ชุมนุมออนไลน์ไทยสปริงครั้งที่ 6 “วสิษฐ” เตรียมจัดสันนิบาต ลั่นถึงเวลาออกกลางแจ้ง ถก “สุริยะใส” หาผู้แทนกลุ่มต่างๆ “แก้วสรร” ร้องลืมกลุ่ม ลืมสี เอาความเป็นประชาชนมาเป็นพลัง จ่อใช้ถ่ายทอดสดผ่านอินเทอร์เน็ต ผู้ประสานงานกลุ่มกรีนเผยขบวนการต้านระบอบทักษิณขาดเอกภาพ แต่หวังหลอมรวมทุกกลุ่มเพื่อชาติ อดีต ผอ.สำนักข่าวกรองฯ ปลุกทวงคืนอำนาจจาก “รัฐบาลทรยศ” ชี้ “ทักษิณ” ดันเต็มสูบ ล้างผิดกลับบ้าน
วันนี้ (28 ก.ค.) กลุ่มไทยสปริงได้จัดการชุมนุมออนไลน์ ครั้งที่ 6 ในหัวข้อ “แข็งข้อ..พวกทรยศ” โดย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวในเพจไทยสปริงฟอรั่มถึงแนวทางการ “แข็งข้อ พวกทรยศ” ว่า ไทยสปริงจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เพราะระบอบทักษิณไม่หยุด รัฐบาลที่อยู่ภายใต้บังเหียนของทักษิณก็ไม่หยุด ยังรังแกบ้านเมืองอย่างไม่หยุดยั้ง และกำลังจะเปิดสภาก็เห็นแล้วว่าเขาจะทำอะไร เราไม่ได้เป็นผู้กำหนด แต่สถานการณ์เป็นผู้กำหนด เราจะไม่คอยให้อะไรเกิดขึ้นกับบ้านเมือง แต่จะเริ่มเลยด้วยการพบปะกันในลักษณะสันนิบาต คือการประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางเคลื่อนไหว และยืนยันว่าเราไม่หยุด ตราบใดที่อันตรายยังปรากฏต่อบ้านเมือง เราพร้อมเสียสละเวลา ร่างกาย จิตใจเพื่อทำกิจกรรม ซึ่งตนย้ำว่าอาวุธทางปัญญาต้องติดต่อไป ไทยสปริงไม่หยุดเพียงเท่านี้ และวันหนึ่งต้องถึงเวลาออกกลางแจ้ง เพราะฝ่ายตรงข้ามบังคับ เหตุการณ์ที่จะเป็นกุญแจไขไปสู่การตัดสินใจออกกลางแจ้ง คือการประชุมสภาที่กำลังจะเปิด เพราะมีเงื่อนไขแล้ว เหลือเงื่อนเวลา ซึ่งตนได้หารือกับนายสุริยะใสว่าการออกกลางแจ้งควรทำอย่างไร จึงต้องมีผู้แทนจากกลุ่มต่างๆ ที่มีความเห็นตรงกันว่าต้องต่อสู้กับระบอบทักษิณมาคุยกันว่าจะทำอย่างไร
ด้าน นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ กล่าวว่า ตนขอให้ประชาชนจับตาเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งมีความไม่โปร่งใสตั้งแต่การประมูล อีกทั้งยังมีการกำหนดเส้นทางระบายน้ำที่ผิดปกติด้วย โดยยกตัวอย่างน้ำท่วมในปี 2554 ว่าไม่มีการผันน้ำไปทางคลองด่าน จึงต้องถามว่าใครใหญ่อยู่ตรงนั้น ใช่พวกที่สุมหัวอยู่โฟร์ซีซั่นส์หรือไม่ การเอานักการเมืองที่มีผลประโยชน์ไปบริหารประเทศเปลี่ยนได้แม้กระทั่งทางน้ำ โดยหลังจากโฟร์ซีซั่นส์ความจริงก็เปิดเผย ส่วนการนิรโทษกรรมนั้น ต้องแยกคดีทุจริตคอร์รัปชันออกไป พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่สามารถเอาคนเสื้อแดงมาเป็นตัวประกันได้ แต่ความอุบาทว์คือพยายามเอาการนิรโทษเสื้อแดงมาอยู่ในฉบับเดียวกับคดีคอร์รัปชัน พอ นางพะเยาว์ อัคฮาด เสนอเฉพาะเรื่องม็อบไม่เอาคอร์รัปชันมาเกี่ยว ก็ไม่ยอม เพราะหลอกเสื้อแดงมาเป็นตัวประกัน ดังนั้นเดือนสิงหาคมนี้ต้องชัดเจนว่าไม่เอาคดีทุจริต ส่วนคดีม็อบต้องมาดูเป็นเรื่องๆ ไป ถ้าเป็นชีวิตทรัพย์สินจะนิรโทษกรรมไม่ได้ ขัดหลักนิรโทษกรรม
นายแก้วสรร กล่าวว่า หากมีสันนิบาตตนว่าเป็นแนวทางที่น่าจะพิจารณาช่วยประสานงาน ไม่มีแกนนำ แนวร่วม เพื่อให้ประชาชนรวมตัวกันบอกกับรัฐบาลว่า ทำงานเสียที ลืมพี่มึงได้แล้ว ถ้าประเด็นอยู่เท่านี้ และไม่มีการล้างผิด ส่วนการเคลื่อนไหวของประชาชนก็เป็นเรื่องของการประสานงาน จะใส่เสื้อสีไหนมาชุมนุมก็ได้ ซึ่งตนเห็นว่าอาจมีกลุ่มผู้ประสานงานให้กับประชาชนที่จะรวมตัวกันได้มีพื้นที่แสดงตน โดยไม่ต้องมีพันธมิตรฯ ไม่มีประชาธิปัตย์ สลายสี ทุกคนมีจุดร่วมในการรับใช้ประชาชน ยืนอยู่ข้างประชาชน มาเป็นผู้ประสานงาน เพราะประชาชนก็ไม่ได้อยากให้มานำเท่าไหร่ แต่ต้องมีการจัดการ ให้เขาปรากฏตัวอย่างสบายใจ สามัคคีกัน ดูแลอย่าให้มีคนมาทำร้าย บ้านเมืองไม่วุ่นวาย แต่จุดใหญ่คือต้องเปิดใจตัวเองก่อน เพราะประชาชนรออยู่แล้ว และถ้าชุมนุมโดยสงบเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่น่าจะมีปัญหา
“ความฉิบหายแบ่งไม่ได้ เจ็บกันหมดทุกกลุ่ม ประเทศเจ็บ ประชาชนเจ็บ ทำยังไงลืมกลุ่ม ลืมสีเอาความเป็นประชาชนมาเป็นพลังร่วมกันให้ได้ จะฝ่าด่านอคติ เหม็นหน้ากัน เพื่อร่วมกันเป็นประชาชน ถ้ามีจิตใจแบบนี้ก็ต้องสื่อกับพี่น้องเสื้อแดง เพราะเป็นปัญหาประเทศ เสื้อก็แค่เสื้อ ถ้าได้สปิริตนี้ไม่จำเป็นต้องพันธมิตรฯ คนไทยทั่วไปมีใจทั้งนั้น เสื้อแดงก็คิด แต่ใจดำที่มีอยู่แล้วจะแทงเข้าไปยังไง ตัวอย่างหน้ากากขาวคือคนไทยที่มีใจเดือดออกมาไม่ต้องการเวที แต่ขาดแค่ผู้ประสานงาน”
สำหรับในส่วนของไทยสปริงจะยังใช้ช่องทางออนไลน์ต่อไป เพื่อเผยแพร่ความจริง โดยจะมีโครงการ 3 คือ จับตาระบอบทักษิณ เปิดโปงการปิดบังข้อมูลของรัฐบาลที่แหกตาประชาชน และอาจจะใช้การถ่ายทอดสดผ่านไลฟ์สตรีมทางอินเทอร์เน็ต โดยจะมีการลงพื้นที่เป็นไทยสปริงสัญจรเพื่อแกะรอยโครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล ซึ่งกลางสิงหาคมจะแถลงรายละเอียดที่สภาอีกครั้ง
นายขวัญสรวง อติโพธิ ผู้ประสานงานไทยสปริง กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามีทางออก 3 ทาง คือ อเมริกาปรับตัวเองได้ สองประชาชนกับทหารเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองได้ และทางที่สามเยอรมัน ซมซานมาก ฉิบหายถึงจะตั้งหลักได้ ประเทศไทยจะไปทางไหน เพราะในขณะนี้ไทยไม่มีประชาธิปไตย เล่นพวก ละเมิดสิทธิ เสรีภาพการพูดจาไม่มี แต่ถ้าประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้ ทิ้งเสื้อมาสัมผัสความเป็นประชาชน อาจเป็น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือ คนเสื้อแดง เพื่อมาสู้ภัยร่วมของคนไทย แค่เพียงได้ผ่านจะเกิดความรู้สึกใหม่ที่นึกไม่ถึง ทิ้งตัวตนมาเป็นประชาชนร่วมกันเชื่อว่าจะมีจุดเปลี่ยน
ขณะที่ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า ระบอบทักษิณยังโหดเหี้ยม อำมหิตเหมือนเดิม มีพริตตี้มาทำงานมากขึ้น แต่งตัวใหม่ แต่ยังใช้วิธีเข้ามาทำลายล้างเสนอโปรเจกต์เพื่อฟื้นฟู เช่น กรณีน้ำท่วมเหมือนจงใจให้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ เพราะ 3.5 แสนล้านอาจคิดพร้อมกับน้ำท่วมที่นวนครก็ได้ แม้แต่โครงการจำนำข้าวดึงดันเดินหน้าต่อเพราะตีเมืองขึ้น ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางได้ข้าวจากสต๊อก ยังมีอีกหลายโครงการที่จงใจให้เกิดปัญหา แล้วมาเสนอโครงการแก้ไข เป็นการคอร์รัปชันที่ต่างจากการทุจริตเชิงนโยบาย หรือแม้กระทั่งกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยิ่งเจรจาชาวบ้านยิ่งตกเป็นตัวประกัน มีความสูญเสียเกิดขึ้นรายวัน ยิ่งบีอาร์เอ็นประกันว่าไม่มีความรุนแรงช่วงรอมฎอนก็ไม่จริง ทั้งนี้ตนเห็นด้วยกับการเจรจา แต่ถ้าผิดที่ผิดทางไม่ได้เจรจากับผู้นำจริง ทำให้ไปสร้างคนที่ไม่มีราคาให้กลับมีราคามากขึ้น จึงใช้คำว่า “ไฟลาม น้ำเน่า ข้าวเสีย” คือ แก้ไฟใต้ไม่ได้ มีการทุจริตโครงการน้ำและโครงการจำนำข้าว อย่างไรก็ตามในขณะนี้ฝ่ายที่ต่อต้านทักษิณมีหลายกลุ่มทำให้ไม่มีความเป็นเอกภาพ และเริ่มมีคำถามว่าไล่ทักษิณแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ บางคนกลัวประชาธิปัตย์กลับมา เพราะเห็นว่าการเลือกตั้งไม่ตอบโจทย์ประเทศ หรือคิดไปถึงการปฏิวัติประชาชน
นายสุริยะใส กล่าวว่า แม้จะมีความหวาดระแวงมาก แต่ยังเชื่อว่ามวลชนจะรวมตัวกันได้ โดยยกตัวอย่างจุดเริ่มต้นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะเห็นว่าสถานการณ์คล้ายกับปี 2548 แต่รอบนี้เราไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้น ความเดือดร้อนจะเป็นตัวทำลายป้อมค่าย ถ้าสลายแว่นให้มาอยู่ห้องเดียวกัน และหากเฟื่องฟูได้รัฐบาลก็คิดมาก เพราะมาจากประชาชนจริงๆ ซึ่งอาจจะมีการประชุมกลุ่มใหญ่ในส่วนของชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการบริหารงานของรัฐบาล เพื่อขยายไปถึงข้างล่าง ตนเชื่อว่าจะมีคนเข้ามาร่วมมาก อาจใช้สวนลุมพินี หรือสนามม้านางเลิ้ง น่าจะเปิดสภาประชาชนในยามที่บ้านเมืองวิกฤต ซึ่งอาจไม่ได้รับคำตอบในวันนั้น แต่ใช้เป็นจุดที่คลายความระแวง เชื่อว่าบารมีของ พล.ต.อ.วสิษฐ ว่าทำให้คนหวาดระแวงน้อยที่สุด น่าจะเป็นผู้ริเริ่มได้ เพื่อให้แต่ละกลุ่มได้มาคิดร่วมกัน โดยไทยสปริงเป็นเจ้าภาพเปิดประชุมฝ่ายต้านทักษิณทุกภาคส่วน ซึ่งตนยอมรับว่ามีความอึดอัดต่อระบอบทักษิณมาก แต่ระยะหลังก็อึดอัดพลังที่ไม่เอาทักษิณเหมือนกันว่าจะเดินกันอย่างไร ทั้งนี้ตนมีความหวังว่าเราต้องลงสู่กลางแจ้ง เพราะถึงเวลาที่เราจะไม่ปล่อยให้เดือนสิงหาคมเป็นเวทีฟอกระบอบนี้อีกต่อไป
อีกด้านหนึ่ง นายภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่า คนไทยมีความทุกข์ใจเพราะมองอนาคตบ้านเมืองแล้ว ค่อนข้างริบหรี่ ไม่สดใส เหมือนกับอากาศที่มัวๆ มีหมอก เพราะเราปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งที่เลือกเขาเข้าไป ปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองค่อนข้างมาก คนเตือนกันเป็นระยะๆ โดยไม่มีส่วนได้เสียทางการเมือง เช่น นักวิชาการ แต่รัฐบาลก็ไม่ฟัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเดินไปบ้านเมืองเสียหาย คนเดือดร้อนสูงสุดคือ ประเทศชาติ และประชาชน นักการเมืองก็ถอยไปกลุ่มใหม่เข้ามา แต่บ้านเมืองและประชาชนล่ะ สองปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลชุดนี้ประสบความล้มเหลวในการบริหารราชการตามเป้าหมายและนโยบายที่ประกาศไว้ เอานโยบายที่หาเสียงและประกาศในสภามาวางเรียงกันดูว่าอะไรที่ทำได้ ถ้ามี 10 ข้อ ล้มเหลวไปแล้ว 7 ข้อ ไม่กล้าแม้แต่จะแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีต่อสภา เพราะแตะตรงไหนเน่าหมด
นายภุมรัตน์ กล่าวด้วยว่า ระบอบประชาธิปไตยต้องมีความรับผิดชอบและความโปร่งใส แต่รัฐบาลไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่แถลงต่อสภา และต่อประชาชนนอกสภา ไม่มีความอดทนอดกลั้นทางการเมือง ทั้งที่เป็นบุคคลสาธารณะ เพราะมีการทำร้ายร่างกายคนเห็นต่าง เช่น กรณีนายราเมศ รัตนเชวง นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องลาออก เพราะถูกคุกคามทั้งตัวเองและครอบครัว แต่ไม่มีใครปกป้อง มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพการรับรู้ของประชาชนและสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลนอกสภา เพราะฉะนั้นสิ่งที่พูดว่าเป็นประชาธิปไตยเอามาวางบนโต๊ะเลยว่าหัวใจคืออะไร เสาหลักคืออะไร เป็นประชาธิปไตยกี่ข้อ ไม่เป็นกี่ข้อ
ส่วนคลิปถั่งเช่านั้น นายภุมรัตน์ กล่าวว่า สะท้อนให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่สนใจระบบตรวจสอบและการถ่วงดุล ชอบวิธีการลัดขั้นตอน เป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะบ้านเมืองกำลังจะเดินไปสู่ทางที่ไม่สว่าง เป็นทางที่มืด ตนถามตัวเองในศาสตร์เกี่ยวกับการบริหารจัดการความมั่นคงของชาติ เมื่อมองเห็นภัยที่จะเกิดขึ้นจะปล่อยให้ผู้นำจูงเราตกเหวหรือ เราต้องหาทางป้องกัน วิธีการคือ เตือนสติว่าข้างหน้าเป็นเหว ถ้ายังดึงดันที่จะเดินไป ตนก็มีสิทธิที่จะจับตัวให้ไปทางด้านอื่น แต่ถ้าไม่ไปก็จะต้องเอาตัวไว้ไม่ยอมให้บ้านเมืองลงเหว เพราะถ้าป้องกันไม่ได้ก็ต้องยึดอำนาจของประชาชนกลับคืนมาอย่างเก่า เราถวายอำนาจประชาธิปไตยให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ผ่านฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ถ้าไม่ทำตามสัญญาหลอกประชาชน รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยแล้วหลอกประชาชนเป็นโทษรุนแรง ถ้าประหารชีวิตได้ก็ต้องประหารชีวิต แต่เราไม่ประหารจะเอาอำนาจนั้นกลับมาเพราะคุณทรยศต่อประชาชน
“อำนาจรัฐเริ่มสั่นคลอนแล้ว ซึ่งตนอยากเห็นรัฐบาลบริหารประเทศตามที่สัญญาไว้กับประชาชน แต่เมื่อไม่เป็นไปตามนั้นจะให้นั่งเฉยๆ ไม่ได้ เพราะมีเดิมพันความเสียหายของประเทศไทยที่ทุกคนมีส่วนร่วมอยู่ และเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีเป้าหมายที่จะกลับประเทศไทย โดยจะใช้หลายวิธีในการออกกฎหมายปกติ หรืออาจลัดขั้นตอนด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม” อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กล่าว