบครองประเทศไทยทั้งหมด เพราะนิกายนี้มีการจัดการ การบริหารอย่างเป็นระบบ ส่วนอีกนิกายหนึ่งซึ่งมีจำนวนมากอยู่กันอย่างสะเปะสะปะ ไม่ดูแลกัน ไม่มีองค์กรบริหารจัดการ
สรุปแล้ว นักการเมืองเลวกระทบประชาชนทั้งแผ่นดิน นักบวชเลว กระทบตนเองและกับประชาชนบางจุดที่งมงายซึ่งเทียบไม่ได้กับนักการเมืองเลว
และที่ร้ายกาจที่สุดเป็นความอุบาทว์จัญไรของชาติคือระบอบเลว (ระบอบที่มีแต่รัฐธรรมนูญ โดยไม่มีหลักการปกครอง) นี่คือเหตุแห่งความหายนะของชาติ นี่คือเหตุแห่งอัปรีย์จัญไรในทุกๆ ด้านของชาติและประชาชน
ดังนั้น ผู้รักชาติ “จะร่วมมือกับรัฐบาล หรือไล่รัฐบาล แล้วร่วมใจกันผลักดันสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย นี่ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ที่ถูกต้องที่ประชาชนและประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด “การไล่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว ก็จะกลายเป็น อัปรีย์ไป จัญไรมา” หรือไล่รัฐบาลแล้ว ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หรือแช่แข็งประเทศไทย ก็ไม่ใช่ทางออกของปวงชนไทย นำไปพิจารณาด้วยปัญญาเถิด
ข้อเขียนนี้ย่อมขัดแย้งอย่างรุนแรงกับคนที่มีความเชื่อในแนวทางของคณะราษฎรทั้งในพรรคเพื่อไทยและผู้คนในพรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นๆ และกลุ่มชนที่สนับสนุนระบอบนี้ โดยที่พวกเขาเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่าเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จากประเด็นดังกล่าวนี้ มีข้อเสนอแนะได้ดังนี้
1. ประเทศไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตยหรือประเทศไทยไม่เคยมีการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือประเทศไทยไม่เคยมีจุดหมายร่วมของปวงชนหรือประเทศไทยไม่เคยมีหลักนิติธรรมหรือประเทศไทยไม่เคยมีกฎหมายความมั่นคงสูงสุด (Supreme Law)
ดังนั้น จึงเป็นการเมืองการปกครองที่หลอกหลอนประชาชนและทำลายประเทศไทยมาตลอดยาวนานถึง 81 ปี
2. ไม่มีประเทศไหนๆ ในโลกที่ประมุขประเทศจะมาเป็นประมุขระบอบใดๆ ได้ ประมุขประเทศจะเป็นประมุขระบอบเผด็จการก็ไม่ได้ จะเป็นระบอบประชาธิปไตยก็ไม่ได้ทั้งนั้น
คำว่าตำแหน่งประมุขประเทศ (The head of state) ต้องเป็นประมุขประเทศเท่านั้น นี่เป็นการเขียน พูดทำลายองค์พระมหากษัตริย์ไทย และเป็นการเขียนกดลดพระบรมเดชานุภาพให้เป็นประมุขระบอบเลว (ระบอบที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมและไม่มีองค์ประกอบแห่งรัฐ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์)
อาจจะมีคนแย้งว่า ทุกวันนี้ที่เลวนะ เพราะพวกนักการเมืองไม่ใช่ระบอบ แสดงว่าเขาคนนั้นไม่รู้เรื่องระบอบหรือหลักการปกครองโดยธรรม หากเรามองด้วยเหตุผล เหตุเลว ผลเลว ระบอบเลว นักการเมืองเลว ระบอบดี นักการเมืองดี ประชาชนดี
เราขอสรุปสั้นๆ ตรงนี้ว่าประเทศไทย คนรักชาติ ยังมีความเข้าใจผิดเรื่องระบอบประชาธิปไตยกันอย่างมาก ยังไม่รู้จักระบอบประชาธิปไตย เมื่อพวกเขาเห็นผิด จึงคิดผิด พูดผิดและทำผิดซ้ำซาก แม้จะเป็นฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณก็ตาม
ระบอบทักษิณ มันก็อันเดียวกับระบอบปู ระบอบปูมันก็คือระบอบมาร์ค แท้จริงหากเรามองข้ามปัญหาบุคคล รัฐบาลไหนๆ ก็เป็นผลของระบอบเผด็จการที่เอากฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นระบอบนั่นเอง แล้วก็โกหกหรือเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่า “เป็นระบอบประชาธิปไตย...”
เราขอฟันธงตรงนี้ว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญมา 81 ปีแล้ว โดยสลับขั้วกันระหว่างยึดอำนาจร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขั้วหนึ่ง สลับขั้วกับรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งซึ่งหากไม่คิดแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แนวคิดของพวกเขาก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะมาจากรัฐประหารหรือเลือกตั้ง
นี่คือแนวคิดของพวกที่เรียกว่า “ลัทธิรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการอย่างหนึ่ง เป็น “ลัทธิอุบาทว์ทางการเมืองที่ครอบงำผู้ปกครองไทย” ที่มีความเชื่อมั่น เห็นเพียงรูปธรรมทางการเมือง เช่นเขาเชื่อและเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ อย่างที่นักการเมือง เขาพูดกันว่า...
1. รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย คือความเห็นผิดร้ายแรงต่อชาติของผู้ปกครองมีนักวิชาการส่วนใหญ่และนักการเมืองไทยทุกพรรคเท่านั้นตายร้อยชาติพันชาติเขาก็เชื่ออย่างนี้ ทั้งๆ กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือหรือเป็นวิธีการในการปกครองไม่ใช่ระบอบหรือหลักการปกครองไม่มีนักรัฐศาสตร์ที่ไหนในโลกที่เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ขอให้มีปัญญารู้อย่างถูกต้องว่า ระบอบกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ คนละส่วนกัน ดุจดังเครื่องจักรกับรถยนต์ แต่ใช้ร่วมกัน
2. พวกเขาเชื่อและเห็นผิดอย่างร้ายแรงว่าระบบรัฐสภา คือระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ระบบรัฐสภาเป็นเพียงรูปการปกครอง (Form of Government) ชนิดหนึ่ง ระบอบอะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ เพื่อจัดความสัมพันธ์ในองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยให้เกิดดุลยภาพกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ แต่ถ้าเป็นระบอบเผด็จการ มันก็จะรวบอำนาจไว้มากบ้างเบาบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับระบอบเผด็จการนั้นๆ ขอให้มีปัญญารู้ถูกต้องว่า ระบอบกับรูปการปกครองคนละส่วนกัน
3. พวกเขาเชื่อว่าการเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการคัดคนเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง มันเป็นวิธีการหนึ่ง ไม่ใช่ระบอบ แต่นักการเมืองทุกพรรค มันก็มาหลอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตยใช้การเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ขอให้มีปัญญารู้ถูกต้องว่า ระบอบฯกับการเลือกตั้งคนละส่วนกัน
ท่านผู้อ่านครับ รัฐธรรมนูญแท้จริงเป็นเพียงวิธีการปกครอง (Methods of Government) ไม่ใช่ระบอบ ระบบรัฐสภาเป็นเพียงรูปการปกครอง การเลือกตั้งเป็นวิธีการกลางๆ เพื่อคัดเลือกคน ระบอบไหนๆ ก็เอาไปใช้ได้ ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งแล้วจะเป็นระบอบประชาธิปไตยเสมอไปตามที่พวกเผด็จการเข้าใจกัน
เรามาดูการเปรียบเทียบกันลักษณะการเมืองการปกครองแบบเผด็จการโดยลัทธิรัฐธรรมนูญกับการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยธรรมาธิปไตย
กฎหมายรัฐธรรมนูญทุกฉบับมันเป็นเพียงวิธีการ เป็นเครื่องมือรับใช้นักการเมืองทำหน้าที่เพื่อนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว พวกเขาจึงปล้นชาติ คอร์รัปชันกันอย่างใหญ่โตมโหฬาร จากหมื่นเป็นแสน เป็นล้าน ปัจจุบันกลายเป็นแสนล้าน ตามลำดับ ที่แต่ละรัฐบาลนั้นๆ โกงไป มันจึงมีคำพูดออกมาว่า “ใครโกงมากกว่ากัน” “ใครเลวน้อยกว่ากัน” แต่พวกมันก็เป็นผลพวงของระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญนี่เอง ที่พวกมันหลอกหลอนประชาชนว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย เช่น ทักษิณ พูดว่า “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” ให้ทักษิณร่างใหม่สุดพันฉบับก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตย
มาร์ค พูดว่า “พวกเราต้องรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ใช่ไหมครับพี่น้อง” ความจริงคือระบอบประชาธิปไตยยังไม่เกิด ยังไม่ได้สถาปนา แล้วคุณจะรักษาอะไร มันก็รักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญนั่นเอง นี่คือความหลงผิดอย่างร้ายแรงของนักการเมืองไทย ทุกคนทุกพรรค
ผลพวงของระบอบเผด็จการ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสุด คือ ที่สุดของอัปรีย์จัญไรที่เกิดขึ้นในชาติ แต่มันมีความต่างกันลิบลับระหว่างทักษิณ กับสมีคำ หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นมันต่างกันลิบลับระหว่างนักการเมืองขี้โกงกับนักบวชผู้พ่ายแพ้ใจตนเอง ซึ่งทั้งสองคนต่างก็คิดนึกทำเพื่อตนเอง และคนทั้งสองเป็นบุคคลสาธารณะเหมือนกัน
ทักษิณถูกกล่าวหาว่า 1) ละเมิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ 2540 2) ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ (ละเมิดพระราชอำนาจ) 3) ฉ้อราษฎร์บังหลวง 4) ห่วงผลประโยชน์ของตัวเอง 5) ละเลงวินัยทางการคลัง 6) หวังขายสมบัติชาติ 7) บังอาจทำลายกระบวนการยุติธรรม 8) ระยำกับนโยบายประชานิยม 9) ขื่นขมกับการรักษาระบอบเผด็จการ 10) ระรานทำลายพระศาสนา 11) บ้าอยู่กับการคิดโกงชาติ
เมื่อนักการเมืองทำผิดย่อมกระทบถึงประชาชนทุกคน ความยากจน ความขมขื่นที่ประชาชนได้รับไปทั่วทั้งแผ่นดินกระทบทุกส่วน ส่วนที่ได้ประโยชน์เพียงหยิบมือเดียว แต่ส่วนที่เสียหายกระทบทั้งแผ่นดิน
ส่วนสมีคำ แกเป็นนักบวชภายใต้ระบอบเผด็จการทุนนิยมผูกขาด (ทุนสามานย์) สถาบันพระศาสนาแทนที่จะเป็นจิตของชาติ ก็กลายเป็นกลไกรัฐอยู่ในระดับกรมการศาสนา หากเรามองด้วยกฎอิทัปปัจจยตา “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” “เมื่อสิ่งนี้เลว สิ่งนี้จึงเลว” หรือ “เมื่อเหตุเลว ผลย่อมเลวตาม” เมื่อการเมืองเลว (เป็นของนักการเมือง ธุรกิจการเมืองเพียงหยิบมือเดียว การปกครองก็เลวตาม กระทรวง กรม ก็เลวตาม ตามลำดับ พระศาสนาแทนที่จะทำหน้าที่เป็นจิต ก็กลายเป็นตับ ไต ไส้พุง เมื่อสภาพการดำรงอยู่มันเป็นอย่างนี้ หรือสัมพันธภาพมันเป็นไปทางลบ ก็แน่นอนว่า สถาบันพระศาสนาย่อมอ่อนแอ ขาดการดูแลอย่างเป็นระบบ
สมี เขาเป็นนักบวชอยู่ในระบอบเผด็จการ เขาได้ลุ่มหลงอย่างสุดสามานย์ เช่น เสพเมถุน ครอบครองเรือยอร์ช ครอบครองเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัว มีคฤหาสน์ หลอกลวงประชาชน สอนผิดๆ ที่สมีคำทำได้ ก็เพราะชาวพุทธไม่เข้าใจในคำสอน จึงถูกสมีคำและพวกหลอกว่าเป็นพระอริยะ สร้างภาพ ซึ่งนิกายนี้ ทำแบบนี้กันทั่วประเทศ ทั้ง เหนือ อีสาน ตะวันออก ใต้ คนขึ้นกันเยอะ เพราะสร้างภาพว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทั้งๆ ที่สอนธรรมะตื้นๆ เท่านั้นเอง แต่เพราะมีการจัดการอย่างเป็นระบบ และอยากครอบครองประเทศไทยทั้งหมด เพราะนิกายนี้มีการจัดการ การบริหารอย่างเป็นระบบ ส่วนอีกนิกายหนึ่งซึ่งมีจำนวนมากอยู่กันอย่างสะเปะสะปะ ไม่ดูแลกัน ไม่มีองค์กรบริหารจัดการ
สรุปแล้ว นักการเมืองเลวกระทบประชาชนทั้งแผ่นดิน นักบวชเลว กระทบตนเองและกับประชาชนบางจุดที่งมงายซึ่งเทียบไม่ได้กับนักการเมืองเลว
และที่ร้ายกาจที่สุดเป็นความอุบาทว์จัญไรของชาติคือระบอบเลว (ระบอบที่มีแต่รัฐธรรมนูญ โดยไม่มีหลักการปกครอง) นี่คือเหตุแห่งความหายนะของชาติ นี่คือเหตุแห่งอัปรีย์จัญไรในทุกๆ ด้านของชาติและประชาชน
ดังนั้น ผู้รักชาติ “จะร่วมมือกับรัฐบาล หรือไล่รัฐบาล แล้วร่วมใจกันผลักดันสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย นี่ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ที่ถูกต้องที่ประชาชนและประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด “การไล่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว ก็จะกลายเป็น อัปรีย์ไป จัญไรมา” หรือไล่รัฐบาลแล้ว ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หรือแช่แข็งประเทศไทย ก็ไม่ใช่ทางออกของปวงชนไทย นำไปพิจารณาด้วยปัญญาเถิด