รัฐบาลลุยอภิปรายเงินกู้ 2 ล้านล้าน 19-20 ก.ย.นี้ เตรียมหักดิบใช้แผนปิดอภิปรายหากฝ่ายค้านเล่นเกมยืดเยื้อ ลั่นโหวตวาระ 3 ร่างแก้ไขรธน.ทันทีที่ครบกำหนด ไม่สนฝ่ายค้านยื่นตีความ อ้างเป็นอำนาจของสภา ศาลรธน.ไม่เกี่ยว ปูดลูกพรรคปชป.เอือม"มาร์ค" เตรียมเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค ด้าน"มาร์ค"ลั่นฟ้องศาลแน่ หากเล่นเกมปิดอภิปราย "องอาจ" ย้ำ พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน ขัดรัฐธรรมนูญ เตือน"ยิ่งลักษณ์"กำชับลูกพรรค อย่าลิดรอนการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ต้องยอมรับคำวินิจฉัยศาลรธน. หากผลการตัดสินประเด็นที่มาของส.ว.ขัดรธน.
วานนี้ (15 ก.ย.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า วันอังคารที่ 17 ก.ย.นี้ พรรคเพื่อไทยจะประชุม ส.ส. เพื่อทำความเข้าใจถึงการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ....หรือ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท วาระ 2 ในการประชุมสภา ในวันที่ 19-20 ก.ย. โดยจะจัดทีมแบ่งหน้าที่ส.ส.อภิปรายสนับสนุน ร่าง เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท พร้อมขอความร่วมมือจากส.ส. ระหว่างวันที่ 18-20 ก.ย. ให้งดภารกิจในต่างจังหวัด และอาจต้องเตรียมความพร้อมช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หากการอภิปรายยืดเยื้อ จึงขอให้ ส.ส.อยู่ครบองค์ประชุม และรักษาภาพลักษณ์การประชุม ประท้วงให้น้อยที่สุด
ทั้งนี้ ในวันที่ 16 ก.ย. จะมีการประชุมวิปรัฐบาล เพื่อกำหนดกรอบเวลาการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว และจะประสานงานกับฝ่ายค้าน ไม่ให้การอภิปรายยืดเยื้อ เชื่อว่าเวลา 2 วัน น่าจะเพียงพอ แต่หากฝ่ายค้านยังใช้วิธีการเดิม อภิปรายยืดเยื้อ ก็จะเสนอปิดการอภิปรายทันที ไม่ใช่การปิดปาก แต่เป็นการทำตามข้อบังคับ เพราะการสู้กับคนที่ไม่เคารพกติกา ต้องใช้กติกาอย่างเข้มงวด
ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 นั้น ฝ่าย
กฎหมายพรรคเพื่อไทย ตรวจสอบแล้วว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็เคยออกพ.ร.บ. และ พ.ร.ก.กู้เงิน ในโครงการไทยเข้มแข็งมาแล้ว ดังนั้นการยื่นคัดค้าน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เป็นการขัดขวางความเจริญของประเทศ ทราบว่า ผู้ใหญ่พรรคประชาธิปัตย์หลายคนปรารภว่า ถ้า ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทผ่าน รัฐบาลจะได้ผลงาน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่ายค้านยาว ไม่มีโอกาสเป็นรัฐบาล จึงอยากรู้ว่า การคัดค้านเรื่องนี้เพราะกลัวเป็นผลงานของรัฐบาลหรือไม่ ทราบว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ เกิดคลื่นใต้น้ำในพรรค ที่สมาชิกเอือมระอาบทบาทของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่หลายคนเป็นห่วงการทำหน้าที่ใน และนอกสภาของนายอภิสิทธิ์ กำลังมีปัญหา รวมถึงเป็นห่วงคดีการสลายการชุมนุม คดีหนีทหาร และการให้สัมภาษณ์ดูหมิ่นสตรี จนส่งผลต่อภาพลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ จึงอยากรู้ว่า จริงหรือไม่ ที่จะเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคจากอภิสิทธิ์ เป็นคนอื่น
**ลั่นโหวตแก้รธน.วาระ3ไม่สนยื่นตีความ
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึง กรณีพรรคประชาธิปัตย์จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความการ แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาของส.ว. ว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 พร้อมยื่นถอดถอนส.ส. ที่โหวตผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวว่า เป็นการไม่เคารพเสียงข้างมาก ทำตัวเป็นเผด็จการเสียงข้างน้อย การแก้รัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยระบุว่า การแก้รัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของรัฐสภา และเสนอแนะให้แก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราได้ ดังนั้น เมื่อสมาชิกรัฐสภาดำเนินการตามที่ศาลรัฐธรรมนูญแนะนำไว้ จึงไม่ต้องดูข้อกฎหมายแล้ว
ทั้งนี้ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า การแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการทำหน้าที่ของรัฐสภา ศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงไม่ได้ ดังนั้นหลังครบกำหนด 15 วัน ในวันที่ 27 ก.ย.แล้ว จะเดินหน้าลงมติวาระ 3 อย่างแน่นอน ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในพรรคสนับสนุนให้โหวตวาระ 3 โดยไม่สนใจคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่าจะลงมติวาระ 3 ได้ประมาณวันที่ 27 ก.ย.- 2 ต.ค.
" เรื่องนี้เราไม่กลัว และไม่ใช่การท้าทายอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ แต่เป็นไปตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ ถ้ากลัวไปทุกเรื่อง บ้านเมืองก็เดินหน้าไม่ได้ หรือถ้ามีอำนาจแล้วไม่ทำ ก็เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่"
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองแน่นอน แต่ฝ่ายค้านพยายามมั่วให้เหมือนเป็นการล้มล้างการปกครอง เป็นจระเข้ขวางประชาธิปไตย ทั้งนี้หากมีการยื่นถอดถอน ส.ส. และส.ว. ที่เข้าชื่อสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตนจะก็ยื่นถอดถอนส.ว.ที่ยื่นคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เช่นกัน เพราะเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากหากร่างรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว. มีผลบังคับใช้ ทำให้ ส.ว.สรรหา ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันที ดังนั้นการยื่นคัดค้าน ถือว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนเช่นกัน
** "มาร์ค"ลั่นฟ้องศาลหากเล่นเกมปิดอภิปราย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยบนเวทีผ่าความจริงที่ รร.มัธยมวัดเวรุวนาราม ดอนเมือง เมื่อวานนี้ ว่า ในการประชุมสภาฯ ในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท วาระ 2 ยืนยันว่า ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่แปรญัตติไว้ จะใช้สิทธิ์อภิปรายอย่างเต็มที่
หากรัฐบาลปิดการอภิปรายอีก พวกตนก็จะฟ้องศาลอีก ดังนั้นขอเรียกร้องให้เปิดโอกาสฝ่ายค้านได้พูดอย่างเต็มที่ และถ่ายทอดสดการประชุมด้วย เพราะจะชี้ให้เห็นว่าการลงทุนอย่างนี้ไม่ต้องออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน ถ้าเป็นพรรคประชาธิปัตย์ไม่ทำ เวลานี้รัฐบาลอ้างรถไฟตกราง เพื่อจะให้สนับสนุนพ.ร.บ.เงินกู้ แต่ถ้า พ.ร.บ.เงินกู้ไม่ผ่าน แล้วรัฐบาลทำงบประมาณแก้ปัญหารถไฟตกรางมา พรรคปรชาธิปัตย์จะยกให้ 2 มือเลย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หลังจาก พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทผ่าน เขามาลุยกฎหมายล้างผิดแน่ โดยไม่สนใจปัญหาของความเดือดร้อนของประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาลท่องอยู่ 3 อย่าง คือ รัฐธรรมนูญ เงินกู้ ล้างผิด ถ้าคิดแค่นี้ก็อยากแนะนำให้บ้านคนเหล่านี้ กิน 3 อย่างนี้ และในการประชุมสภาฯ ที่ผ่านมา มีการเอาคลิปที่ตนพูดที่วัดดอกไม้ ไปตั้งกระทู้ถามในสภาฯ ถามรัฐมนตรีว่า เขาคิดอย่างไร ทั้งที่ทำไม่ได้ ตนก็เลยขอบคุณ ยิ่งเอาคลิปมาฉายยึ่งชัดเจนว่า ตนไม่ได้เรียกใคร และไม่ได้พาดพิงผู้หญิงโดยรวม ถ้าอีโง่ เป็นถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม ตนก็น้อมรับ
"แต่ต่อไปนี้พจนานุกรมคงจะเล่มเล็กลงเรื่อยๆ เพราะหลายคำจะพูดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น อีโง่ แรด หรือ กระหรี่ ถ้าผมไปเรียกใครอย่างนี้ ถึงเรียกว่าทำไม่ได้ ไม่เหมาะสม แต่กลับยัดเยียดให้ผมพูด ยืนยันว่าผมไม่ได้พูด ส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย ก็ยังย้ำถามรัฐมนตรีว่า เป็นใคร ก็คิดกันอยู่แค่นั้นว่าเป็นคนๆ นั้น ผมไม่มีที่จะไปดูหมิ่นสตรี แต่เตือนว่าสิ่งที่นำมาเล่นงานผมอยู่นี้ กำลังไปตอกย้ำสถานภาพสตรีในสังคม ว่าตรวจสอบไม่ได้ ทั้งที่วันนี้สตรีต้องมาบอกว่าเท่าเทียมผู้ชายทุกอย่าง และพวกที่คิดว่า จะต้องเอาผ้าถุงมาให้ผม คิดว่าเป็นการดูถูกผู้ชาย แต่ความจริงผ้าถุงเป็นสัญญาลักษณ์ที่สตรีควรภาคภูมิใจ ในอดีตการไปออกรบ ผู้ชายยังพกผ้าถุงของแม่ไปด้วย เพราะเขาร้ว่า แม่มีบุญคุญเพราะคลอดมาจากชายผ้าถุงแม่ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าคิดว่าการเอาผ้าถุงมาให้ผู้ชาย เป็นการดูถูกผู้ชาย ก็เท่ากับว่าเป็นการดูถูกแม่ของตัวเอง ดังนั้นขอเรียกร้องให้สตรี และองค์กรเกี่ยวกับสตรีต่างๆ ออกมาต่อต้านผู้ที่มีความคิดเรื่องนี้”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
** อย่าลิดรอนสิทธิ์-ปิดปากฝ่ายค้าน
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการพิจารณา ออก พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม วงเงิน 2 ล้านล้านบาทว่า พรรคเห็นด้วยกับการดำเนินโครงการ โครงสร้างพัฒนาพื้นฐานคมนาคม แต่ต้องดำเนินการถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาในชั้นรับหลักการ และชั้นกรรมาธิการวิสามัญนั้น พรรคเห็นว่ามีการดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมายหลายประการ คือ
1. มีความพยายามกระทำการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 หมวด 8
2. เอกสารแนบท้ายตาม ร่าง พ.ร.บงดังกล่าว ในโครงการไม่มีความชัดเจน ไม่มีการศึกษาคุ้มค่าอัตราการเงินและเศรษฐกิจ
3. หากกฎหมายดังกล่าวผ่าน จะไม่สามารถตรวจสอบการกู้เงินได้เลย และมีโอกาสที่จะปกปิด อำพราง ซ่อนเร้น ข้อมูลต่างๆได้โดยง่าย
4. การดำเนินการส่อที่จะทุจริตได้โดยง่าย
ทั้งนี้ ใน 4 ประเด็นดังกล่าว จะมีการอภิปรายในวาระ 2 วันที่ 19-20 ก.ย.นี้ เพื่อให้สังคมรับทราบ นอกจากนี้ อยากเสนอไปที่รัฐบาล และเสียงข้างมาก ว่าไม่ควรใช้วิธีการเสนอปิดอภิปราย เพื่อปิดปากฝ่ายค้าน เพราะมีผู้สงวนคำแปรญัติ 144 คน แบ่งเป็นพรรคประชาธิปัตย์ 106 คน พรรเพื่อไทย 37 คน โดยจะพิจารณาทั้งหมด 19 มาตรา และมีเอกสารประกอบอีก 31 หน้า จึงอยากให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะหากสมาชิกรัฐสภาไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติของใคร ก็จะเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขอร้องนายกรัฐมนตรี ไปกำชับลูกพรรคอย่าลิดรอน การทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน
** รัฐบาลต้องเคารพคำวินิจฉับศาลรธน.
นายองอาจ ยังกล่าวถึง การพิจารณา ร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับประเด็นที่มาของ ส.ว. ที่พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมจะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่าขัดต่อ มาตรา 68 หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่มีความชัดเจนคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ลุแก่อำนาจของฝ่ายเสียงข้างมาก ที่ครอบงำฝ่ายนิติบัญญัติวินิจฉัยอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมอันธพาล กร่างคับซอย และจะก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
ดังนั้น พรรคจึงอยากฝาก 3 ประเด็น ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลอาจกระทำอีกในอนาคต คือ 1. ใช้เสียงข้างมากอภิปรายปิดปากสมาชิก หากมีการพูดกระทบรัฐบาล 2. เป็นเผด็จการรัฐสภา ปิดปากไม่ให้ฝ่ายค้านทำงานได้ และ 3. ประธานรัฐสภาใช้อำนาจเกินขอบเขต และสุ่มเสี่ยงที่จะขัดรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่รัฐบาลและเสียงข้างมากพยายามบอกว่า แต่ละองค์กรควรที่จะมีบทบาทแยกออกจากกันนั้น ตนอยากถามว่า ในเมื่อประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดความขัดแย้งที่แต่ละฝ่ายมองไม่เหมือนกัน และหากไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ แล้วจะมีหน่วยงานไหน มายุติข้อพิพาทได้ จะมาอ้างว่าฝ่ายนิติบัญญัติ ทำอะไรก็ได้นั้น ตนมองว่าไม่ถูกต้อง จึงอยากฝากไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ไปกำชับสมาชิกพรรคเพื่อไทย ให้เลิกพฤติกรรมดังกล่าว รวมทั้งทุกฝ่ายยอมรับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือว่าเป็นที่สิ้นสุด และไม่ควรมีพฤติกรรมใดๆ ที่ออกมาขัดขวาง หรือจะหักดิบ โหวตวาระ 3 หากมีคำวินิจฉัยอย่างหนึ่งอย่างใด ในอนาคต.