xs
xsm
sm
md
lg

หน้ากากขาวลามฮ่องกงซิดนีย์ แดงพัทยาโผล่หวิดปะทะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หน้ากากขาวลามถึงซิดนีย์ ฮ่องกงและทั่วทุกภูมิภาคของไทย พัทยากุ๊ยเสื้อแดงโผล่หวิดปะทะ รัฐบาลผวา ขู่ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงสกัด ขณะที่ "ไทยสปริง" เปิดฉากเขย่ารัฐบาล "วสิษฐ" ปลุกชาวเน็ตชุมนุมออนไลน์ ร่วมไล่รัฐแบบผู้ดี ยึดหลัก กม. ใช้ปัญญาเป็นอาวุธ ต้านรัฐบาลเก๊ "แก้วสรร" ชี้ "ยิ่งลักษณ์" แค่ พริตตี้ระบอบทักษิณ ด้าน"บรรเจิด" ฟันธงไทยตามรอยหายนะ"ฮิตเลอร์" ใช้เสียงข้างมากเป็นบันไดสู่เผด็จการ ย้ำศาล รธน. สร้างดุลยภาพทางอำนาจ วอนคนไทยร่วมป้อง ก่อนชาติพัง

เมื่อเวลา 13.00 น.วานนี้ (23มิ.ย.) กลุ่มหน้ากากขาว กรุงเทพมหานคร กว่า 3,000 คน ทยอยเดินทางมารวมกันที่ บริเวณลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อทำกิจกรรม แสดงพลังต่อต้านระบอบทักษิณ และแสดงความไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผ่านมา ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ของเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล จากกองบังคับการตำรวจ นครบาล 4, 5, 6 และฝ่ายสืบสวน รวม 600 นาย ที่ตรึงกำลังโดยรอบพื้นที่ชุมนุม เพื่อดูแลความเรียบร้อย รวมไปถึงเฝ้าระวัง และป้องกันเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น เมื่อเวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด บก.ตปพ. บช.น. ได้นำสุนัขตำรวจ ออกเดินตรวจทั่วบริเวณห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อหาวัตถุต้องสงสัย ขณะที่ทางห้างเซ็นทรัลฯ ได้ใช้รั้วเหล็กกั้นพื้นที่ลานเอนกประสงค์ด้านหน้าห้างไว้ทั้วบริเวณ พร้อมติดประกาศว่า “บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ในนามผู้บริหารพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ขอเรียนว่า บริษัทฯ ไม่มีนโยบายคัดค้านการชุมนุมทางการเมืองภายใต้รัฐธรมนูญ และไม่สนับสนุนให้กลุ่มใดๆ มาใช้พื้นที่ในการชุมนุมทางการเมืองทุกรูปแบบ เนื่องจากศูนย์การค้าแห่งนี้ เป็นสถานที่สำหรับการมาใช้ชีวิตพักผ่อนหย่อนใจและประกอบธุรกิจ

ต่อมาเวลา 14.30 น. กลุ่มหน้ากากขาวได้เดินขบวนจากหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ไปยังหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ โดยระหว่างทางกลุ่มหน้ากากขาว ได้ตะโกนเพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยข้อหาว่า เป็นปอบการเมือง และยังเป็นรัฐบาลที่ปลุกระดมคนเสื้อแดงขึ้นมา เพื่อเป็นร่างทรงให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากนี้รัฐบาลยังบริหารประเทศด้วยนโยบายที่ผิดพลาด ส่งผลกระทบให้ประชาชนต้องเป็นหนี้มหาศาล และยังนำเงินภาษีของประชาชนไปช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นเหตุผลว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศอีกต่อไป เราจึงต้องจับมือกันเพื่อขับไล่ขบวนการสามานย์นี้ ออกไปจากชาติของเรา

**ตำรวจขู่ใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯสกัด

พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มหน้ากากขาว บริเวณลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ คาดว่าจะมีประมาณ 2,000 - 3,000 คน ทั้งนี้ ได้จัดวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรักษาความปลอดภัยได้อย่างเต็มที่แล้ว อีกทั้งมีการประเมินสถานการณ์ และการข่าวชั่วโมงต่อชั่วโมง เพื่อพิจารณาการเพิ่ม-ลดกำลังเจ้าหน้าที่ เนื่องจากสถานที่รวมตัวเป็นพื้นสาธารณะ จะต้องพิจารณาการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง เพราะอาจไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนที่อาศัย เเละสัญจรผ่านไปมา หรือเดินศูนย์การค้าดังกล่าวได้

“การเฝ้าระวังก็เป็นอีกเรื่องที่ตำรวจให้ความสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างผู้สนับสนุน และฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงมือที่สาม ที่อาจจะเข้ามาก่อความวุ่นวายได้ ตำรวจจะพยายามดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่”พล.ต.ต.ฐิติราช กล่าว

**ไล่"ปู"ลามถึงซิดนีย์-ฮ่องกง

ในวันเดียวกันนี้ มีรายงานว่า เว็บไซต์เฟซบุ๊ก V For Thailand ได้เผยแพร่ภาพ โดยระบุว่า เป็นการชุมนุมของกลุ่มหน้ากากขาว ที่สวนสาธารณะเบลมอร์ (belmore park)สถานีรถไฟเซ็นทรัล (Central railway station)เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และที่บริเวณท่าเรือย่านเซ็นทรัล เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยภายในภาพ มีทั้งข้อความที่โจมตีรัฐบาล ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษด้วย ขณะที่ก่อนหน้านี้ทางเว็บไซต์ ได้ระบุเตือนผู้ที่จะมาร่วมชุมนุมเกี่ยวกับความปลอดภัย โดยให้นำน้ำสะอาด และอุปกรณ์ปฐมพยาบาลไว้เบื้องต้น เพราะหากมีเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องใช้ เช่น ขาเป็นตะคริว หรือหอบ สืบเนื่องจากการเดิน ก็จะได้ปฐมพยาบาลได้ทัน

**หน้ากากขาวต่างจังหวัดพรึ่บ

สำหรับการรวมตัวต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ของกลุ่มหน้ากากขาวในต่างจังหวัด ที่มีการนัดหมายกันผ่านโซเชียลมีเดีย มีการระบุว่าจะรวมตัวกัน ใน38 จุด อาทิ กลุ่มหน้ากากขาวปราจีนบุรี จะนัดรวมตัวกัน เวลา 16.00 น. ที่ ลานข้างพระหลักเมืองจังหวัดปราจีนบุรี อ.เมืองปราจีนบุรี
ขณะที่มีรายงานว่า นปช.ปราจีนบุรี จะยังไม่เคลื่อนไหว หรือต่อต้านการชุมนุมของหน้ากากขาว แต่จะเคลื่อนไหวในวันที่ 24 มิ.ย. ในโอกาสครบรอบ 81 ปี การเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยจะจัดตัวแทน นปช. ปราจีนบุรี รวม 5 คันรถตู้ จำนวนกว่า 50 คน ไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และจะไปชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อแสดงพลังร่วมกับนปช. จากทั่วประเทศ

นางเตือนใจ เย็นจิต หรือ “ครูตุ้ม” ที่ปรึกษาพันธมิตร จ.ปราจีนบุรีและข้าราชการครูบำนาญ กล่าวว่า “ได้เร่งผลิตหน้าการขาวโดยถอดแบบออกตามแบบจากส่วนกลาง แต่ใช้กระดาษแข็งแทน เน้นการผลิตเองทำด้วยมือรวมมากกว่า 1,000 ชิ้น เร่งทำตลอดทั้งวันและคืนวันนี้ โดยใช้แรงพันธมิต จ.ปราจีนบุรีช่วยกันโดยลงทุนเอง ทำเองไม่จ้าง พร้อมป้ายแสดงพลังสัญลักษณ์ต่างๆ ที่แสดงจุดยืน อาทิ เราไม่มีพรรคแต่รักประชาธิปไตย , บ้านนี้วุ่นวายเพราะมีความมากกว่า เป็นต้น

ในการระดมพลครั้งนี้ไม่กลัวกระแสต่อต้านจากประชาชนหรือ นปช.ทำร้ายเหมือนแห่งอื่นๆ หรือตามที่มีข่าวขู่อาจมีการปาระเบิดใส่แต่อย่างใด เพราะมีการขอร่วมใส่หน้ากากชุมนุมด้วยจาก นปช.ปราจีนบุรี บางส่วน แต่ในส่วนบุคคลอื่นๆ ก็ยังหวั่นเกรงเสื้อแดงหรือ นปช. จะทำร้ายเช่นที่เป็นข่าวตามจังหวัดอื่นบ้างเช่นกัน

ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. กลุ่มหน้ากากขาว รวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อย กระจายกันไปตามไนท์บาซาร์ หน้าศาลากลางจังหวัด หน้าศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติ หน้า ม.เชียงใหม่ และหน้าสนามกีฬาเชียงใหม่ 700 ปี โดยแต่ละแห่งใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ซึ่งหนึ่งในผู้ร่วมชุมนุม กล่าวว่า ที่ต้องกระจายกันเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกลุ่มคนเสื้อแดง และไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนสัปดาห์ก่อน ไม่ใช่ว่าเรากลัว แต่ไม่คุ้มกับการแลกกับคนที่ไม่เข้าใจ

"มีเรื่องไปก็เท่านั้น เราแสดงออกเช่นนี้เพื่อให้รัฐบาลเห็นว่าเราไม่ต้องการให้บริหารประเทศอีกต่อไปแล้ว เพราะสร้างความเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับเราต้องการบอกให้รู้ว่า อย่างไรเสียก็ต้องต่อต้านระบอบทักษิณให้ถึงที่สุด และจะทำเช่นนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เชื่อว่าพลังของเราจะมีมากขึ้น"

ข่าวแจ้งว่า หลังจากที่กลุ่มหน้ากากขาวเชียงใหม่ประกาศเจตนารมณ์แล้ว ได้เดินทางไปสมทบกับกลุ่มหน้ากากขาวจ.ลำปาง พร้อมกับบอกว่า ที่ลำปางปลอดภัยกว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้กลุ่มเสื้อแดงจะประกาศผ่านสื่อวิทยุของกลุ่ม ว่าจะไม่ไปคัดค้านหรือต่อต้านกลุ่มหน้ากากขาว แต่ยังมีคนเสื้อแดงไปยืนจับกลุ่มรออยู่ที่หน้าจวนผู้ว่าฯ ที่มีการปล่อยข่าวว่า กลุ่มหน้ากากขาวจะไปชุมนุม โดยมีตำรวจตั้งเต้นท์คอยดูแลความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย ต่อมาก็สลายตัวไป

ที่ จ.เชียงราย กลุ่มหน้ากากขาวเชียงราย รวมตัวที่ลานอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ห้าแยกพ่อขุน อ.เมือง ตั้งแต่ช่วงบ่าย และพบว่า มีคนเสื้อแดงเฝ้าอยู่ 3 คนคือ นางเกษนีย์ ชื่นชม นางมติ แซ่อั้ง แกนนำชมรมคนรักทักษิณ เชียงราย 49 และ ร.ต.ต.ประพันธ์ แก้วมูล แกนนำกลุ่มนปช. เชียงราย 52 จากนั้นกลุ่มหน้ากากขาวยกป้ายข้อความโจมตีรัฐบาล

ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มโทรศัพท์เรียกพรรคพวกมารวมตัวกัน รวมทั้งใช้กล้องถ่ายภาพกิจกรรมกลุ่มหน้ากากขาวไว้ตลอดเวลา ส่วนกลุ่มหน้ากากขาวกำลังรอคนจากอำเภออื่น กลุ่มคนเสื้อแดง นำโดย น.ส.จิรนันท์ จันทวงษ์ แกนนำกลุ่มลูกคนเมืองรักชาติเชียงราย ประมาณ 30 คน ได้ทยอยเดินทางมาถึงลานพ่อขุน พร้อมด่าว่ากลุ่มคนหน้ากากขาวอย่างรุนแรง

นอกจากนี้แกนนำคนเสื้อแดงใช้เครื่องกระจายเสียงโจมตีว่า กลุ่มหน้ากากขาวจะล้มเจ้า ไม่ยอมรับเสียงข้างมากซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ทั้งยังตามไปด่าและปิดล้อมรถของกลุ่มคนหน้ากากขาว ซึ่งกำลังจะเดินทางกลับ ทำให้ถึงขั้นมีปากเสียงกันขึ้น โดยพบว่าบางคนถืออาวุธ พร้อมจะเข้าไปทำร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าไปห้ามปราม ทำให้เกิดการณ์ไม่บานปลาย แต่ก็ทำให้การจราจรติดขัดชั่วคราว

ต่อมา เมื่อกลุ่มหน้ากากขาวเดินทางกลับหมดแล้ว คนเสื้อแดงจึงพากันนำรถเครื่องขยายเสียง รถจักรยานยนต์ รถยนต์ส่วนตัว เดินทางทางไปหน้าร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ ถนนสิงหไคล หน้าบ้านพัก ผกก.สภ.เมือง แล้วใช้เครื่องเสียงด่าทอว่าสนับสนุนหน้ากากขาว และขอให้เลิกเสีย ไม่เช่นนั้นจะกลับมาชุมนุมอีก รวมทั้งขอไม่ให้ตำรวจหรือทหาร รับประทานอาหารในร้านดังกล่าวด้วย

ด้านพ.ต.อ.ชูวิทย์ กองแก้ว ผกก.สภ.เมือง สั่งการให้ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนประมาณ 100 นาย ไปดูแลหน้าร้าน แต่คนเสื้อแดงยังปราศรัยด่าว่าเจ้าของร้านนานร่วมครึ่งชั่วโมง จึงสลายตัวไป

ที่จ.อุบลราชธานี นางทัศนีย์ บุญประสิทธิ์ ผู้ประสานงานกลุ่มหน้ากากขาว เขียนข้อความลงเฟสบุ๊กของตนเอง ระบุว่า มีเพื่อนที่เป็นหัวส่วนราชการในศาลากลางจังหวัด โทรศัพท์มาบอกว่า การชุมนุมของกลุ่มหน้ากากขาว ทำให้นายวันชัย สุทธิวรชัย ผู้ว่าราชการจังหวัด รู้สึกเครียด และด่าเพื่อนที่ไม่มีข้อมูลการเคลื่อนไหวของหน้ากากขาว จึงถามเพื่อนว่าการชุมนุมของหน้ากากขาวเคยใช้ความรุนแรงหรือไม่ ซึ่งเพื่อนที่เป็นหัวส่วนราชการตอบว่าไม่เคย

จึงได้ฝากข้อความให้ช่วยเรียนกับผู้ว่าราชการจังหวัด ว่าอย่าได้กังวลหรือเกรงกลัวกลุ่มหน้ากากขาว เพราะไม่มีวันที่กลุ่มหน้ากากขาว จะไปเผาศาลากลางจังหวัดที่เพิ่งสร้างเสร็จ ซึ่งท่านและลูกน้องก็เพิ่งเข้าไปทำงานได้เพียง 2-3 วันที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ข้อความในเฟสบุ๊กของนางทัศนีย์ ระบุด้วยว่า "หน้ากากขาวไม่ใช่คนจากที่อื่น แต่เป็นคนอุบลราชธานี จากหลายสาขาอาชีพ ที่ทนไม่ได้กับการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลชุดนี้ และท่านผู้ว่าฯ ก็คงทราบว่ามีเรื่องอะไรที่ล้มเหลวบ้าง จึงมารวมตัวแสดงออกอย่างผู้มีอารยะ ตามสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นประชาธิปไตย โดยชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ ด้วยการชูป้ายเช่นเดียวกับหน้ากากขาวทั่วประเทศ และโปรดให้รู้ด้วยว่า ที่เพื่อนไม่สามารถติดต่อแกนนำหน้ากากขาวได้ เพราะไม่มีแกนนำ และถ้าท่านผู้ว่าฯอยากรู้ว่า การชุมนุมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ที่บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธเป็นอย่างไร ขาวขอเรียนเชิญมาดูด้วยตัวเอง"

เวลา 16.00 น. กลุ่มหน้ากากขาว อุบลราชธานี ประมาณ 100 คน รวมตัวกันที่อุทยานบุญนิยม และเดินเท้าไปหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ประกาศเจตนารมณ์ขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะสร้างความเสียหายให้ประเทศ ทั้งโครงการรับจำนำข้าวที่ขาดทุนมหาศาล การบริหารงานไม่โปร่งใส อาทิ บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท รถไฟความเร็วสูง ค่าครองชีพมากเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบกับผู้คนทุกสาขาอาชีพ
นางทัศนีย์ กล่าวถึง การเปลี่ยนสถานที่การชุมนุมกระทัน จากลานเทียน ทุ่งศรีเมือง เพราะไม่ต้องการปะทะกับคนเสื้อแดงประมาณ 100 คน ซึ่งนำโดยนายพิเชษฐ์ ทาบุตดา หรือ ดีเจต้อย อดีตผู้ต้องหายุยงให้เผาศาลากลางจังหวัดเมื่อปี 2553 ที่นำมวลชนคนเสื้อแดงมารออยู่ก่อน
สำหรับ บรรยากาศที่ทุ่งศรีเมือง มีการปิดประตูทางเข้า-ออก พร้อมวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาสาสมัคร แต่เมื่อกลุ่มหน้ากากขาวเปลี่ยนสถานที่ชุมนุม จึงได้ถอนกำลังกลับไป

จ.อุดรธานี กลุ่มหน้ากากขาวอุดรธานี กว่า 300 คน ชุมนุมที่วงเวียนนำพุประจักษ์อุดร อ.เมือง บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ขณะที่กองร้อยปราบจลาจล สภ.เมือง นำกำลังกว่า 200 นายตรึงอยู่บนวงเวียนโดยรอบ พร้อมนำรถยนต์ติดเครื่องเสียงเคลื่อนที่ ประกาศว่ากลุ่มหน้ากากขาวทำให้การจราจรติดขัด ขณะที่กลุ่มหน้ากากขาวเจรจาขอให้ตำรวจหยุดประกาศ และขออ่านแถลงการณ์ของกลุ่ม จากนั้นจะแยกย้ายกันไป แต่ตำรวจกลับไม่ยอมหยุด กลุ่มหน้ากากขาวจึงเคลื่อนขบวนจากวงเวียนประจักษ์อุดร มุ่งหน้าไปยังสนามทุ่งศรีเมือง เพื่ออ่านแถลงการณ์

** หน้ากากขาว-แดงพัทยาหวิดปะทะ

ที่หน้าศาลาว่าการเมืองพัทยา จ.ชลบุรี สถานที่ซึ่งกลุ่มหน้ากากขาว แจกใบปลิวเชิญชวนประชาชนออกมาแสดงพลังต่อต้านระบอบทักษิณ และรัฐบาล ในเวลา 16.00 น. แต่กลุ่มหน้ากากขาวยังไม่ได้ทันได้ออกมารวมตัว มีกลุ่มเสื้อแดง นำโดยนางสุรีพร สินธุไพร พร้อมทั้งคนเสื้อแดงจาก จ.สมุทรปราการ และ จ.จันทบุรี กว่า 1,000 คน ตั้งเวทีปราศรัยต่อต้านกลุ่มหน้ากากขาว ตั้งแต่เวลา 14.00 น. โดยประกาศว่าจะปกป้องรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์

ด้านกลุ่มพลังคนหน้ากากขาวเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี จึงจับกลุ่มกันอยู่หน้าห้างสรรสินค้าโลตัส สาขาพัทยาเหนือ ฝั้่งตรงข้าม พร้อมทั้งแจ้งกันว่าจะยุติการรวมพลัง แล้วจะนัดกันอีกครั้งในวันอื่น เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มคนเสื้อแดงแสดงศักยภาพกันให้เต็มที่

แต่กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าใจผิด คิดว่าถูกด่าทอ จึงได้ลุกฮือเข้าหากลุ่มหน้ากากขาว แต่ตำรวจภูธรภาค 2 ที่เข้ามาตรึงกำลังกว่า 500 นาย เข้ามาแทรกกลางระหว่างคนสองกลุ่ม และขอร้องให้ต่างฝ่างต่างอยู่ในที่ของตนเองอย่างสงบ และอย่าให้มีเหตุวิวาทกันอีก

ที่สวนกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ชาวนราธิวาสประมาณ 100 คน ร่วมกันสวมหน้ากากขาว แสดงพลังต่อต้านรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการรวมตัวครั้งแรกในจ.นราธิวาส โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง คอยดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสจากกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่

วันเดียวกันยังมีการชุมนุมของกลุ่มหน้ากากขาวในหลายจังหวัด อาทิ จ.อุตรดิตถ์ ที่วงเวียนหอนาฬิกา หน้าสถานีรถไฟเก่าจังหวัดอุตรดิตถ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่สวนสาธารณะโผน กิ่งเพชร เขตเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ระยอง ที่หน้าเทศบันเทิงพลาซ่า ริมถนนสุขุมวิท ต.ท่าประดู่ อ.เมือง จ.ราชบุรี ที่วงเวียนช้าง หน้าสถานีรถไฟ เขตเทศบาลเมืองบ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง

จ.บุรีรัมย์ ที่ข้างคลองละลมโบราณ ใกล้สวนรมย์บุรี เขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จ.นครศรีธรรมราช ที่ลานสวนศรีธรรมาโศกราช อ.เมือง จ.พัทลุง ที่สวนสาธารณะสวนหลวง ร. 9 เขตเทศบาลเมืองพัทลุง จ.ภูเก็ต ที่วงเวียนสุรินทร์ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง

**"ไทยสปริง"เปิดฉากเขย่ารัฐบาล

เพจไทยสปริงฟอรั่ม ได้มีการโพสต์คลิปชุมนุมออนไลน์ ครั้งที่ 1 “ทำไมไทยสปริง ทำทรราชข้างมากให้ชัดเจน”เมื่อเวลา 18.00น. ของวันที่ 23 มิ.ย.56 ซึ่งเป็นไปตามปฏิทินไทยสปริงฟอรั่ม ที่จะจัดชุมนุมออนไลน์ เสมือนจริงเพื่อให้ความรู้กับประชาชนเตรียมความพร้อมให้คนไทยตกผลึกทางความคิดก่อนถึงเดือนสิงหาคม ที่รัฐบาลจะพิจารณาร่างกฎหมายปรองดอง และนิรโทษกรรม ในที่ประชุมสภา ซึ่งจะเป็นการทำลายระบบกฎหมาย ล้มล้างอำนาจตุลาการอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับประเทศใดในโลกมาก่อน โดยมีการแบ่งกิจกรรมการชุมนุมออกเป็น 6 ตอน คือ
1 .ทำไม ไทยสปริง “ทำทรราชข้างมากให้ชัดเจน 2. รัฐบาลขี้หมูไหล ฉายภาพรัฐบาลหุ่น เหลวไหล พึ่งพาไม่ได้ 3. รถรางคันนั้น ชื่อปรารถนา ชี้บ่งชุดนโยบายประชานิยม ที่กำลังลากจูงประเทศไปสู่หายนะ 4 . ..เหยียบเมฆ สังเคราะห์ความยอกย้อนล้ำลึกของคอร์รัปชันระบอบทักษิณ 5 . ลงแขกแล้วสู่ขอ ร่วมคลี่คลายความลวงโลกของร่างกฎหมายปรองดอง และ 6. แข็งข้อ พวกทรยศ ทำความเข้าใจสิทธิแข็งข้อของประชาชน ที่รัฐธรรมนูญปัจจุบันรองรับไว้

โดยในตอนแรกมีวิทยากรประกอบด้วย นายแก้วสรร-ขวัญสรวง อติโพธิ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ผู้ประสานงานไทยสปริง และนายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการปฏิรูปกฎหมาย มี จิตกร บุษบา เป็นพิธีกร บนเวที

พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวถึง เหตุผลที่ชักชวนให้ประชาชนร่วมกันแข็งข้อพวกทรยศ เพราะทนพฤติกรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ไหว ที่ให้ร้ายประเทศไทยจากการปาฐกถาที่ อูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการรวบรวมรายชื่อประชาชน เพื่อคัดค้าน และจัดการชุมนุมออนไลน์ ให้ความรู้กับประชาชนในการต่อสู้กับรัฐบาลที่ไม่ได้ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

“มีการตั้งคำถามมากครับว่าเราจะปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังกันรึเปล่า ไม่ใช่ ...สิ่งที่เราไม่อยากเห็นที่สุดคือความเกลียดชังของคนไทยด้วยกัน เราอยากจะเห็นความรักใคร่ ปรองดอง ปรองดองแบบเรานะ ไม่ใช่ปรองดองแบบเฉลิม อยากจะเห็นความเข้าใจของคนไทย หรือความสามัคคี ความสามมัคคี ที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งแล้วรับสั่งอีกว่า เป็นปัจจัยสำคัญของการอยู่รอดของประเทศไทย ถามอีกว่าเราต้องการไล่รัฐบาลนี้หรือเปล่า ตอบว่า เราต้องการไล่รัฐบาลนี้ แต่เป็นการไล่ตามกฏหมาย ตามสิทธิที่เรามีอยู่ ตามรัฐธรรมนูญ เป็นการไล่แบบผู้ดีไล่ ไม่ใช่กุ๊ยไล่ เพราะฉะนั้น รับรองได้ว่าไม่มีแน่นอน ที่จะไปทำอะไรนอกกฏหมาย เราทำอย่างเปิดเผย สงบ ปราศจากอาวุธ อาวุธของเรามีแค่นี้ ”(ยกไมค์ ขึ้นชู )

**"ยิ่งลักษณ์"แค่พริตตี้ระบอบทักษิณ

ด้านนายแก้วสรร และ นายขวัญสรวง แสดงความเป็นกังวลต่อความขัดแย้งในสังคมไทย ที่หยั่งรากลึกจนทำให้เกิดความแตกแยกถึงระดับครอบครัว ซึ่งทั้งหมดล้วนมีที่มาจากระบอบทักษิณ ที่ใช้เงินซื้ออำนาจ ใช้อำนาจสร้างฐานกำลัง แสวงหาประโยชน์ นำเงินกลับมาซื้ออำนาจ ทำลายวัฒนธรรมที่ดีงามของระบอบประชาธิปไตย ด้วยการสร้างความเข้าใจผิด บิดเบือนความจริง บริหารประเทศบนความเกลียดชัง เพื่อประโยชน์ทางการเมือง จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องลุกขึ้นมาต่อต้าน ไม่ให้ระบอบทักษิณ ครอบงำระบอบประชาธิปไตยของไทย เพื่อไม่ให้ความเป็นปรกติสุขของประเทศถูกทำลาย เพราะตอนนี้มีการทำลายสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค จนทำลายความสมานฉันท์ของคนในประเทศจนหมดสิ้น

นายแก้วสรร ยกตัวอย่างว่า การที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ บอกว่า จะไม่สร้างศูนย์ประชุมนานาชาติที่ภูเก็ต เพราะไม่ได้เลือก ส.ส.เพื่อไทยแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้สร้างความเสมอภาคให้เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ ทั้งที่เลือกตั้งเพื่อทำงานส่วนรวม ไม่ใช่การได้สัมปทานที่จะไปทำอะไรก็ได้

“สิงหานี้รัฐบาลจะล้างผิด ตั้งแต่ ด่าในหลวง วางเพลิง ยิงคน ถือเป็นคดีการเมืองไม่ผิดทั้งหมด ใครวางเพลิง ใครด่าในหลวง พวกคุณทั้งนั้น แสดงว่าพวกคุณจะอยู่เหนือกฎหมาย คนอื่นทำผิดติดคุกโว้ย พวกข้าไม่ต้องติด คนอื่นคอร์รัปชั่น ติดคุก นายข้าไม่ผิด ความเสมอภาคหายไป พวกเราที่เป็นเสียงข้างน้อยในหีบเลือกตั้งยอมมั้ยครับ ก็มีคำถามว่า กูจะอยู่กับมึงทำไม ภาษีกูก็เสีย คนภูเก็ตบอกว่า เขาเสียภาษีให้คนภูเก็ตใช้คนอื่นอย่ามาใช้ ก็ไม่เอา ภายใต้ระบอบทักษิณ เล่นพวกเล่นพ้อง สร้างความเกลียดชัง คุณทักษิณก็เคยพูด ใครเลือกเรา เราให้ก่อน การเลือกตั้งไม่ใช่ให้สัมปทาน ระบอบทักษิณจึงอ้างความเสมอภาคทางการเลือกตั้งมาทำลายความเสมอภาคในทางสิทธิเสรีภาพของประชาชน ส่วนนายกฯ เป็นแค่พริตตี้ของระบอบทักษิณ เท่านั้น กฎหมายไม่ได้เป็นใหญ่ แต่ตีนมาเป็นใหญ่ ถูกละเมิดสิทธิสารพัด จะชุมนุมก็เห็นหน้าเอกยุทธ ลอยมา นี่คือบรรยากาศที่รัฐบาลสร้างขึ้น” นายแก้วสรร กล่าว

นายแก้วสรร กล่าวด้วยว่า เราไม่ต้องการยุแหย่ให้เกิดความเกลียดชัง แต่เราต้องรู้ว่าความเกลียดชังเกิดจากอะไร เพราะฉะนั้น ทำไมไทยสปริง นี่คือคำตอบว่าการสร้างระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม เอาระบอบทักษิณเป็นราหูมาอมจันทร์ เป็นทรราชเสียงข้างมาก อ้างชนะเลือกตั้งแต่ทำลายหมด ทั้งสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค อย่างนี้ไม่เรียกว่าประชาธิปไตย

** เตือนไทยจะหายะตามรอย"ฮิตเลอร์"

นายบรรเจิด กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นแค่เสื้อคลุมประชาธิปไตย เนื้อในเผด็จการ โดยชี้ว่า ประเทศประชาธิปไตยมี 4 หลัก คือ มีเสรีในการเลือกตั้ง มีเสรีในการตั้งพรรคการเมือง การสมัครรับเลือกตั้งต้องเสรี และผู้แทนของประชาชนต้องมีเสรีในการตัดสินใจ แต่ประเทศไทยขาดเสรีในการลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะต้องสังกัดพรรคการเมือง และไทยเป็นประเทศเดียวที่บังคับให้สังกัดพรรคการเมือง จนเปิดช่องให้ระบอบทักษิณเติบโตอย่างเข้มแข็งมาก

นอกจากนี้ไทยยังไม่มีเสรีภาพของผู้แทน ที่จะต้องตัดสินใจโดยสำนึกของตน แม้จะมี รธน.คุ้มครอง แต่ก็มีบทบัญญัติห้ามไม่ให้ส.ส.ละเมิดมติพรรค จะต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค และส.ส. ในขณะที่พรรคการเมืองเป็นบริษัทจำกัด เป็นสมบัติส่วนบุคคลของทุน คุมสภาผู้แทนราษฎร คุมฝ่ายบริหาร ระบบเสียงข้างมากไม่ยึดอุดมการณ์ ทำตามกระเป๋าเงินคุมอำนาจทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ทำให้ตำแหน่งต่าง ๆ ต้องบินไปฮ่องกง ดูไบ สะท้อนว่าไทยไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตยทั้งในแง่วิชาการและความเป็นจริง

“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอาการของโรคเผด็จการ เช่น เป็นส.ส.อยู่แล้วลาออกมา สมัครส.ส. ทำตามความต้องการของคนมีอำนาจสั่งการประเทศนี้ได้ทุกอย่าง นี่คือโรคไม่เป็นประชาธิปไตยที่ถูกชาวดอนเมืองสั่งสอน เพราะฉะนั้นเสื้อคลุมประชาธิปไตยเนื้อใดเผด็จการรัฐสภาของพรรคการเมืองนายทุน สูบความมั่งคั่งไปสู่ชนชั้นนำ สุบความมั่งคั่งจากงบประมาณแผ่นดิน สินทรัพย์ของประเทศไปอยู่ที่คนกลุ่มเดียว ผ่านเครื่องมือเผด็จการรัฐสภาจากการรวมศูนย์กลไกราชการในการสั่งการ ยังไม่รวมเครือข่ายอันธพาล นักเลง นี่คือสิ่งที่กลืนกินประเทศไทยทุกขณะจิต เป็นอันตรายที่คนไทยกำลังเผชิญอยู่”นายบรรเจิด กล่าว

นายบรรเจิด กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างเสียงข้างมาก กับศาลรัฐธรรมนูญ และมวลชนของกลุ่มการเมืองนั้น ตนอยากชี้แจงว่าศาลรัฐธรรมนูญ เป็นระบบที่ออกแบบจากประเทศเยอรมัน จากประสบการณ์เจ็บปวดของเผด็จการนาซี จนมีการปฏิรูปประเทศใหม่ในปี 1948 มีการวางรากฐานประเทศใหม่ ด้วยหลักคิดว่า เราไม่อาจปล่อยให้ประเทศถูกกำหนดทิศทางโดยเสียงข้างมากโดยลำพัง นี่คือการสรุปจากความหายนะของประเทศเยอรมันจนต้องปฏิรูปประเทศวางโครงสร้างทางการเมืองใหม่ จึงสร้างกลไกถ่วงดุลเสียงข้างมากในสภาด้วยการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเทศไทยไม่ได้เป็นระบบรัฐสภาตามแบบอังกฤษแต่เป็นระบบที่ผูกพันภายใต้รัฐธรรมนูญ คือมีศาลรัฐธรรมนูญมาถ่วงดุลว่าอำนาจต้องใช้ภายใต้รัฐธรรมนูญมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดไม่ให้มีการใช้อำนาจเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนด พร้อมกับยกตัวอย่างฮิตเลอร์ว่าก้าวขึ้นสู่เผด็จการโดยอาศัยบันไดประชาธิปไตยที่มอบอำนาจให้ จุดอ่อนประชาธิปไตยคือกินตัวเอง เพราะจะขยายอำนาจทำลายการตรวจสอบจนทำลายตัวเองในที่สุด และในขณะนี้ไทยกำลังเดินตามรอยเยอรมันอยู่

นายบรรเจิด กล่าวว่า คนไทยต้องให้กำลังใจศาลรัฐธรรมนูญในการถ่วงดุลกับฝ่ายบริหารที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ โดยศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันใช้อำนาจเพื่อพิทักษ์กติกาประชาธิปไตย พิทักษ์คุ้มครองฝ่ายข้างน้อย และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทำให้อำนาจเกิดดุลยภาพ แต่วันนี้ประเทศไทยกำลังหายนะ ถ้าคนไทยไม่ช่วยกันลุกขึ้นมาถ่วงดุลชาวยศาลรัฐธรรมนูญ ถ่วงรั้งไม่ให้ประเทศไปสู่หายนะ จากเสื้อคลุมประชาธิปไตยเนื้อในเผด็จการที่เอาประชาธิปไตยมาสร้างความชอบธรรม อ้างเป็นตัวแทนประชาชนทั้งที่เนื้อในเน่าเฟะ เหลวแหลกนำชาติไปสู่หายนะ โดยมีการอาศัยงบระมาณแผ่นดินไปยึดกุมฐานเสียงผ่านประชานิยมสร้างความเข้มแข็งให้เผด็จการ เพื่อกลืนกินประเทศอย่างราบคาบโดยอาศัยเงินของประชาชนมาทำลายแผ่นดินของประชาชน แผ่นดินสุวรรณภูมิอาจจะเหลือเพียงชื่อในอนาคตข้างหน้าเพราะถูกกลืนกินไป นี่คือหายนะที่รออยู่ข้างหน้าของประเทศไทย

“ผมถามว่าการขาดทุนในโครงการจำนำข้าวไม่มีความรับผิดชอบขอสังคมประชาธิปไตยหรือ เราต้องถามว่าอะไรคือความรับผิดชอบต่องบประมาณแผ่นดินที่สูญเสียไปเป็นเงินหลายล้านล้าน แต่เขาไม่สนใจเพราะจะใช้งบประมาณเพื่อยึดกุมสร้างฐานที่มั่นในทางประชาธิปไตยเพื่อเผด็จการ ซึ่งต้องไม่ลืมว่าการที่ประชาชนมอบอำนาจให้ใช้อำนาจรัฐที่ทำเนียบรัฐบาลก็เพื่อให้ตอบสนองต่อประโยชน์สาธารณะ เมื่อใดก็ตามที่คุณใช้อำนาจนี้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง คุณคือผู้ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ผู้ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนไม่มีความชอบธรรมแม้แต่นาทีเดียวที่จะนั่งในตำแหน่งอีกต่อไป” นายบรรเจิด กล่าว

** หลอมรวมใจไล่รัฐบาลเก๊

พล.ต.อ.วสิษฐ สรุปจุดยืนของไทยสปริง โดยขอให้คนไทยหลอมรวมใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อแข็งข้อต่อสู้กับพวกทรยศ โดยไม่แบ่งแยกสี และย้ำว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นตัวจักรสำคัญที่จะค้ำจุนประชาธิปไตยอย่าปล่อยให้กุ๊ยไปไล่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ประชาชนควรไปให้กำลังใจศาลรัฐธรรมนูญด้วย พร้อมกับยกพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวสยาม” ถือเป็นสัญญาที่พระองค์ทรงให้ไว้กับประชาชน ในขณะที่รัฐบาลเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระมหากษัตริย์ และการปฏิญาณตนของสภา เก๊หมด เพราะคนที่สั่งให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีอยุ่ที่ดูไบ ประธานรัฐสภา เอามติของสภาไปทูลเกล้าฯว่าเลือกนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี จึงเป็นการโกหกพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงต้องลงพระปรมาภิไธยตามรัฐธรรมนูญ ท่านไม่มีทางเลือก แต่ทั้งหมดคือการโกหกเป็นลำดับ สภาโกหก ประธานสภาโกหก ในที่สุดตนจึงบอกว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเก๊ สภาก็เก๊ รับไม่ได้ทั้งสองอย่าง.
กำลังโหลดความคิดเห็น