ASTV ผู้จัดการรายวัน –หุ้นไทยลบ 4 จุด ตกสภาวะ “Wait&See” รอผลสรุปการประชุมเฟดต่อมาตรการQE3 กำหนดทิศทาง โบรกฯคาดหากออกมาดีก็ขึ้นต่ออย่างมีกรอบจำกัด ส่วนปัจจัยต่อไปอยู่ที่พ.ร.บ.2ล้านล้านบาท ด้านทองคำดิ่ง 300 บาท จากประเด็นQEกดดัน แต่ที่น่าสนใจ “โกลด์แมนแซคส์”ชี้อาจเห็นจุดต่ำสุดใหม่ในปีหน้า
ภาวะตลาดหุ้นไทย วานนี้ (18 ก.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,439.13 จุด ลดลง 4.65 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.32% มูลค่าการซื้อขาย 40,790.53 ล้านบาท ด้านสัดส่วนการลงทุน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1พันล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 636 ล้านบาท และบัญชีโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 286 ล้านบาท
ด้าน นส.ธีรดา ชาญยิ่งยง ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ว่าในช่วงเช้าดัชนีจะปรับขึ้นได้ แต่เจอแรงขายทำกำไร โดยรวมนักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะรู้ผลชัดเจนในวันนี้(19ก.ย.) มองว่าถ้าผลออกมาเป็นไปตามคาดก็มีโอกาสที่ดัชนีจะฟื้นตัว แต่คงจะฟื้นในกรอบจำกัด เนื่องจากตลาดรับรู้ปัจจัยเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE3) ไปแล้ว และที่ต้องลุ้นต่อไปคือ ปัจจัยในประเทศจากการประชุมสภาฯ
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวแคบ คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่แกว่งตัวทั้งในแดนบวก-ลบ ระหว่างรอผลประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ(FOMC) ประเด็นการลดขนาดมาตรการ QE ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ตลาดฯจึงเป็นไปในลักษณะของ Wait&See และเมื่อปัจจัยจากต่างประเทศนิ่งแล้ว คงจะต้องหันมาดูปัจจัยในประเทศเรื่องพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท แนะนำให้เล่นเก็งกำไรหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ในลักษณะทยอยซื้อที่แนวรับ
“ทิศทางวันนี้(19 ก.ย.) ขึ้นอยู่กับผลประชุม FOMC เป็นหลัก หากตลาดต่างประเทศบวกแรง ตลาดบ้านเราก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1,450 ถัดไปก็เป็น 1,500-1,520 จุด ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 1,425 จุด”
***ทองคำร่วง300บาท รอรับข่าวQE
ขณะเดียวกัน สมาคมค้าทองคำประกาศราคาซื้อขายทองคำแท่งและทองรูปพรรณ วานนี้ (18 ก.ย.) ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้จนล่าสุด รวมทั้งหมด 6 ครั้ง ภาพรวมปรับลดราคาลง 300 บาท ต่อนำหนักทองคำ 96.5% ที่ 1 บาท และปรับลดลงระหว่างวันมากสุด 400 บาท โดยทองคำแท่งรับซื้อคืนที่บาทละ 19,450 บาท และขายที่ 19,550 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อคืนที่บาทละ 19,162.24 บาท และขายที่บาทละ 19,950 บาท
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รายงานว่า แรงกดดันในตลาดทองคำเพิ่มขึ้นเมื่ออินเดียปรับขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องประดับทองคำจาก 10 % สู่ 15 % เนื่องจากรัฐบาลอินเดียต้องการคุ้มครองอุตสาหกรรมเครื่องประดับภายในประเทศ การปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้ส่งผลลบต่อความต้องการซื้อทองในตลาดทองคำอินเดียซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าทองคำอันดับหนึ่งของโลก ทั้งนี้ราคาทองคำตลาดโลกร่วงลง หลังจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำของสหรัฐ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐปรับขึ้นเพียง 0.1 % ในเดือนสิงหาคม ทำให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์เพื่อการป้องกันเงินเฟ้อลดความน่าดึงดูดลง
ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าดิ่งลงหลังจากชาติมหาอำนาจประชุมกันเพื่อร่างมติทำลายอาวุธเคมีของซีเรียและสิ่งนี้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่าสหรัฐจะยังไม่โจมตีซีเรียในเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากการที่ลิเบียส่งออกน้ำมันมากขึ้นด้วยโดยคาดกันว่าปริมาณการผลิตน้ำมันของลิเบียจะพุ่งขึ้นสู่ 400,000-450,000 บาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ บริษัทโกลด์แมนแซคส์ ระบุว่า ทางบริษัทคาดว่าราคาทองคำจะทรงตัวในระยะใกล้ แต่ราคาทองคำอาจลงไปแตะจุดต่ำสุดใหม่ในปี 2014 ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มดีขึ้น และเฟดมีความจำเป็นน้อยลงในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้สร้างมุมมองเชิงลบที่เพิ่มมากขึ้นต่อแนวโน้วราคาทองคำ
ทั้งนี้ เมื่อราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นยังคงมีแรงขายออกมา แนะนำนักลงทุนว่าการรอจังหวะซื้อเมื่อว่าราคาทองคำจะไหลลงสู่แนวรับสำคัญเท่านั้น น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ นักลงทุนควรปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบัน ขณะที่ปริมาณการซื้อขายในตลาดเซี่ยงไฮ้ของจีนอาจจะลดลง เนื่องจากตลาดจีนจะหยุดทำการเนื่องในเทศกาลไว้พระจันทร์ในวันพฤหัสบดี และวันศุกร์นี้ ดังนั้นนักลงทุนอาจติดตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำและปัจจัยทางฝั่งสหรัฐเป็นสำคัญ
โดยกลยุทธ์การลงทุน ทางวายแอลจีมีมุมมองว่า นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยให้แนะนำให้รอการตั้งฐานของราคาทองคำ แต่สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากแนะนำให้รอจังหวะซื้อหากราคาไม่หลุดแนวรับ 1,285 หรือ 1,272 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และขายทำกำไรบริเวณแนวต้าน เมื่อราคาทองคำดีดตัวขึ้นและไม่ผ่านแนวต้าน 1,323 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากสามารถผ่านได้ให้รอขายทำกำไรบริเวณแนวต้านถัดไปที่ 1,335 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนให้ติดตามการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นนี้หากราคายังไม่สามารถรักษาระดับอยู่ได้ให้ระมัดระวังการปรับตัวลงของราคาทองคำอีกครั้ง
ภาวะตลาดหุ้นไทย วานนี้ (18 ก.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,439.13 จุด ลดลง 4.65 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.32% มูลค่าการซื้อขาย 40,790.53 ล้านบาท ด้านสัดส่วนการลงทุน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1พันล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 636 ล้านบาท และบัญชีโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 286 ล้านบาท
ด้าน นส.ธีรดา ชาญยิ่งยง ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ว่าในช่วงเช้าดัชนีจะปรับขึ้นได้ แต่เจอแรงขายทำกำไร โดยรวมนักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะรู้ผลชัดเจนในวันนี้(19ก.ย.) มองว่าถ้าผลออกมาเป็นไปตามคาดก็มีโอกาสที่ดัชนีจะฟื้นตัว แต่คงจะฟื้นในกรอบจำกัด เนื่องจากตลาดรับรู้ปัจจัยเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE3) ไปแล้ว และที่ต้องลุ้นต่อไปคือ ปัจจัยในประเทศจากการประชุมสภาฯ
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวแคบ คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่แกว่งตัวทั้งในแดนบวก-ลบ ระหว่างรอผลประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ(FOMC) ประเด็นการลดขนาดมาตรการ QE ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ตลาดฯจึงเป็นไปในลักษณะของ Wait&See และเมื่อปัจจัยจากต่างประเทศนิ่งแล้ว คงจะต้องหันมาดูปัจจัยในประเทศเรื่องพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท แนะนำให้เล่นเก็งกำไรหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ในลักษณะทยอยซื้อที่แนวรับ
“ทิศทางวันนี้(19 ก.ย.) ขึ้นอยู่กับผลประชุม FOMC เป็นหลัก หากตลาดต่างประเทศบวกแรง ตลาดบ้านเราก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1,450 ถัดไปก็เป็น 1,500-1,520 จุด ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 1,425 จุด”
***ทองคำร่วง300บาท รอรับข่าวQE
ขณะเดียวกัน สมาคมค้าทองคำประกาศราคาซื้อขายทองคำแท่งและทองรูปพรรณ วานนี้ (18 ก.ย.) ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้จนล่าสุด รวมทั้งหมด 6 ครั้ง ภาพรวมปรับลดราคาลง 300 บาท ต่อนำหนักทองคำ 96.5% ที่ 1 บาท และปรับลดลงระหว่างวันมากสุด 400 บาท โดยทองคำแท่งรับซื้อคืนที่บาทละ 19,450 บาท และขายที่ 19,550 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อคืนที่บาทละ 19,162.24 บาท และขายที่บาทละ 19,950 บาท
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รายงานว่า แรงกดดันในตลาดทองคำเพิ่มขึ้นเมื่ออินเดียปรับขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องประดับทองคำจาก 10 % สู่ 15 % เนื่องจากรัฐบาลอินเดียต้องการคุ้มครองอุตสาหกรรมเครื่องประดับภายในประเทศ การปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้ส่งผลลบต่อความต้องการซื้อทองในตลาดทองคำอินเดียซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าทองคำอันดับหนึ่งของโลก ทั้งนี้ราคาทองคำตลาดโลกร่วงลง หลังจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำของสหรัฐ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐปรับขึ้นเพียง 0.1 % ในเดือนสิงหาคม ทำให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์เพื่อการป้องกันเงินเฟ้อลดความน่าดึงดูดลง
ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าดิ่งลงหลังจากชาติมหาอำนาจประชุมกันเพื่อร่างมติทำลายอาวุธเคมีของซีเรียและสิ่งนี้ทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่าสหรัฐจะยังไม่โจมตีซีเรียในเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากการที่ลิเบียส่งออกน้ำมันมากขึ้นด้วยโดยคาดกันว่าปริมาณการผลิตน้ำมันของลิเบียจะพุ่งขึ้นสู่ 400,000-450,000 บาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ บริษัทโกลด์แมนแซคส์ ระบุว่า ทางบริษัทคาดว่าราคาทองคำจะทรงตัวในระยะใกล้ แต่ราคาทองคำอาจลงไปแตะจุดต่ำสุดใหม่ในปี 2014 ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มดีขึ้น และเฟดมีความจำเป็นน้อยลงในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้สร้างมุมมองเชิงลบที่เพิ่มมากขึ้นต่อแนวโน้วราคาทองคำ
ทั้งนี้ เมื่อราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นยังคงมีแรงขายออกมา แนะนำนักลงทุนว่าการรอจังหวะซื้อเมื่อว่าราคาทองคำจะไหลลงสู่แนวรับสำคัญเท่านั้น น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ นักลงทุนควรปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบัน ขณะที่ปริมาณการซื้อขายในตลาดเซี่ยงไฮ้ของจีนอาจจะลดลง เนื่องจากตลาดจีนจะหยุดทำการเนื่องในเทศกาลไว้พระจันทร์ในวันพฤหัสบดี และวันศุกร์นี้ ดังนั้นนักลงทุนอาจติดตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำและปัจจัยทางฝั่งสหรัฐเป็นสำคัญ
โดยกลยุทธ์การลงทุน ทางวายแอลจีมีมุมมองว่า นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยให้แนะนำให้รอการตั้งฐานของราคาทองคำ แต่สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากแนะนำให้รอจังหวะซื้อหากราคาไม่หลุดแนวรับ 1,285 หรือ 1,272 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และขายทำกำไรบริเวณแนวต้าน เมื่อราคาทองคำดีดตัวขึ้นและไม่ผ่านแนวต้าน 1,323 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากสามารถผ่านได้ให้รอขายทำกำไรบริเวณแนวต้านถัดไปที่ 1,335 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนให้ติดตามการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นนี้หากราคายังไม่สามารถรักษาระดับอยู่ได้ให้ระมัดระวังการปรับตัวลงของราคาทองคำอีกครั้ง