นักโทษชายทักษิณ ออกมาลวงโลกอีกแล้ว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2556 ในท่ามกลางการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ (ถนนราชดำเนิน) ผู้เขียนเรียกอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ ตามรูปลักษณ์ก่อสร้าง เพราะมันไม่ได้บ่งบอกอะไรเลยว่าเป็นสัญลักษณ์ประชาธิปไตย มันเป็นเพียงสัญลักษณ์ของการลงมือทำรัฐประหารสร้างระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญของคณะราษฎร เท่านั้น
ทั้งคนสร้างและตั้งชื่ออนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ ว่าเป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จึงเป็นความเห็นผิด ทำผิด บิดเบือนอย่างร้ายแรง โดยทำให้คนทั่งไปเข้าใจว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” กลุ่มคนตัวอย่างที่เห็นผิดกันมาหลายรุ่นแล้ว ทั้งนองเลือด บาดเจ็บ ล้มตายกันมามาต่อมาก เพราะถูกสอนให้เข้าใจผิดๆ ว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ในยุคปัจจุบัน ผู้ปกครองที่เห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อเรื่องนี้ก็คือ ทั้งทักษิณ พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง อันเป็นซ้ายจอมปลอมที่ไม่เอาเจ้า และฝ่ายที่เห็นผิดอย่างร้ายแรงเช่นกัน เขาพูดเหมือนกับทักษิณ คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยที่ขอนแก่นว่า “พวกเราต้องช่วยกันรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ ใช่ไหมครับพี่น้อง”(แท้จริงช่วยกันรักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ) พวกนี้กลายเป็นพวกเอาเจ้าแบบผิดๆ เอาเจ้ามาเป็นประโยชน์ แท้จริงเป็นพวกทำลายเจ้าเช่นกันหรือไม่
ใครก็ตามที่เห็นผิดอย่างร้ายแรง เห็น “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ” ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย “เขาย่อมเห็นผิดอย่างร้ายแรง ดุจ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว”
มาดูทักษิณสไกป์ ผ่านการชุมนุมของคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง 10 เมษายน 2553 ครบ 3 ปี ความตอนหนึ่งที่เห็นว่าเขามีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่า “เราต้องช่วยกันรักษาประชาธิปไตยต่อต้านผู้ที่จะมาล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
จะเห็นได้ว่า ทักษิณมีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อเรื่องระบอบประชาธิปไตย อย่างน้อย 2 ประการสำคัญ
ประการที่หนึ่ง ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว สภาพความเป็นจริง สิ่งที่ดำรงอยู่จริงๆ ประเทศไทยไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตย เพราะ...
- ไม่เคยมีหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะไม่เคยมีจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติ (มีแต่จุดหมายของผู้ปกครอง นักการเมืองเพียงหยิบมือเท่านั้น)
- เพราะไม่เคยมีหลักนิติธรรมก็เพราะไม่เคยมีหลักการปกครองโดยธรรม
- เพราะไม่เคยมีกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่แท้จริง
- เพราะไม่เคยมีอำนาจอธิปไตยของปวงชนที่แท้จริง ทั้งๆ ที่ในทางปฏิบัติอำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุน นักธุรกิจการเมือง ทุนสนับสนุนในเครือพรรครัฐบาล เพียงหยิบมือเดียว ฯลฯ
ประการที่สอง ที่ นช.ทักษิณ พูดว่า “...ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มีประเทศไหนบ้างที่ประมุขแห่งรัฐเป็นประมุขระบอบ ประมุขระบอบคือ ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ศาล
พระมหากษัตริย์โดยสถาบันเป็นประมุขแห่งรัฐ (Head of state) พระมหากษัตริย์โดยบุคคลทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ หาใช่ประมุขระบอบไม่ จึงไม่มีประมุขประเทศไหนๆ ในโลกเป็นประมุขระบอบได้เลย ประเทศก็อย่างหนึ่ง ระบอบก็อย่างหนึ่ง จะว่าไปแล้วประเทศไทยไม่เคยมีระบอบเพราะไม่มีหลักการปกครอง เพราะไม่เคยมีการสถาปนาระบอบ (หลักการปกครองโดยธรรม) นั่นก็หมายความว่า ประเทศไทย ไม่เคยมีจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติ ซึ่งแท้จริงมันก็คือระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญมายาวนานกว่า 80 ปี นั่นเอง
การที่ทักษิณ หรือนักการเมืองอื่นๆ หรือนักวิชาการอื่น หรือผู้ที่พูดตามๆ นักการเมืองไปโดยไม่รู้ เห็นเขาพูด ก็พูดตาม ก็จะกลายเป็นการลด ลิดรอน กด พระบรมเดชานุภาพของพระประมุขแห่งรัฐให้ต่ำลง และเป็นการยกหรือโยนความไม่ดี จัญไรทั้งปวงอันเกิดจากการเมืองเผด็จการไปให้พระมหากษัตริย์ เพราะพระมหากษัตริย์เป็นประมุขระบอบ นี่คือแผนการทำลายพระมหากษัตริย์อีกด้านหนึ่ง แต่ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า “เราไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่มีอำนาจพอที่จะทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบโดยธรรมหรือสถาปนาจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติหรือหลักการเมืองร่วมของปวงชนในชาติ” มันจึงมีแต่การเมืองของนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว ส่วนประชาชนก็ต้องตกเป็นทาสของนักการเมืองที่จำยอมต้องไหลตามนักการเมืองชั่วด้วยประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ดุจน้ำที่จะต้องไหลไปตามคลองคดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ระบอบ คือจุดหมายร่วมของปวงชน เมื่อไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติ
ชาติของเราจึงมีแต่ความแตกแยกในทางการเมืองมายาวนานกว่า 80 ปี แล้ว นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยวิธีการรัฐประหาร (Coup) ของคณะราษฎรซึ่งได้ทำลายแผนการในการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย ตามนโยบายขององค์สมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์ทรงได้คัดค้านด้วยพระราชบัลลังก์เป็นเดิมพันมาแล้ว ซึ่งไม่มีใครมองเห็นประเด็นนี้เลย น่าเศร้าใจจริงๆ
เมื่อประเทศไทย ไม่มีจุดหมายร่วมโดยธรรมของปวงชนในชาติ หรือหลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบโดยธรรม ปวงชนในชาติจึงเกิดความแตกแยกไปคนละทิศละทาง และต้องตกเป็นทาสลมปากนักการเมืองชั่ว ตกเป็นทาสทางการเมืองของนักการเมืองชั่ว ซึ่งมีแต่นักการเมืองเห็นผิด มีแต่นักการเมืองมุ่งที่จะปล้นชาติ เพราะระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญนี้ มันมีแต่จุดหมายของผู้ปกครองคือพวกนักการเมืองและนายทุนเพียงหยิบมือเดียว
ลักษณะของปวงชนในชาติภายใต้การเมืองระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ทั้ง ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ภาพลักษณ์ที่เป็นอยู่ ร้อยคนร้อยจุดหมาย พันคนพันจุดหมาย สิบพรรค สิบจุดหมาย ดังนี้
ส่วนประเด็นที่ทักษิณ พูดว่า “... คนเสื้อแดงมาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่กลับได้โลงศพเรื่องนี้ไม่ควรมาเกิดขึ้นในประเทศไทยเลย...”
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วแกนนำรณรงค์เพื่อต้องการให้ทักษิณกลับบ้าน โดยพูดว่า ทักษิณกลับบ้านคือประชาธิปไตย พวกแกนนำไม่หลอกลวงด้วยคำพูด ด้วยเงินค่าจ้างเพียงเล็กน้อย ทักษิณไม่ได้กลับประเทศเป็นเผด็จการ พวกเขาไม่เคยรณรงค์เรื่องหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขาอยากได้รัฐธรรมนูญปี 40 แล้วให้ทำลายรัฐธรรมนูญปี 50 นี่คือเนื้อหาบ้าๆ บอๆ ที่แกนนำพูดบนเวที
และความอำมหิต คือ ทักษิณมีกองกำลังติดอาวุธ ตามที่มีการสอบสวนกองกำลังชุดดำฆ่าทหาร ฆ่าคนเสื้อแดง เพื่อให้เป็นเงื่อนไขรุนแรง เพื่อปลุกระดมคนออกมาให้มากที่สุดเพื่อที่จะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ ให้ได้ แต่ก็ต้องล้มเหลว เพราะมันมาด้วยความคิดอำมหิตและเพื่อผลประโยชนของทักษิณคนเดียวเท่านั้น ส่วนแกนก็ได้ค่าจ้างกันคนละหลายล้านรวมทั้งค่าหักค่าหัวคิวของพี่น้องคนจนๆ ที่หลอกลวงมา กระทั่งต้องติดคุกแทนพวกแกนนำ
ส่วนแนวทางที่ถูกต้อง พระเจ้าแผ่นดินร่วมมือกับประชาชน สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม หลักการปกครองจะต้องเป็นแก่นแท้ของชาติ และเป็นหลักที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น หลักชาติ (หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน) หลักพระศาสนา (หลักธรรมาธิปไตย) หลักพระมหากษัตริย์ (หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ) นอกจากนี้ยังมีหลักความยุติธรรมทางการเมือง เช่น หลักเสรีภาพบริบูรณ์ หลักความเสมอภาคทางโอกาส หลักภราดรภาพ หลักเอกภาพ หลักดุลยภาพ หลักนิติธรรม จึงเป็นที่มาของหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 หลักสำคัญยิ่งใหญ่ทั้ง 9 เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนา ก็จะกลายเป็นหลักการปกครองโดยธรรม เป็นจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติ เป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุดของชาติ เป็นบ่อเกิดหรือเป็นเหตุของการร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงมีลักษณะภาพรวมดังนี้
ปัญญาชนของชาติผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งหลาย พึงได้พิจารณา รู้รักสามัคคีธรรม รวมใจ ปัญญาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมกันแก้ไขเหตุวิกฤตชาติเถิด
ทั้งคนสร้างและตั้งชื่ออนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ ว่าเป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จึงเป็นความเห็นผิด ทำผิด บิดเบือนอย่างร้ายแรง โดยทำให้คนทั่งไปเข้าใจว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” กลุ่มคนตัวอย่างที่เห็นผิดกันมาหลายรุ่นแล้ว ทั้งนองเลือด บาดเจ็บ ล้มตายกันมามาต่อมาก เพราะถูกสอนให้เข้าใจผิดๆ ว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ในยุคปัจจุบัน ผู้ปกครองที่เห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อเรื่องนี้ก็คือ ทั้งทักษิณ พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง อันเป็นซ้ายจอมปลอมที่ไม่เอาเจ้า และฝ่ายที่เห็นผิดอย่างร้ายแรงเช่นกัน เขาพูดเหมือนกับทักษิณ คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยที่ขอนแก่นว่า “พวกเราต้องช่วยกันรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ ใช่ไหมครับพี่น้อง”(แท้จริงช่วยกันรักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ) พวกนี้กลายเป็นพวกเอาเจ้าแบบผิดๆ เอาเจ้ามาเป็นประโยชน์ แท้จริงเป็นพวกทำลายเจ้าเช่นกันหรือไม่
ใครก็ตามที่เห็นผิดอย่างร้ายแรง เห็น “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ” ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย “เขาย่อมเห็นผิดอย่างร้ายแรง ดุจ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว”
มาดูทักษิณสไกป์ ผ่านการชุมนุมของคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง 10 เมษายน 2553 ครบ 3 ปี ความตอนหนึ่งที่เห็นว่าเขามีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่า “เราต้องช่วยกันรักษาประชาธิปไตยต่อต้านผู้ที่จะมาล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
จะเห็นได้ว่า ทักษิณมีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อเรื่องระบอบประชาธิปไตย อย่างน้อย 2 ประการสำคัญ
ประการที่หนึ่ง ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว สภาพความเป็นจริง สิ่งที่ดำรงอยู่จริงๆ ประเทศไทยไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตย เพราะ...
- ไม่เคยมีหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะไม่เคยมีจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติ (มีแต่จุดหมายของผู้ปกครอง นักการเมืองเพียงหยิบมือเท่านั้น)
- เพราะไม่เคยมีหลักนิติธรรมก็เพราะไม่เคยมีหลักการปกครองโดยธรรม
- เพราะไม่เคยมีกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่แท้จริง
- เพราะไม่เคยมีอำนาจอธิปไตยของปวงชนที่แท้จริง ทั้งๆ ที่ในทางปฏิบัติอำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุน นักธุรกิจการเมือง ทุนสนับสนุนในเครือพรรครัฐบาล เพียงหยิบมือเดียว ฯลฯ
ประการที่สอง ที่ นช.ทักษิณ พูดว่า “...ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มีประเทศไหนบ้างที่ประมุขแห่งรัฐเป็นประมุขระบอบ ประมุขระบอบคือ ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ศาล
พระมหากษัตริย์โดยสถาบันเป็นประมุขแห่งรัฐ (Head of state) พระมหากษัตริย์โดยบุคคลทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ หาใช่ประมุขระบอบไม่ จึงไม่มีประมุขประเทศไหนๆ ในโลกเป็นประมุขระบอบได้เลย ประเทศก็อย่างหนึ่ง ระบอบก็อย่างหนึ่ง จะว่าไปแล้วประเทศไทยไม่เคยมีระบอบเพราะไม่มีหลักการปกครอง เพราะไม่เคยมีการสถาปนาระบอบ (หลักการปกครองโดยธรรม) นั่นก็หมายความว่า ประเทศไทย ไม่เคยมีจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติ ซึ่งแท้จริงมันก็คือระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญมายาวนานกว่า 80 ปี นั่นเอง
การที่ทักษิณ หรือนักการเมืองอื่นๆ หรือนักวิชาการอื่น หรือผู้ที่พูดตามๆ นักการเมืองไปโดยไม่รู้ เห็นเขาพูด ก็พูดตาม ก็จะกลายเป็นการลด ลิดรอน กด พระบรมเดชานุภาพของพระประมุขแห่งรัฐให้ต่ำลง และเป็นการยกหรือโยนความไม่ดี จัญไรทั้งปวงอันเกิดจากการเมืองเผด็จการไปให้พระมหากษัตริย์ เพราะพระมหากษัตริย์เป็นประมุขระบอบ นี่คือแผนการทำลายพระมหากษัตริย์อีกด้านหนึ่ง แต่ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า “เราไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่มีอำนาจพอที่จะทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบโดยธรรมหรือสถาปนาจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติหรือหลักการเมืองร่วมของปวงชนในชาติ” มันจึงมีแต่การเมืองของนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว ส่วนประชาชนก็ต้องตกเป็นทาสของนักการเมืองที่จำยอมต้องไหลตามนักการเมืองชั่วด้วยประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ดุจน้ำที่จะต้องไหลไปตามคลองคดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ระบอบ คือจุดหมายร่วมของปวงชน เมื่อไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติ
ชาติของเราจึงมีแต่ความแตกแยกในทางการเมืองมายาวนานกว่า 80 ปี แล้ว นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยวิธีการรัฐประหาร (Coup) ของคณะราษฎรซึ่งได้ทำลายแผนการในการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย ตามนโยบายขององค์สมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์ทรงได้คัดค้านด้วยพระราชบัลลังก์เป็นเดิมพันมาแล้ว ซึ่งไม่มีใครมองเห็นประเด็นนี้เลย น่าเศร้าใจจริงๆ
เมื่อประเทศไทย ไม่มีจุดหมายร่วมโดยธรรมของปวงชนในชาติ หรือหลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบโดยธรรม ปวงชนในชาติจึงเกิดความแตกแยกไปคนละทิศละทาง และต้องตกเป็นทาสลมปากนักการเมืองชั่ว ตกเป็นทาสทางการเมืองของนักการเมืองชั่ว ซึ่งมีแต่นักการเมืองเห็นผิด มีแต่นักการเมืองมุ่งที่จะปล้นชาติ เพราะระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญนี้ มันมีแต่จุดหมายของผู้ปกครองคือพวกนักการเมืองและนายทุนเพียงหยิบมือเดียว
ลักษณะของปวงชนในชาติภายใต้การเมืองระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ทั้ง ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ภาพลักษณ์ที่เป็นอยู่ ร้อยคนร้อยจุดหมาย พันคนพันจุดหมาย สิบพรรค สิบจุดหมาย ดังนี้
ส่วนประเด็นที่ทักษิณ พูดว่า “... คนเสื้อแดงมาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่กลับได้โลงศพเรื่องนี้ไม่ควรมาเกิดขึ้นในประเทศไทยเลย...”
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วแกนนำรณรงค์เพื่อต้องการให้ทักษิณกลับบ้าน โดยพูดว่า ทักษิณกลับบ้านคือประชาธิปไตย พวกแกนนำไม่หลอกลวงด้วยคำพูด ด้วยเงินค่าจ้างเพียงเล็กน้อย ทักษิณไม่ได้กลับประเทศเป็นเผด็จการ พวกเขาไม่เคยรณรงค์เรื่องหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขาอยากได้รัฐธรรมนูญปี 40 แล้วให้ทำลายรัฐธรรมนูญปี 50 นี่คือเนื้อหาบ้าๆ บอๆ ที่แกนนำพูดบนเวที
และความอำมหิต คือ ทักษิณมีกองกำลังติดอาวุธ ตามที่มีการสอบสวนกองกำลังชุดดำฆ่าทหาร ฆ่าคนเสื้อแดง เพื่อให้เป็นเงื่อนไขรุนแรง เพื่อปลุกระดมคนออกมาให้มากที่สุดเพื่อที่จะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ ให้ได้ แต่ก็ต้องล้มเหลว เพราะมันมาด้วยความคิดอำมหิตและเพื่อผลประโยชนของทักษิณคนเดียวเท่านั้น ส่วนแกนก็ได้ค่าจ้างกันคนละหลายล้านรวมทั้งค่าหักค่าหัวคิวของพี่น้องคนจนๆ ที่หลอกลวงมา กระทั่งต้องติดคุกแทนพวกแกนนำ
ส่วนแนวทางที่ถูกต้อง พระเจ้าแผ่นดินร่วมมือกับประชาชน สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม หลักการปกครองจะต้องเป็นแก่นแท้ของชาติ และเป็นหลักที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น หลักชาติ (หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน) หลักพระศาสนา (หลักธรรมาธิปไตย) หลักพระมหากษัตริย์ (หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ) นอกจากนี้ยังมีหลักความยุติธรรมทางการเมือง เช่น หลักเสรีภาพบริบูรณ์ หลักความเสมอภาคทางโอกาส หลักภราดรภาพ หลักเอกภาพ หลักดุลยภาพ หลักนิติธรรม จึงเป็นที่มาของหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 หลักสำคัญยิ่งใหญ่ทั้ง 9 เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนา ก็จะกลายเป็นหลักการปกครองโดยธรรม เป็นจุดหมายร่วมของปวงชนในชาติ เป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุดของชาติ เป็นบ่อเกิดหรือเป็นเหตุของการร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงมีลักษณะภาพรวมดังนี้
ปัญญาชนของชาติผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งหลาย พึงได้พิจารณา รู้รักสามัคคีธรรม รวมใจ ปัญญาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมกันแก้ไขเหตุวิกฤตชาติเถิด