xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ไม่ได้ “แรด” ห้าม CHAT ด่า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ใครๆ อาจจะก่นด่าสารพัดคำหยาบเข้าใส่ “พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์” ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) ที่ประกาศจะควบคุมแอปพลิเคชันคุยผ่านโทรศัพท์ยอดนิยมซึ่งมีชื่อว่า “ไลน์(Line)” เพราะความวัวเรื่องการเรียกตัวมือโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ พร้อมประกาศข่มขู่คนที่กด “ไลค์(Like)” ว่ามีสิทธิเข้าคุกจนเกิดกระแสต่อต้านด้วยวาทกรรมเลียนแบบคนเสื้อแดงว่า “กดไลค์ไม่ใช่อาชญากรรม” ยังไม่ทันหาย “ผู้การพิสิษฐ์” ก็ก่อเรื่องอีกแล้ว

แต่สำหรับ พล.ต.ต.พิสิษฐ์แล้ว นี่คือผลงานชิ้นโบแดงที่ ปอท.ภูมิใจนำเสนอเพื่อรับใช้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เช่นเดียวกับเรื่องของ “แรด” ที่มาแรงแซงทางโค้งติดๆ จากฝีมือของเจ้าเก่าอย่าง “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ประกาศรับคดีที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ร้องทุกข์กล่าวโทษ “นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูล” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ที่บังอาจโพสต์รูปถ่ายซึ่งถูกตัดต่อขณะที่นายกรัฐมนตรียืนคู่กับป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรีผ่านเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ โดยเปลี่ยนข้อความจาก “จุดชม ช้างป่า กระทิง อุทยานแห่งชาติกุยบุรี” เป็น “จุดชม เสือ สิงห์ กระทิง” และมีภาพของนายกรัฐมนตรียืนอยู่ถัดจากคำว่ากระทิง

ประมาณว่า ทนไม่ได้ที่เจ๊ติ่งมัลลิกาเจตนาทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในตัวนายกรัฐมนตรี

เรื่องราวของ “ไลน์” และ “แรด” จึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาในโลกไซเบอร์กันอย่างสนุกปาก โดยจับโยงทั้งสองเรื่องเข้ามาผูกโยงด้วยกันกลายเป็นวลีเด็ด “ไม่ใช่แรด ห้าม CHAT ด่า”

กล่าวสำหรับกรณีของไลน์นั้น แม้ดูเหมือนว่าปฏิบัติการของพล.ต.ต.พิสิษฐ์จะแป้กเพราะมีคนพวกเดียวกันออกมาค้านมากมาย ทั้ง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เช่นเดียวกับทายาทผู้สืบทอดอำนาจอันดับหนึ่งของระบอบทักษิณอย่าง “เสี่ยโอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร”

แต่ดูเหมือนว่า จะไม่มีใครเชื่อว่า เป็นการคัดค้านอย่างขึงขังโดยไม่ได้แอบขยิบตาให้กัน เพราะงานนี้แล้วถ้า ปอท.และพล.ต.ต.พิสิษฐ์ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หน่วยงานเล็กๆ คงไม่กล้าทำโดยไม่เกรงเสียงก่นด่าเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ในระหว่างที่มีการประชุมนุมต่อต้านการนำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร พล.ต.ต.พิสิฐษ์และปอท.ก็เอาใจนายสุดติ่งมาแล้วด้วยการประกาศสงครามกับนักรบในโลกไซเบอร์ด้วยการออกหมายเรียกผู้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กจำนวน 4 รายในข้อหาทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) เรื่องการนำข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ทำให้กระทบต่อความมั่นคง มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท รวมทั้งผู้ที่กดไลค์และกดแชร์ก็จะมีความผิดเช่นเดียวกัน

การเล่นเกมดังกล่าวของ ปอท.ในครั้งนั้นทำให้สังคมฟันธงไปในทันทีว่า เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสกัดกั้นมิให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมกับกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณและพรรคประชาธิปัตย์ โดยเป็นปฏิบัติการสืบเนื่องจากการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติระดมตำรวจมาล้อมทำเนียบรัฐบาล รัฐสภาและปิดถนนจนทำให้รถติดวินาศสันตะโรทั่วกรุงเทพมหานคร

กับกรณีของไลน์ก็เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ขณะนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีเองมีความอ่อนไหวเกี่ยวกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขรมในโลกออนไลน์หนักข้อขึ้นทุกที เพราะยิ่งนานวันไปประชาชนยิ่งเห็นว่ารัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีฝีไม้ลายมือในการบริหารราชการแผ่นดินเลยแม้แต่น้อย

นี่ไม่รวมถึงพฤติกรรมส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีที่ถูกเผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ที่วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปากตั้งแต่เรื่องการพูดผิดพูดถูก ไปจนถึงเรื่องฉาว ว.5 โฟร์ซีชั่นส์

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็เป็นกรณีการโพสต์ข้อความ “กะหรี่แค่ขายตัว แต่หญิงชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” หรือการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณในนามของกลุ่มหน้ากากขาวที่ประกาศนัดแนะผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งรัฐบาลถือเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างยิ่ง และยังไม่สามารถหาเครื่องมือในการจัดการที่ทำให้คนหวาดกลัวจนสกัดกั้นการแพร่ระบาดได้

ดังนั้น ปฏิบัติการของทั้ง ปอท.และดีเอสไอจึงสอดรับกับความปรารถนาของนายกรัฐมนตรีที่ทำท่าว่าจะหมดความอดทนหลังจากที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาเป็นเวลากว่า 2ปี

จากการตรวจสอบข้อมูลตัวเลขผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ณ เดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา พบว่า มีปริมาณมากมายมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น เฟซบุ๊ก(Facebook)มีผู้ใช้ทั่วโลก 1,100 ล้านคน โดยในประเทศไทยมีผู้ใช้รวม 22 ล้านคน ขณะที่แอปพลิเคชันยอดนิยมอย่างไลน์(Line) นั้น มีผู้ใช้ทั่วโลก 200 ล้านคนและในประเทศไทย 15 ล้านคน ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีการใช้งานไลน์ มากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ส่วนทวิตเตอร์(Twitter) มีผู้ใช้ทั่วโลก 554 ล้านคน ในประเทศไทย 2.2 ล้านคน

นี่คือความน่ากลัวของเครือข่ายสื่อสารออนไลน์ที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก และนับวันจะกลายเป็นภัยคุกคาม ซึ่งรัฐบาลจำต้องหาวิธีควบคุม

สำหรับกรณีของ Line นั้น ต้องบอกว่า เป็นปฏิบัติการของ ปอท.ที่ต่อเนื่องมาจากกรณีการโพสต์และการกดไลค์ในเฟซบุ๊ก ซึ่งทันทีที่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์แง้มปากเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวออกมา กระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ถาโถมเข้าใส่ไม่ยั้ง โดยเฉพาะจากคนที่ใช้บริการไลน์ เนื่องจากเห็นว่า แอปพลิเคชันไลน์นั้นเป็นการติดต่อสื่อสารเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล

คำถามสำคัญคือ พล.ต.ต.พิสิษฐ์และปอท.รู้หรือไม่ว่าสุ่มเสี่ยงละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล และรู้หรือไม่ว่า การขอความร่วมมือกับ “บริษัท ไลน์ คอร์ปอเรชั่น” ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่ายดังที่ไลน์ระบุไว้ชัดเจนว่า “ไลน์ยังคงมีนโยบายหลักรักษาข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานและยังคงรักษามาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล”

เมื่อไลน์ คอร์ปอเรชั่นไม่ให้ความร่วมมือ ถามว่า ปอท.จะเอาปัญญาที่ไหนไปตรวจสอบได้ และเชื่อว่า ไลน์ คอร์ปอเรชั่นจะไม่เล่นด้วย เพราะนี่ถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้ไลน์ได้รับความนิยม หากเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้บริการเห็นว่า ถูกล่วงละเมิด ความน่าเชื่อถือของไลน์ก็ย่อมจะหมดตามไปด้วย

เชื่ออย่างยิ่งว่า พล.ต.ต.พิสิษฐ์รู้ เพราะถ้าไม่รู้ก็สมควรอย่างยิ่งที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้วจะต้องย้ายเข้ากรุให้พ้นจากหน่วยงานนี้ทันที

ที่สำคัญคือโดยปกติแล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มีแนวทางในการดำเนินงานต่างๆ อยู่แล้ว โดยผ่านเครือข่ายผู้ประสานงานของประเทศในกลุ่มจี 8 ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก ซึ่งสามารถขอความร่วมมือเป็นการภายในได้ในทันทีในการล็อกข้อมูลเอาไว้เบื้องต้น ก่อนที่จะดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมายด้วยการขออำนาจจากศาลไทยจากนั้นจึงส่งรายละเอียดทั้งหมดไปตามขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมของประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นๆ ซึ่งก็เชื่อว่า ตำรวจระดับนายพลก็ย่อมต้องรู้เช่นกัน

ดังนั้น เมื่อ พล.ต.ต.พิสิษฐ์รู้แล้วทำไมถึงยังคงตะแบงต่อไป

คำตอบง่ายๆ ก็คือ มีความเป็นไปได้สูงที่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์จะได้รับคำสั่งให้รับเผือกร้อนชิ้นนี้ โดยที่อาจไม่ได้หวังผลเลิศลอยว่าจะประสบความสำเร็จ และขอเพียงแค่สามารถข่มขู่ให้เพลาๆ ลงบ้างก็น่าจะเพียงพอใจแล้ว

การต่อจิ๊กซอว์ของความหวาดวิตกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีความชัดเจนขึ้นเมื่อในระยะเวลาไล่เลี่ยกันปรากฏเรื่อง “แรดๆ” มาเติมเต็มให้เห็นจากฝีมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ตั้งหน้าตั้งตาทำโดยไม่ลืมหูลืมตาจนเกิดคำถามตามมาว่า คดีแรดเข้าข่าย 9 ฐานความผิดของกรมสอบสวนคดีพิเศษในมูลฐานไหน และคดีแรดมีความพิเศษถึงขนาดต้องใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษมาสอบสวนเชียวหรือ แถมยังรับอย่างพลการโดยที่ไม่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษอีกต่างหาก

ที่สำคัญคือ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบทั้งหลายทั้งปวงของการตัดต่อฝีมือ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูลก็ยังไม่แน่ใจว่า คำว่า เสือ สิงห์ กระทิง แล้วมีนายกฯ ปูมายืนแอ่นระแน้อยู่ข้างๆ มันมีความผิดตามกฎหมายฉบับใด นอกเสียจากต้องการข่มขู่ผู้ที่บังอาจวิพากษ์วิจารณ์เจ้านายให้หวาดกลัวเท่านั้น

แต่นายธาริตก็ตอบอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกี่ยวกับผู้นำประเทศ ดังนั้นได้สั่งให้รับเป็นคดีพิเศษทันที ไม่ต้องเข้าที่ประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นความผิด พ.ร.บ.แนบท้ายการสอบสวนคดีพิเศษ เพราะบุคคลในภาพเป็นถึงนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นการส่งต่อหรือโพสต์เอง ถือว่ามีความผิดตามข้อกฎหมายชัดเจน”

และที่เด็ดที่สุดก็คือนายธาริตเด้งรับเสียจนก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาด้วยการพูดออกมาหน้าตาเฉยว่า ที่ต้องรับทำเพราะนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นประมุขของประเทศ

“ดีเอสไอเป็นฝ่ายรับผิดชอบในการรักษาบ้านเมืองก็ต้องทำหน้าที่ และยืนยันว่าดีเอสไอไม่ได้รับใช้การเมือง แต่ว่าประมุขของประเทศในฐานะนายกฯ ถูกกระทำเช่นนี้ ซึ่งมีความผิดชัดเจน ดีเอสไอก็ต้องรีบดำเนินการและให้ความสำคัญกับคดีนี้มากกว่าปกติ”

การใช้คำว่าประมุขของประเทศกับนางสาวยิ่งลักษณ์กลายเป็นเรื่องร้อนทันทีจนทำให้ประชาชนผู้จงรักภักดีอดรนทนไม่ไหวต้องรวมตัวประท้วง เพราะไม่มีใครเชื่อว่านายธาริตบกพร่องโดยสุจริตดังคำแก้ตัว หากแต่เชื่อว่าเป็นคำพูดที่ส่งตรงออกมาจากจิตสำนึกเบื้องลึกของนายธาริตอย่างแท้จริง

เรื่องไลน์และเรื่องแรดที่ร้อนแรงจึงจบลงด้วยคำว่าประมุขของประเทศที่มาแรงแซงโค้งจนนายธาริตถึงกับไปไม่เป็น


ภาพตัดต่อฝีมือมัลลิกา บุญมีตระกูลแห่งพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกดำเนินคดีจากดีเอสไอในขณะนี้
ภาพล้อจากสติ๊กเกอร์ในแอปพลิเคชันไลน์หลัง ปอท.ประกาศยืนยันว่าจะเข้าไปควบคุม
กำลังโหลดความคิดเห็น