“อภิสิทธิ์” ชี้ไม่ควรด่วนสรุปเหตุเดือนรอมฎอนเรื่องส่วนตัว รอ 1 เดือนค่อยประเมินบีอาร์เอ็น หนุนคำ ผบ.ทบ.ติงอย่ารวม อ.สะเดา พื้นที่ป่วน “ถาวร” จี้นายกฯ และรมว.กห.ปฏิเสธแถลงการณ์ ชี้ส่อผูกเข้าเขตแบ่งแยกดินแดนเพื่อจุดหมายบางคน แนะเร่งแก้เอกภาพนโยบาย ถามจงใจเสียดินแดนหรือไม่ บอกถ้าเฉยเท่ากับสมยอมชัด
วันนี้ (16 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาภาคใต้ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ควรเร่งสรุปกรณีมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเดือนรอมฎอนว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่ควรประเมินว่าเป็นผลจากการพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นที่รับปากว่าจะยุติความรุนแรง เพราะการที่จะทำอะไรนำร่องหรือทดสอบต้องมีวิธีการและหลักเกณฑ์ประเมินร่วมกัน ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็มีหลายสาเหตุและคงต้องรอให้ระยะเวลาครบ 1 เดือน แล้วค่อยประเมิน ซึ่งหากลดความรุนแรงได้ตามที่ประกาศถือเป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่อยากย้ำกับรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงคือ การติดตามเรื่องที่กลุ่มบีอาร์เอ็นพยายามจะรวม อ.สะเดา จ.สงขลา เข้าไปเป็นพื้นที่ที่มีปัญหา ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้ท้วงติงแล้ว ดังนั้นหัวคณะผู้เจรจาและรัฐบาลควรให้ความสำคัญด้วย
ด้านนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ออกมาแสดงจุดยืนปฏิเสธบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับบีอาร์เอ็นที่มีการผนวกเอาอำเภอสะเดาของจังหวัดสงขลา รวมเข้าไปในพื้นที่ที่ก่อความไม่สงบ เนื่องจากจะส่งผลผูกพันถึงการเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดน หรือเขตปกครองพิเศษ ที่เป็นจุดหมายของบางฝ่าย ทั้งนี้ขอแจ้งต่อชาวไทยว่าตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวไม่เคยมีเหตุรุนแรง ไม่เคยใช้กฎหมายความมั่นคง ไม่เคยประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือ พ.ร.กฉุกเฉิน และจังหวัดสงขลาสถานการณ์ความรุนแรงค่อยๆ ลดลง ถึงขนาดเอาพื้นที่อำเภอจะนะ และนาทวี ออกจากการควบคุมของฝ่ายความมั่นคง คือ อยู่นอกเขตความควบคุมทางยุทธการแล้ว โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความดูแลของพลเรือนและตำรวจเท่านั้น นอกจากนี้ ในพื้นที่อำเภอสะเดามีพี่น้องมุสลิมไม่เกิน 20% และมีจำนวนน้อยมากที่พูดภาษามลายู ส่วนใหญ่เป็นเชื้อชาติไทย เชื้อชาติไทย-จีน และที่สะเดามีด่านสองด่าน คือ ด่านปาดังเบซาร์ และสะเดา ซึ่งกำลังจะขยายอีก 700 กว่าไร่ มีการส่งสินค้าเข้า-ออกมูลค่าราว 5 แสนล้านต่อปี เป็นเมืองเศรษฐกิจมีนักท่องเที่ยว 2 ล้านคนต่อปี
นายถาวรกล่าวว่า การที่ฝ่ายมาเลเซียทำหน้าที่แทนบีอาร์เอ็นเป็นการผนวกพื้นที่ให้กับเขตปกครองพิเศษ โดยเอาพื้นที่ราชอาณาจักรไทยไปรวมด้วย ซึ่งข้อกังวลของตนคือ มีการใช้คำว่าหยุดยั้งการปฏิบัติการก้าวร้าวรุกรานทั้งหมดกับฝ่ายไทย ส่วนฝ่ายบีอาร์เอ็นระบุว่าให้ใช้ดุลพินิจไม่ก่อความรุนแรง เท่ากับกล่าวหาว่าไทยเป็นผู้ที่ก่อความรุนแรง สอดรับกับสิ่งที่มีการแถลงกล่าวหาไทยผ่านยูทูปว่าไทยเป็นนักล่าอาณานิคมชาวสยาม และการใช้ตัวสะกดในพื้นที่ 3 อำเภอแตกต่างจากภาษาอังกฤษที่ไทยใช้ คือ จะนะ ใช้คำว่า เชนะ เทพาใช้คำว่า ติบา และ สะบ้าย้อย ใช้คำว่า เซบาย่า เป็นสิ่งที่พวกตนไม่สบายใจ เพราะเมื่อมองในเชิงลึกยังมีความพยายามผนวกจังหวัดสตูลในการแบ่งแยกดินแดนหรือกำหนดเป็นเขตปกครองพิเศษด้วย
“รัฐบาลต้องออกมาปฏิเสธว่าแถลงการณ์ดังกล่าวไม่ผูกมัดที่จะต้องปฏิบัติร่วมกัน และไทยไม่เคยเป็นนักล่าอาณานิคม โดยผู้ที่จะต้องปฏิเสธคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์และ พล.ท.ภราดร ในฐานะหัวหน้าคณะผู้เจรจา มิเช่นนั้นปัญหาที่สร้างขึ้นจากนโยบายกำปั้นเหล็กสมัยพี่ชาย ตอนนี้น้องสาวกำลังทำร้ายประเทศไทยทำบาปกับบ้านเมืองอย่างไม่ควรให้อภัยอีกครั้งหนึ่ง เพราะการสร้างสันติสุขในพื้นที่จะมองเฉพาะการเจรจาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะยังมี 17 กระทรวง 66 หน่วยงานที่ต้องทำงานอย่างเป็นเอกภาพด้วย เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน อดีตรองนายกรัฐมนตรี เคยออกมาเปิดเผยถึงปัญหาการทำงานว่าไม่มีความเป็นเอกภาพ โดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาฯ ศอ.บต.มุ่งเอางบประมาณไปแจกเพื่อฐานเสียงทางการเมือง” นายถวารกล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขคือ ต่อจากนี้ต้องให้มีความเป็นเอกภาพในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะคณะกรรมการพัฒนาภาคใต้ หรือ ก.พ.ต. มี 17 กระทรวงแต่ปี 2554 ประชุมเพียงครั้งเดียว ปี 2555 ประชุมเพียง 4 ครั้ง ปี 2556 ยังไม่มีการประชุมเลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงอยากให้ พล.ต.อ.ประชาเข้าใจว่าจะต้องยึดหลักเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ที่ต้องทำควบคู่กับการเจรจา เรีกร้องว่านายกฯ อย่าเอ้อระเหยต้องแสดงออกถึงความจริงใจในการแก้ปัญหาภาคใต้ และการเดินทางไปพบประธานโอไอซีที่ตุรกี ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้ทำ รวมถึงการกระจายงบประมาณไม่ให้กระจุกตัวอยู่ที่ กอ.รมน.เพียงอย่างเดียว 17 กระทรวงต้องตื่นจากความขี้เกียจ ความกลัว มีความตื่นตัวเหมือนสมัยที่พรรครประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเพื่อตรวจสอบความจริงที่ประชาชนรับสภาพอยู่กับสิ่งที่รัฐมนตรีรู่้ต้องเป็นความจริงชุดเดียวกัน ถ้าเกิดความแตกแยกผลกระทบจะเกิดกับพี่น้องประชาชนคนไทยแน่นอน เหมือนที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้คือตายรายวัน ประชาชนสิ้นหวัง นายกฯ ลอยตัว ไม่รับผิดชอบ ตนรับไม่ได้สำหรับคนเป็นนายกฯ ไม่ใช่เป็นผู้หญิงแล้วไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่คนเป็นนายกฯ จะต้องรับผิดชอบต่อบ้านเมือง
“ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลกำลังสมรู้ร่วมคิดกับการผนวก อ.สะเดา เข้าไปในพื้นที่ไม่สงบที่เจรจากันหรือไม่ เพราะผมทราบมาว่า พล.ท.ภราดร และคณะกรรมการกฤษฎีกาได้อ่านแถลงการณ์แล้วและนายกฯ รับทราบแล้ว ซึ่งคนทางใต้ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 56 วันนี้วันที่ 16 ก.ค. 56 สี่วันแล้วรัฐบาลยังนิ่งเงียบไม่แก้ไข ไม่ชี้แจง ต้องถามว่ารัฐบาลนี้ตั้งใจจะให้เสียดินแดนหรือไม่ ซ้ำเติมสถานการณ์หรือเปล่า แน่นอนว่าหลักศาสนาอิสลามไม่ใช่เดือนแห่งการยุติการทำสงครามแต่เป็นเดือนแห่งการทำความดี ความไม่รุนแรงเกิดขึ้นทุกคนพอใจแต่ต้องดำเนินการมิติอื่นด้วย แต่คนไทยส่วนใหญ่คิดว่ารัฐบาลตั้งใจให้เสียดินแดนอะไรจะเกิดขึ้นกับรัฐบาล การนิ่งเฉยไม่โต้แย้งในฐานะรัฐไทยเป็นการสมยอมกันหรือไม่ ดังนั้นรัฐบาลต้องรีบปฏิเสธเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะหากไม่ปฏิเสธเท่ากับยอมรับแถลงการณ์ดังกล่าว” นายถาวรกล่าว