xs
xsm
sm
md
lg

“อัมมาร” ย้ำจำนำข้าวทำลายสินค้าไทย สมเพชรัฐคิดครอบงำแต่ไม่ทำบัญชี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ไทยสปริง” ชุมนุมเฟซบุ๊ก “อัมมาร” ย้ำจำนำข้าวทำคุณภาพถูกทำลาย กลายเป็นผู้ผลิตข้าวเน่าใหญ่ที่สุดในโลก สงสัยรัฐลดราคาให้นายทุนกว้านซื้ออัดโรงสีตรวจบัญชี สมเพชรัฐคิดครอบงำธุรกิจแต่ไม่ทำบันทึก ไม่รู้เงินหายไปไหน แฉรัฐขายข้าวให้พวกพ้องต่ำกว่าปกติ “ชวินทร์” ชี้ประชานิยมแบ่งคนเป็นสองฝั่ง แถมหนี้สาธารณะเพิ่ม ขณะที่ “แก้วสรร” ชวนชาวบ้านถ่ายภาพหน่วยงานรัฐทำป้ายพีอาร์นักการเมืองทุกพรรค ระบุสุดสุรุ่ยสุร่าย

วันนี้ (7 ก.ค.) เว็บไซต์เฟซบุ๊ก “ไทยสปริงฟอรัม” Thai Spring Forum นำโดย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นายแก้วสรร และนายขวัญสรวง อติโพธิ ผู้ประสานงานไทยสปริง ได้จัดเสวนาครั้งที่ 3 ภายใต้ชื่อตอน “รถรางคันนั้นชื่อปรารถนา” โดยเชิญนายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณทีดีอาร์ไอ และ ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายประชานิยม

ทั้งนี้ นายอัมมารกล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าว 15,000 บาทของรัฐบาล ว่าได้เปลี่ยนแปลงระบบการรับจำนำไปโดยสิ้นเชิง เพราะระบบก่อนหน้านี้ช่วยให้ข้าวไทยมีชื่อเสียงเป็นอันดับ 1 ของโลก เป็นข้าวที่ขายได้ราคาสูงเกือบที่สุด เพราะมีคุณภาพดี ส่งไปจำหน่ายได้ทั่วโลก และไทยยังมีข้าวทุกระดับเหมือนห้างสรรพสินค้าของข้าว แต่เวลานี้ถูกทำลายลงสิ้นเชิง ข้าวไทยกลายเป็นข้าวมวลชน ข้าวถูกๆ ข้าวคุณภาพต่ำโดยทั่ว เป็นเรื่องที่ตนเสียดายมาก เพราะอุตสาหกรรมข้าวที่ทำมาหลายสิบปีกำลังถูกทำลายจากนโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ด ในที่สุดผู้ค้าข้าวรายใหญ่กลายเป็นรัฐบาลไทย ข้าวส่วนใหญ่ซื้อมาแล้วจำหน่ายไม่หมดต้องเก็บไว้ในสต๊อคไปเรื่อยๆ สะสมกับข้าวเก่าที่มีอยู่แล้ว ในที่สุดไทยจะกลายเป็นผู้ผลิตข้าวเน่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยรัฐบาลจะดองข้าวเน่าในสต๊อคไปเรื่อยๆ ไม่ระบายออกสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่จะเอาข้าวจากเขมร เพื่อนบ้าน มาเติม มันไม่ใช่หลักเศรษฐศาสตร์แต่เป็นทุจริตศาสตร์

ส่วนการปรับเปลี่ยนนโยบายไปมาของรัฐบาลจากการรับจำนำในราคาตันละ 12,000 บาท กลับมาเป็น 15,000 บาทนั้น ดร.อัมมารมองว่า รัฐบาลเซตั้งตัวไม่ติด จึงมีการเปลี่ยนไปมา และตนสงสัยว่าเหตุผลหนึ่งคือข้าวที่หายไปสองล้านตันครึ่ง จึงสันนิษฐานว่าผู้ที่อยู่ในกระบวนการไม่ว่าจะเป็นโรงสีหรือเจ้าของโกดังจะมีการยืมข้าวไปขายในตลาด เมื่อรัฐบาลเรียกเก็บข้าวก็จะซื้อข้าวอื่นมา เช่น ข้าวเขมร ก็จะขอยืมข้าวไปใช้ เมื่อเกิดเรื่องการตรวจบัญชี สต๊อกข้าว ทำให้เกิดหน้ามืดไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องไปซื้อข้าวมาแทน จึงให้รัฐบาลประกาศเพื่อลดราคาข้าวกว้านซื้อในราคาถูกมาอัดในโรงสีเพื่อเติมให้เต็ม นี่คือข้อสันนิษฐานของตน เพราะพฤติการณ์ส่อว่าเป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นอธิบายไม่ได้ ความวุ่นวายเกิดขึ้นหลังจากมีคณะอนุกรรมการปิดบัญชีไปตรวจสอบ ทำให้เห็นว่าฟองสบู่กำลังจะแตก มีคนชี้ว่าปัญหาใหญ่กว่าที่คิด ขาดทุนมากกว่าที่เคยโม้ไว้ จึงมีการตรวจบัญชี

นายอัมมารกล่าวว่า สิ่งที่น่าสมเพชที่สุดสำหรับประเทศไทย คือ รัฐบาลนี้คิดการใหญ่ครอบงำธุรกิจค้าข้าวทั้งประเทศแต่ไม่มีการทำบัญชี ไม่รู้ว่าปีหนึ่งกำไร หรือขาดทุนจำนวนเท่าไหร่ ตนรู้สึกว่าน่าสมเพชมาก และที่กระทรวงการคลังลุกขึ้นมาโวยวายก็เพราะมีหน้าที่ต้องหาเงินมาอุดช่องโหว่ เพดานกู้เงินที่รัฐบาลและ ธ.ก.ส.จะกู้ได้ติดหมด จึงจำเป็นต้องไปตรวจดูว่าเงินหายไปไหม ทั้งที่ทำมาสองปีแต่ไม่รู้ว่าเงินหายไปไหน น่าสมเพชตรงนี้ เพราะกระบวนการทำบัญชีซื้อขายข้าวไม่ยาก มีธุรกรรมคือ ซื้อข้าวเข้ามา เงินออกไปข้าวเข้ามา จากนั้นไปสีข้าวแปรจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร ซึ่งจะต้องมีการบันทึก ต่อไปก็นำข้าวไปเก็บหรือไปขาย แต่ไม่เคยมีใครคิดว่ารัฐบาลจะนำทั้งหมดมารวมเป็นกำไร-ขาดทุน เพราะแต่ละขั้นตอนแยกไปอยู่คนละหน่วยงาน ต่างคนต่างทำของตัวเองบวกลบมาไม่รู้ว่ากำไรหรือขาดทุน จนกระทั่งมีคณะอนุกรรมการปิดบัญชีมาพิจารณา รัฐมนตรีก็ทำท่าตกใจว่าขาดทุน 1.3 แสนล้าน จึงต้องถามว่าไปอยู่ที่ไหน ทั้งที่บอกมานานแล้วว่าจะขาดทุนหลายแสนล้าน และตนเชื่อฝีมือคณะอนุกรรมการปิดบัญชีว่าตามเรื่องอย่างละเอียด ทำให้รัฐมนตรีมาทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี จึงเป็นเรื่องที่น่าสมเพชว่าประเทศไทยตกต่ำขนาดนี้เลยหรือ ทำธุรกิจไม่เคยรู้กำไรหรือขาดทุน เราต้องโกรธที่มีรัฐบาลไม่เอาใจใส่ต่อการเงินของประเทศ และยังมีการฝืนกลไกปกติด้วยการพยุงราคาข้าวสารในประเทศให้อยู่ในราคาเดิมแต่ราคาข้าวเปลือกสูง ทำให้รัฐบาลขาดทุนมากโดยเอาเงินภาษีจากประชาชนไปใช้จ่าย

“ที่ผมอยากให้ท่านโกรธมากๆ คือ 16 บาทราคาข้าวขายส่งในตลาดที่เราบริโภคนั้น เวลาออกจากรัฐบาลไม่ใช่ราคานี้ แต่รัฐบาลขายข้าวให้บุคคลกลุ่มหนึ่งที่เขารักเป็นพิเศษ ขายในราคาต่ำกว่า 16 บาทค่อนข้างมาก คือสูงสุดที่ 13 บาท ถามว่าสามบาทหายไปไหน เข้ากระเป๋าพ่อค้าที่รักเป็นพิเศษใช่หรือไม่ กระบวนการที่รัฐบาลทำ ทำเหมือนเราเป็นประเทศสังคมนิยมรัฐบาลควบคุมหมด แต่เมืองไทยทำไม่ได้ รัฐบาลระบายข้าวตามประตูที่ตัวเองกำหนด คนที่เป็นเจ้าของประตูเล็กๆ นั้นจะเก็บค่าต๋ง ก่อนเข้าสู่ตลาด จัดระบบที่คนของเขาได้ตังค์ด้วย” นายอัมมารกล่าว

นายอัมมารกล่าวด้วยว่า ตนดีใจที่ปัญหาทับถมอยู่เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ อย่าเร่งโค่นรัฐบาลนี้ ปล่อยให้ปัญหาข้าวทั้งหมดหล่นทับศีรษะเขาแล้วให้เขาแก้ เวลานี้กำลังค่อยๆ หล่น คนเริ่มรู้ ชาวนารู้แล้วว่ายั่งยืนไม่ได้ ตอนแรกจะลดเหลือ 12,000 บาท ชาวนาก็รู้แล้วว่า 15,000 บาทไปไม่ได้ จะมีมาตรการโซนนิ่งมาจำกัด หลังจากโม้มานานว่าจะจำนำ 15,000 บาททุกเมล็ด จึงอยากให้รักษารัฐบาลนี้ไว้จนสถานการณ์สุกงอม ทั้งนี้ ตนเห็นว่าคนที่จะเข้ามาแทนเขาจะซวยมาก เพราะว่าเขาจะต้องรับเคราะห์ต่างๆ ในการแก้ปัญหาข้าว เพราะว่ามองไปข้างหน้านั้นไม่ใช่ 15,000 บาทเท่านั้นที่จะตอ้งลงมาแต่ราคาข้าวในตลาดจะลดลงด้วยเพราะจะต้องระบายข้าวออกมา ดังนั้นใครเข้ามาแก้ปัญหาจะซวย มีปัญหาแน่ ถ้าตนเป็นรัฐมนตรีตนลาออกเดี๋ยวนี้

ด้านนายชวินทร์กล่าวถึงโครงการประชานิยมจากยุค พ.ต.ท.ทักษิณ มาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ว่าประชานิยมได้แบ่งแยกประชาชนออกเป็นสองข้าง เช่นเดียวกับอาร์เจนติน่าที่ผู้บริหารทำตัวเป็นคู่ต่อสู้กับเจ้าของที่ดินช่วยเหลือคนจน มีการสร้างวาทกรรมไพร่-อำมาตย์ขึ้นมา ทั้งที่จริงๆ แล้วผู้หญิงที่ใส่เสื้อแดงไม่มีใครเป็นไพร่ เนื่องจากคำว่าไพร่มาจากไพร่พลรบ จึงเป็นได้แค่ทาสมากกว่า มีการสร้างความหวังจากสโลแกนคิดใหม่ทำใหม่ แต่ความจริง คือ สุกเอาเผากิน และมีพฤติกรรมส่วนตัว “ปากไว ไร้สติ” ใครไม่เห็นด้วยด่าแหลก

“ประชานิยมมาพร้อมกับการเอาชนะทางการเมือง ไม่ได้หวังดีกับประชาชน หรือรวยแล้วไม่โกงมาทำประชานิยมให้ ความจริงคือมาพร้อมวาระทางการเมืองเสมอ โดยเอาประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือให้ไปถึงเป้าหมายของตัวเองเพื่อเข้าสู่อำนาจเท่านั้นเอง แล้วอ้างประชาธิปไตยว่ามาจากการเลือกตั้งอย่างเดียว ศาลก็ตัดสินไม่ได้ หัวสมองจึงมีแต่เรื่องปริมาณไม่ได้มีเรื่องคุณภาพ” นายชวินทร์กล่าว

นายชวินทร์กล่าวด้วยว่า ประชานิยมเป็นการนำเงินในอนาคตของประเทศมาใช้ ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่น โครงการจำนำข้าวที่มูดี้ส์ออกมาเตือนว่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ลดเครดิตประเทศ ซึ่งตนคิดว่าไทยกำลังจะเหมือนอาร์เจนติน่ากับกรีซ คือหนี้สาธารณะซึ่งไม่ใช่หนี้รัฐบาลแต่เป็นหนี้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการขาดทุนจากจำนำข้าว การกู้เงิน 3.5 แสนล้าน รวมถึงการกู้เงิน 2 ล้านล้าน เพราะรัฐบาลมือเติบ จะทำให้ไทยขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากรัฐบาลมุ่งพัฒนาแต่ไม่สนับสนุนการออม และไปพึ่งพาต่างชาติ สร้างความเสี่ยงให้กับประเทศ ยุทธศาสตร์สองขาคือการค้าระหว่างประเทศและการบริโภคทำให้คนไทยไม่ออมและไม่มีภูมิปัญญา หวังเงินไหลจากต่างประเทศผ่านการลงทุน ไม่สร้างภูมิปัญญาเพราะเอาแต่บริโภค

“ทักษิโณมิกส์ทำให้เราไม่ไปไหน เพราะมันสร้างภาพลวงตา รื้อฝาบ้านไปขายไม่ได้สร้างบ้านให้ เพิ่มเงินให้แต่ไม่ได้แก้จน เงินกับรายได้ต่างกัน รายได้คือเงินเดือน การมีงานทำ แต่เงินคืนโอนอำนาจซื้อมาให้คุณ จำนำข้าวก็เพิ่มเงิน ไม่ใช่รายได้ เพราะชาวนาผลิตเท่าเดิม กองทุนหมู่บ้าน กองทุนสตรี บัตรเครดิตต่างๆ ก็โอนเงินทั้งนั้น แต่เขามีวิธีดูดกลับ ไม่ได้สร้างรายได้ให้ประชาชน จึงไม่ใช่สิ่งถาวร ผมคิดว่าประชานิยมรุ่นนี้เป็นจะเป็นรุ่นสุดท้ายและโอ๊คหมดสิทธิเป็นทายาทการเมือง” นายชวินทร์กล่าว

มีรายงานว่า นายแก้วสรรยังได้รณรงค์ให้ประชาชนถ่ายภาพโฆษณาของหน่วยงานราชการที่มีการใช้เงินแผ่นดินไปประชาสัมพันธ์ภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมถึงภาพในลักษณะเดียวกันของพรรคการเมืองอื่นด้วย และนำตัวอย่างภาพในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีมาแสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ทางการเมืองได้ใช้งบประมาณแผ่นดินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ซึ่งประชาชนต้องช่วยกันหยุดพฤติกรรมนี้

“งบโฆษณาขึ้นคัตเอาต์ในแต่ละปีใช้งบเป็นร้อยล้านในทางกฎหมายถ้าเป็นท้องถิ่นขึ้นรูปแบบนี้จะโดนเรียกเงินคืน มีการออกเป็นระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเพราะถือเป็นโฆษณาส่วนบุคคลหรือโฆษณาแฝง การนำภาพตัวเองโผล่มาโฆษณาแล้วใช้เงินราษฎรเป็นสิ่งต้องห้าม แต่บ้านเราอำนาจการออกกฎควบคุมอยู่ที่กระทรวงการคลัง เคยมีดำริมาแล้วแต่ถูกบล็อกไว้ หลังจากนั้นเงินงบประมาณแผ่นดินก็ถูกเอามาใช้อย่างนี้หมด จึงขอเชิญประชาชนให้ถ่ายภาพระบุสถานที่ ผ่านทางเพจไทยสปริง เพื่อจะใช้รณรงค์ให้ทางการออกระเบียบห้ามต่อไป สิ่งเหล่านี้ปล่อยไว้ไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ตาม เพราะเป็นการใช้งบอย่างสุรุ่ยสุร่าย” นายแก้วสรรกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น