**“ดิฉันขอยืนยันว่าถึงแม้รัฐบาลชุดนี้จะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ดิฉันเชื่อเสมอว่า ในระบอบประชาธิปไตย ต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่และต้องให้เกียรติและรับฟังเสียงส่วนน้อยควบคู่กันไป เพราะประชาธิปไตยเป็นของทุกคน ไม่ใช่เป็นของเฉพาะผู้ประสบชัยชนะทางการเมืองจากการเลือกตั้ง โดยการคงกติกาการรักษาความเสมอภาคและเท่าเทียมกันแก่ทุกคน”
ข้อความข้างต้น คำแถลงของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เรื่องข้อเสนอทางออกประเทศไทยผ่านทีวีพูล เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา
เป็นการแถลงแสวงหาความ “ปรองดอง”หลังจากที่ ครม.เพิ่งจะประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ไปหมาดๆ เพื่อสกัดประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ฉบับกลางซอยของ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และตำรวจโชว์อาวุธปราบประชาชนในเชิงข่มขู่ผ่านสื่อหลัก
**นี่คือวิธีการปรองดองแบบ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ที่จะใช้ "วูแมนทัช" แก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศเลยไปจนถึงเสนอหน้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้
ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่ารับฟังเสียงข้างน้อย สภาที่พิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเธอไม่ได้เข้าร่วมประชุมสภาด้วย ใช้เสียงข้างมากลากให้ปิดอภิปรายในขณะที่ฝ่ายค้านได้อภิปรายเพียงแค่ 4 คน เท่านั้น
ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ให้สิทธิเสรีภาพกับสื่อสารมวลชนอย่างเต็มที่ เธอสกัดนักข่าวช่อง 7 ไม่ให้ร่วมคณะไปทำข่าวทีวีพูล ที่กัมพูชา มีการคัดกรองสื่อมวลชนที่จะเดินทางไปต่างประเทศกับคณะรัฐมนตรี โดย “แก๊งไอติม”ตัวพ่อที่คอยแทรกแซงออกใบสั่งไปยังสื่อทีวี
ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่า เปิดกว้างให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี เธอไล่ฟ้องดะทุกคนที่วิพากษ์ วิจารณ์การกระทำอันไม่เหมาะสมของเธอ ตั้งแต่ กรณี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ ไปจนถึงการไล่ล่ามือแฮกเกอร์เว็บสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความประจานพฤติกรรมผู้นำหญิงไทยเป็นภาษาอังกฤษแปลความได้ว่า “ฉันเป็นหญิงบ้าที่สำส่อน”และ “ฉันรู้ว่าฉันคือนายกรัฐมนตรีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย
**ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ต้องให้เด็กไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ต เพื่อจะได้มีความรู้กว้างไกลเหมือนย่อโลกมาอยู่ในมือ ด้วยการแจกแท็บเล็ตให้กับเด็กป.1 ไปจนถึงการแจกแท็บเล็ตให้ ส.ว. - ส.ส.
**แต่รัฐบาลของเธอกลับปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นผ่านโลกอินเตอร์เน็ต ราวกับประเทศไทยเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ที่บริหารแบบเผด็จการ ไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตยที่รัฐบาลภาคภูมิใจว่าได้ฉันทานุมัติจากประชาชนถึง 15 ล้านเสียง มาสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองว่า ทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การจำกัดสิทธิประชาชน และการละเมิดกฎหมาย
ไอซีที มีผลงานดีเด่นในการปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรีให้กับยิ่งลักษณ์ ด้วยการแบน Simsimi หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “เจ้าลูกเจี๊ยบ”เพียงเพราะว่ามันดันฉลาดตอบโต้กับคนขี้เหงาได้เป็นเรื่องเป็นราวและเสียดแทงใจผู้นำหญิงเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเป็นความจริงก็ตาม
เพราะเมื่อพิมพ์คำว่า “ยิ่งลักษณ์”มันก็จะตอบกลับมาตรงประเด็นทันทีว่า “โง่” ถ้าพิมพ์คำว่า “ทักษิณ”เจ้าเจี๊ยบ ก็จะตอบมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขายชาติ”และยังมีอื่นๆ อีกมากมาย ก็เลยทำให้ไอซีที ต้องรีบแบนแอพพลิเคชั่นดังกล่าว ภายใต้ความคิดว่า แตะตระกูลพ่อพวกมึงไม่ได้ แต่ปล่อยให้เปิดเว็บพ่อของแผ่นดินกันโจ๋งครึ่ม
**เมื่อโลกโซเชียลมีเดียกลายเป็นแหล่งอันตรายสำหรับความมั่นคงของ ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ และรัฐบาล เพราะแทบจะเป็นสื่อเดียวในขณะนี้ที่รัฐควบคุมไม่ได้ จนทำให้ ยิ่งลักษณ์ เกิดอาการ “แน่น-อก”ต้อง“ยกออก”
**ความจริงที่ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจคือ ยิ่งลักษณ์ ได้ตั้ง “คณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ”มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่วางกรอบนโยบายเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ !
อาการตื่นตูมที่รัฐบาลประชาธิปไตยคิดเข้ามาควบคุมโลกออนไลน์ เริ่มจากโพสต์ของ ชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ชื่อดังจากค่ายหัวเขียว ที่ใช้ข้อความกระชับ แทงใจดำยิ่งลักษณ์อย่างแรงด้วยข้อความว่า “โปรดเข้าใจ กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” หลังไป “อูลานบาร์ตอแหล”ด่าประเทศตัวเอง
แน่นอนว่า มีการฟ้องร้องตามมาเป็นคดีความอยู่จนถึงทุกวันนี้ และยังมีกุ๊ยแดงตามไปราวีถึงสำนักพิมพ์ คุกคามกันถึงบ้าน กระทั่งเจ้าตัวต้องประกาศปิดเฟซบุ๊ก เป็นการชั่วคราว
ต่อมาก็เป็นคิวของพิธีกรคนค้นคน เกี่ยวกับสารปนเปื้อนในข้าวถุงผ่านเฟซบุ๊ก จนมีการฟ้องหมิ่นประมาทกันใหญ่โต สุดท้ายก็จบที่ไกล่เกลี่ยและจับพิธีกรคนดังกล่าวไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ข้าวถุงปลอดภัยซะงั้น ถ้าไม่ยอมก็จะโดนหนัก ทั้งหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
กระทั่งมีการใช้เพจการเมืองจำนวนมากเป็นพื้นที่วิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และนัดแนะชุมนุมเพื่อต่อต้านพฤติกรรมทรามของรัฐบาลเผด็จการในคราบประชาธิปไตย
ล่าสุดสด ๆ ร้อน ๆ ปอท.ดำเนินคดีกับผู้โพสต์ข้อความข่าวลือการปฏิวัติ 4 ราย รวม นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคงของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทั่งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 4 สถาบัน ต้องร่อนจดหมายเปิดผนึกคัดค้านความเป็น“เผด็จการของรัฐบาลปูนิ่ม”
ขณะที่ไอซีที ซึ่งถนัดแจกแท็บเล็ตให้กับโรงเรียนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ออกมาขู่ชาวเฟซบุ๊ก จนกลัวกันขี้หดตดหายว่า หากมีการโพสต์ข้อความปลุกระดมทางการเมืองจะมีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง พ.ร.บ.ความมั่นคง และจะขออำนาจศาลปิดเว็บเพจของผู้โพสต์เลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นยังขยายใหญ่โตไปถึงคน กดไลค์ กดแชร์ ว่า มีสิทธิติดคุกไม่ต่างกัน
จนเกิดกระแสต่อต้านในโลกออนไลน์อย่างรุนแรงว่า “กดไลค์ไม่ใช่อาชญากรรม”และคำขู่ดังกล่าวก็มิได้ทำให้ชาวเน็ตกดไลค์ หรือแชร์ข้อความเกี่ยวกับ “การเมือง”น้อยลงตามที่รัฐบาลสร้างอาณาจักรความกลัวครอบไว้
ล่าสุด เกิดเรื่องฮือฮาไปทั่วประเทศจากการที่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ที่ประกาศจะเจาะข้อมูลส่วนตัวของผู้ที่ใช้ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ วอตซ์แอป และไลน์
โดยเฉพาะ “ไลน์”ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยใช้ถึง 15 ล้านคน โดยอ้างว่าส่งทีมงานเดินทางไปที่ญี่ปุ่น ซึ่งดูแลเซิฟเวอร์ให้กับบริษัท ไลน์ คอร์เปอร์เรชั่น เพื่อขอข้อมูล แลยังโชว์พาวต่อว่า ปอท. มีเครื่องซอฟต์แวร์ ที่เป็นตัวเช็คค่าสุ่มเสี่ยง และก่อให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายในเบื้องต้นอยู่แล้ว โดยขู่คำรามต่อว่า จะเน้นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และประเทศชาติ กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และ กระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
จนทำให้ นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ออกมาท้วงติงว่า เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลคล้ายกับการดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งขัดหลักสากล แต่ดูเหมือน พล.ต.ต.พิสิษฐ์ จะมีแบ๊คดี เพราะทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ท้าทายเสียอีกว่า “จะทำแบบประเทศจีน”ซึ่งมีการบล็อก เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิ้ล และยูทูป
ขนาดยิ่งลักษณ์ ยังออกมาไฟเขียวกลายๆ ว่า แอพพลิเคชั่นดังกล่าวคงไม่ไปเกี่ยวข้องหรือเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่หากจะติดตามตรวจสอบ ก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากกว่า
** นั่นก็หมายความว่า “ให้ ปอท.ดำเนินการได้โดยสะดวก”นั่นแหละ
สิทธิขั้นพื้นฐานในการสื่อสารกำลังถูกลิดรอนที่ผูกขาดความเป็นเจ้าของ “ประชาธิปไตย”เป็นการกระตุกเตือนครั้งสำคัญที่ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเห็นหน้าที่แท้จริงของ ยิ่งลักษณ์ ภายใต้การแต่งสีทาปากให้ดูดีว่า มีความเผด็จการเพียงใด
มีหลายประเทศที่เคยทำเหมือนกับที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังดำเนินการอยู่ในวันนี้ สุดท้ายสถานภาพของผู้นำก็สั่นคลอนอย่างหนัก หรือถึงขั้นถูกถีบลงจากอำนาจไป ด้วยพลังแห่งมวลมหาประชาชน อาทิ รัฐบาลตูนิเซีย รัฐบาลซีเรีย รัฐบาลอียิปต์ รัฐบาลอิหร่าน ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า ประเทศที่มีการจำกัดสิทธิในโลกออนไลน์ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “อาหรับสปริง”อันเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในตะวันออกกลาง
ด้วยการบริหารแบบพี่มาก่อน ประชาชนไว้ทีหลัง กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ทุจริตบนความทุกข์ยากของชาวบ้าน ฯลฯ ก็กำลังจะสร้าง “ไทยสปริง” ที่มีสามผู้ประสานงานคือ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร แก้วสรร-ขวัญสรวง อติโพธิ เป็นหัวเชื้ออยู่แล้ว
** อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย และจุดจบชนิดอวสานของระบอบทักษิณอย่างสิ้นซาก ชนิดที่จะไม่มีภาคอวตารมาสืบทอดทายาทอีก
ข้อความข้างต้น คำแถลงของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เรื่องข้อเสนอทางออกประเทศไทยผ่านทีวีพูล เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา
เป็นการแถลงแสวงหาความ “ปรองดอง”หลังจากที่ ครม.เพิ่งจะประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ไปหมาดๆ เพื่อสกัดประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ฉบับกลางซอยของ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และตำรวจโชว์อาวุธปราบประชาชนในเชิงข่มขู่ผ่านสื่อหลัก
**นี่คือวิธีการปรองดองแบบ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ที่จะใช้ "วูแมนทัช" แก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศเลยไปจนถึงเสนอหน้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้
ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่ารับฟังเสียงข้างน้อย สภาที่พิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเธอไม่ได้เข้าร่วมประชุมสภาด้วย ใช้เสียงข้างมากลากให้ปิดอภิปรายในขณะที่ฝ่ายค้านได้อภิปรายเพียงแค่ 4 คน เท่านั้น
ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ให้สิทธิเสรีภาพกับสื่อสารมวลชนอย่างเต็มที่ เธอสกัดนักข่าวช่อง 7 ไม่ให้ร่วมคณะไปทำข่าวทีวีพูล ที่กัมพูชา มีการคัดกรองสื่อมวลชนที่จะเดินทางไปต่างประเทศกับคณะรัฐมนตรี โดย “แก๊งไอติม”ตัวพ่อที่คอยแทรกแซงออกใบสั่งไปยังสื่อทีวี
ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่า เปิดกว้างให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี เธอไล่ฟ้องดะทุกคนที่วิพากษ์ วิจารณ์การกระทำอันไม่เหมาะสมของเธอ ตั้งแต่ กรณี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ ไปจนถึงการไล่ล่ามือแฮกเกอร์เว็บสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความประจานพฤติกรรมผู้นำหญิงไทยเป็นภาษาอังกฤษแปลความได้ว่า “ฉันเป็นหญิงบ้าที่สำส่อน”และ “ฉันรู้ว่าฉันคือนายกรัฐมนตรีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย
**ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ต้องให้เด็กไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ต เพื่อจะได้มีความรู้กว้างไกลเหมือนย่อโลกมาอยู่ในมือ ด้วยการแจกแท็บเล็ตให้กับเด็กป.1 ไปจนถึงการแจกแท็บเล็ตให้ ส.ว. - ส.ส.
**แต่รัฐบาลของเธอกลับปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นผ่านโลกอินเตอร์เน็ต ราวกับประเทศไทยเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ที่บริหารแบบเผด็จการ ไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตยที่รัฐบาลภาคภูมิใจว่าได้ฉันทานุมัติจากประชาชนถึง 15 ล้านเสียง มาสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองว่า ทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การจำกัดสิทธิประชาชน และการละเมิดกฎหมาย
ไอซีที มีผลงานดีเด่นในการปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรีให้กับยิ่งลักษณ์ ด้วยการแบน Simsimi หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “เจ้าลูกเจี๊ยบ”เพียงเพราะว่ามันดันฉลาดตอบโต้กับคนขี้เหงาได้เป็นเรื่องเป็นราวและเสียดแทงใจผู้นำหญิงเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเป็นความจริงก็ตาม
เพราะเมื่อพิมพ์คำว่า “ยิ่งลักษณ์”มันก็จะตอบกลับมาตรงประเด็นทันทีว่า “โง่” ถ้าพิมพ์คำว่า “ทักษิณ”เจ้าเจี๊ยบ ก็จะตอบมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขายชาติ”และยังมีอื่นๆ อีกมากมาย ก็เลยทำให้ไอซีที ต้องรีบแบนแอพพลิเคชั่นดังกล่าว ภายใต้ความคิดว่า แตะตระกูลพ่อพวกมึงไม่ได้ แต่ปล่อยให้เปิดเว็บพ่อของแผ่นดินกันโจ๋งครึ่ม
**เมื่อโลกโซเชียลมีเดียกลายเป็นแหล่งอันตรายสำหรับความมั่นคงของ ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ และรัฐบาล เพราะแทบจะเป็นสื่อเดียวในขณะนี้ที่รัฐควบคุมไม่ได้ จนทำให้ ยิ่งลักษณ์ เกิดอาการ “แน่น-อก”ต้อง“ยกออก”
**ความจริงที่ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจคือ ยิ่งลักษณ์ ได้ตั้ง “คณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ”มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่วางกรอบนโยบายเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ !
อาการตื่นตูมที่รัฐบาลประชาธิปไตยคิดเข้ามาควบคุมโลกออนไลน์ เริ่มจากโพสต์ของ ชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ชื่อดังจากค่ายหัวเขียว ที่ใช้ข้อความกระชับ แทงใจดำยิ่งลักษณ์อย่างแรงด้วยข้อความว่า “โปรดเข้าใจ กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” หลังไป “อูลานบาร์ตอแหล”ด่าประเทศตัวเอง
แน่นอนว่า มีการฟ้องร้องตามมาเป็นคดีความอยู่จนถึงทุกวันนี้ และยังมีกุ๊ยแดงตามไปราวีถึงสำนักพิมพ์ คุกคามกันถึงบ้าน กระทั่งเจ้าตัวต้องประกาศปิดเฟซบุ๊ก เป็นการชั่วคราว
ต่อมาก็เป็นคิวของพิธีกรคนค้นคน เกี่ยวกับสารปนเปื้อนในข้าวถุงผ่านเฟซบุ๊ก จนมีการฟ้องหมิ่นประมาทกันใหญ่โต สุดท้ายก็จบที่ไกล่เกลี่ยและจับพิธีกรคนดังกล่าวไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ข้าวถุงปลอดภัยซะงั้น ถ้าไม่ยอมก็จะโดนหนัก ทั้งหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
กระทั่งมีการใช้เพจการเมืองจำนวนมากเป็นพื้นที่วิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และนัดแนะชุมนุมเพื่อต่อต้านพฤติกรรมทรามของรัฐบาลเผด็จการในคราบประชาธิปไตย
ล่าสุดสด ๆ ร้อน ๆ ปอท.ดำเนินคดีกับผู้โพสต์ข้อความข่าวลือการปฏิวัติ 4 ราย รวม นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคงของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทั่งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 4 สถาบัน ต้องร่อนจดหมายเปิดผนึกคัดค้านความเป็น“เผด็จการของรัฐบาลปูนิ่ม”
ขณะที่ไอซีที ซึ่งถนัดแจกแท็บเล็ตให้กับโรงเรียนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ออกมาขู่ชาวเฟซบุ๊ก จนกลัวกันขี้หดตดหายว่า หากมีการโพสต์ข้อความปลุกระดมทางการเมืองจะมีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง พ.ร.บ.ความมั่นคง และจะขออำนาจศาลปิดเว็บเพจของผู้โพสต์เลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นยังขยายใหญ่โตไปถึงคน กดไลค์ กดแชร์ ว่า มีสิทธิติดคุกไม่ต่างกัน
จนเกิดกระแสต่อต้านในโลกออนไลน์อย่างรุนแรงว่า “กดไลค์ไม่ใช่อาชญากรรม”และคำขู่ดังกล่าวก็มิได้ทำให้ชาวเน็ตกดไลค์ หรือแชร์ข้อความเกี่ยวกับ “การเมือง”น้อยลงตามที่รัฐบาลสร้างอาณาจักรความกลัวครอบไว้
ล่าสุด เกิดเรื่องฮือฮาไปทั่วประเทศจากการที่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ที่ประกาศจะเจาะข้อมูลส่วนตัวของผู้ที่ใช้ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ วอตซ์แอป และไลน์
โดยเฉพาะ “ไลน์”ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยใช้ถึง 15 ล้านคน โดยอ้างว่าส่งทีมงานเดินทางไปที่ญี่ปุ่น ซึ่งดูแลเซิฟเวอร์ให้กับบริษัท ไลน์ คอร์เปอร์เรชั่น เพื่อขอข้อมูล แลยังโชว์พาวต่อว่า ปอท. มีเครื่องซอฟต์แวร์ ที่เป็นตัวเช็คค่าสุ่มเสี่ยง และก่อให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายในเบื้องต้นอยู่แล้ว โดยขู่คำรามต่อว่า จะเน้นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และประเทศชาติ กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และ กระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
จนทำให้ นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ออกมาท้วงติงว่า เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลคล้ายกับการดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งขัดหลักสากล แต่ดูเหมือน พล.ต.ต.พิสิษฐ์ จะมีแบ๊คดี เพราะทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ท้าทายเสียอีกว่า “จะทำแบบประเทศจีน”ซึ่งมีการบล็อก เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิ้ล และยูทูป
ขนาดยิ่งลักษณ์ ยังออกมาไฟเขียวกลายๆ ว่า แอพพลิเคชั่นดังกล่าวคงไม่ไปเกี่ยวข้องหรือเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่หากจะติดตามตรวจสอบ ก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากกว่า
** นั่นก็หมายความว่า “ให้ ปอท.ดำเนินการได้โดยสะดวก”นั่นแหละ
สิทธิขั้นพื้นฐานในการสื่อสารกำลังถูกลิดรอนที่ผูกขาดความเป็นเจ้าของ “ประชาธิปไตย”เป็นการกระตุกเตือนครั้งสำคัญที่ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเห็นหน้าที่แท้จริงของ ยิ่งลักษณ์ ภายใต้การแต่งสีทาปากให้ดูดีว่า มีความเผด็จการเพียงใด
มีหลายประเทศที่เคยทำเหมือนกับที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังดำเนินการอยู่ในวันนี้ สุดท้ายสถานภาพของผู้นำก็สั่นคลอนอย่างหนัก หรือถึงขั้นถูกถีบลงจากอำนาจไป ด้วยพลังแห่งมวลมหาประชาชน อาทิ รัฐบาลตูนิเซีย รัฐบาลซีเรีย รัฐบาลอียิปต์ รัฐบาลอิหร่าน ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า ประเทศที่มีการจำกัดสิทธิในโลกออนไลน์ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “อาหรับสปริง”อันเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในตะวันออกกลาง
ด้วยการบริหารแบบพี่มาก่อน ประชาชนไว้ทีหลัง กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ทุจริตบนความทุกข์ยากของชาวบ้าน ฯลฯ ก็กำลังจะสร้าง “ไทยสปริง” ที่มีสามผู้ประสานงานคือ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร แก้วสรร-ขวัญสรวง อติโพธิ เป็นหัวเชื้ออยู่แล้ว
** อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย และจุดจบชนิดอวสานของระบอบทักษิณอย่างสิ้นซาก ชนิดที่จะไม่มีภาคอวตารมาสืบทอดทายาทอีก