xs
xsm
sm
md
lg

ไทยสปริง ชี้จัดการน้ำถ้าหน้าด้านทำก็รอดยาก เชื่อ “ทักษิณ” ป่วยจิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายแก้วสรร อติโพธิ ผู้ก่อตั้งกลุ่มไทยสปริง (แฟ้มภาพ)
“แก้วสรร” ซัดระบอบทักษิณเครือข่ายถอนทุน ทุจริตนโยบาย ไม่กลัวตรวจสอบ แถมล่อ ผบ.ทัพอยู่ ฝ่าฝืนกฎหมาย บอกชาติได้คนตอแหลเป็นนายกฯ ลั่นฟ้องมาจะได้เอาหลักฐานโชว์ แฉ รมช.รับใช้แม้วตั้งแต่อยู่สรรพากร ขู่จัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ถ้าหน้าด้านทำก็รอดยาก “ต่อตระกูล” บอกทายไม่ผิดเกาหลีได้งาน “ขวัญสรวง” เชื่อ “ทักษิณ” ป่วยทางจิต คลั่งยิ่งใหญ่

วันนี้ (14 ก.ค.) เว็บไซต์เฟซบุ๊กไทยสปริง ได้จัดชุมนุมบนสังคมออนไลน์ครั้งที่ 4 โดย นายแก้วสรร อติโพธิ แกนนำกลุ่มไทยสปริง กล่าวถึงขบวนการคอร์รัปชันของระบอบทักษิณว่า เริ่มลงทุนก่อตั้งพรรคไทยรักไทย 4 พันกว่าล้านบาท ตั้งสาขาเพิ่มความศรัทธาจากอำนาจรัฐเป็นเครือข่ายถอนทุน โดยไม่แยแสกฎเกณฑ์ เริ่มทุจริตจากระดับนโยบาย โดยมีขุนนางสวามิภักดิ์ ตั้งแต่ปลัดกระทรวง อธิบดี และบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ที่สั่งการได้มาทำงานให้ และต้องมีคุณสมบัติปากแข็งไม่ซัดทอด ซึ่งในขณะนี้รัฐบาลก็มีการแต่งตั้งคนของตัวเอง ตั้งแต่ปลัด อธิบดี บอร์ดรัฐวิสาหกิจ และกำลังจะเอากองทัพอีก กระบวนการคอร์รัปชันดังกล่าวจะไม่กลัวองค์กรตรวจสอบ เพราะจะเลือกเอาคนที่เคยร่วมทำผิดมาด้วยกัน ดังนั้นคนที่เป็นใหญ่ในระบอบทักษิณจะเป็นคนที่เคยหากินร่วมกันมาก่อน เป็นแรงโน้มถ่วงที่คนเลวไหลมารวมกันงับเบ็ด และตอนนี้กำลังล่อ ผบ.เหล่าทัพอยู่ ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูใจกัน

นายแก้วสรร กล่าวว่า อีกทั้งกระบวนการคอร์รัปชันของระบอบทักษิณจะมีการพลิกแพลงระบบกฎหมายเพื่อแสวงหาประโยชน์ เช่น การอ้างว่าเงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน ใช้มติ ครม.มาเป็นฐาน หรือหากจำเป็นก็จะทำถึงขั้นแก้กฎหมาย เหมือนที่เคยทำมาแล้ว จากกรณีการแก้กฎหมายเพิ่มเพดานถือหุ้นของต่างชาติในกิจการโทรคมนาคมจาก 25% เป็น 49.99% แก้วันนี้พรุ่งนี้ขายหุ้นให้สิงคโปร์เลย ทั้งที่กฎหมายยังไม่ผ่าน ระบอบทักษิณจึงไม่กลัวกฎหมาย พร้อมแก้ไขได้ และจะมีการหากินจากการเพิ่มมูลค่ากับตัวโครงการ จึงสรุปได้ว่า ขบวนการทุจริตจะประกอบด้วย ระดับสูง ฝืนกฎหมาย กินส่วนต่างมูลค่า หรือโครงการที่สร้างขึ้นมา เช่น กรณีการเพิ่มมูลค่าหุ้นชินคอร์ป จนมีมูลค่าสูงขึ้นโดยใช้อำนาจรัฐมากำหนดนโยบาย ปรนเปรอธุรกิจของตัวเองอย่างหน้าด้าน มีการแก้ไขสัญญาถึง 5 ครั้ง ส่วนรัฐเสียหายนับแสนล้าน ทำให้ศาลฎีกาฯตัดสินว่าเป็นทรัพย์ที่ไม่ควรได้จนนำไปสู่การยึดทรัพย์ และยังมีการซุกหุ้นไว้ที่คนในครอบครัว การซื้อขายจ่ายเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นเรื่องหลอกทั้งนั้น

“นายกฯยิ่งลักษณ์ก็เหมือนกันได้เงินปันผลก็ส่งให้คุณหญิงพจมานหมด โกหกศาลว่าซื้อเพชรพลอย เล่นเงินตรา เราได้คนตอแหลเป็นนายกฯ ทุกวันนี้ก็โกหกตลอด คนโกหกไม่โกหกวันเดียว ฟ้องก็ฟ้องมา ตนจะได้เอาหลักฐานยืนยันในชั้นศาล นอกจากนี้ยังไม่เสียภาษี กรมสรรพากรเขาเรียกกันเลยว่าเป็นแผนกชินคอร์ป คนที่เป็นหัวหน้าแผนกก็เป็น รมช.ในขณะนี้ คนที่รับใช้ทักษิณตั้งแต่อดีตก็ยังรับใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้” นายแก้วสรร กล่าว

นายแก้วสรร กล่าวด้วยว่า ในอดีตมีการเรียกกรมสรรพากรว่าเป็นแผนกชินคอร์ป ประเมินยกเว้นภาษี หัวหน้าแผนกตอนนี้เป็นรัฐมนตรีช่วย ถ้าสวามิภักดิ์แล้วไม่ต้องห่วง รุ่นก่อนก็มีก่อนผู้หญิงคนนี้อีก เป็นคนที่เคยดึงคดีภาษีชินหนีภาษีออก แล้วก็ขึ้นเป็นอธิบดี ก่อนจะเป็นรัฐมนตรี ระบอบทักษิณได้สยายปีกยึดข้าราชการให้มารับใช้ได้ทั้งระบบ บิดเบือนกฎหมาย ใช้อัยการ กฤษฎีกาเป็นลูกคู่

นายแก้วสรร กล่าวว่า ยกตัวอย่างการปล่อยเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ให้พม่า 4,000 ล้านบาท ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ในตอนแรกให้กู้ 3,000 ล้านบาท มีการอ้างว่าช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้าน แต่มาขอเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท ซื้อสินค้าชินแซทเทิลไลท์ ซึ่งคณะของบริษัทนี้ขึ้นเครื่องบินลำเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปย่างกุ้ง แยกทีมเจรจาให้ผู้นำพม่าซื้อสินค้าของตนเอง เพราะตอนนั้นจีนกำลังแย่งตลาดดาวเทียม นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปด้วย แสดงว่ามีการชงให้พม่ากู้เพิ่ม โดย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกให้นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.คลัง สมัยนั้น อนุมัติ แต่ นายสุรเกียรติ์ ชี้แจงว่าไม่สามารถทำได้ เพราะชินแซทเป็นของนายกรัฐมนตรีไทย เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ บอกให้ส่งเรื่องมา ไม่ต้องรับผิดชอบเดี๋ยวสั่งเอง เชื่อว่าพม่าคงไม่คบแล้ว เพราะล่าสุดมีการพูดพาดพิงอีก นี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้ว

นายแก้วสรร ยังกล่าวถึงการทุจริตในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ผ่านการทำโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำจากเงินกู้ 3.5 แสนล้าน ว่าการทำโครงการดังกล่าวจะมีปัญหาตามมามากเพราะไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ เกี่ยวกับปัญหาน้ำเค็มและน้ำท่า และการไม่ทำประชาพิจารณ์รวมถึงการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมก่อนทำสัญญาจะทำให้ผิดกฎหมาย ซึ่งตนคิดว่าถ้าหน้าด้านทำในทางกฎหมายรอดยาก เพราะกฎหมายเขียนว่าก่อนดำเนินการในกิจการที่กระทบถึงสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา จึงต้องทำก่อนเซ็นสัญญาอีกทั้งการรวมกลุ่มงานไว้ด้วยกัน โดยไม่มีราคากลาง แต่ให้เอกชนเป็นผู้กำหนด ขณะที่รัฐบาลตั้งงบประมาณวงเงินสูงๆ แล้วจ่ายเงินตามจริงซึ่งมันกำหนดไม่ได้

“ดังนั้น 24% ที่จะต้องจ่ายผมคิดว่าเป็นระบบที่กำหนดขึ้นมาเพื่อทุจริต แล้วลองคิดดูว่า 24% ของ 3.5 แสนล้าน เป็นเงินเท่าไหร่ นอกจากนี้จะมีการเหมาช่วง โดยคนที่อนุญาตให้เหมาช่วง คือรัฐบาลซึ่งจะเป็นคนออกตั๋วและจะเป็นคนเก็บตั๋ว จะมีเช็คสองใบให้ผู้รับเหมาอีกใบหนึ่งต้องไปให้คนเก็บตั๋ว นี่คือรูที่จะเกิดการทุจริต” นายแก้วสรร กล่าว

ด้าน นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า มีการใช้วิธีวิเศษสร้างระบบใหม่ เอางานแต่ละกลุ่มมาใส่กระจาดเดียวกัน เพื่อให้เป็นเงินก้อนใหญ่ให้มีการเจรจาเจ้าเดียว ไม่ผ่านกระบวนการปกติ เช่น การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และยังให้ผู้รับเหมาทำทุกอย่าง ตั้งแต่ออกแบบ ทำประชาพิจารณ์ เวนคืนที่ดิน และทำการศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย ผลประโยชน์จึงขัดแย้งกัน

“โครงการนี้เป็นโครงการแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีกฎหมายเรื่องสิ่งแวดล้อมที่จะเซ็นสัญญากับผู้รับเหมาโดยไม่มีการทำประชาพิจารณ์และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ต้องทำก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญา การออกแบบไปก่อสร้างไปจะต้องมีความชำนาญมาก อย่างกรณีโฮปเวลล์ก็ทำแบบนี้จนกระทั่งสร้างไปถึงจุดที่จะต้องเลี้ยวที่ไม่พอไปขอที่การรถไฟฯ การรถไฟฯก็ไม่รู้ ไปถามรัฐมนตรีก็พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว จะไปข้างบนก็ไม่ได้ผ่านสวนจิตรลดา เกิดปัญหาที่ไม่คิดไว้ก่อน เหมือนกับเขื่อนที่ตอนนี้มีแต่แบบคร่าวๆ รายละเอียดก็ยังไม่มี” นายต่อตระกูล กล่าว

นายต่อตระกูล กล่าวว่า รัฐบาลมักจะพอกส่วนต่างไว้เสมอและออกแบบไม่ให้มีการแข่งขัน ซึ่งตนเคยทายไว้แต่ต้นว่าใครจะได้งาน และก็เป็นไปตามนั้น เควอเตอร์จะได้งานใหญ่ และมีการแข่งขันแบ่งกันแค่สองราย ทำให้ลดราคาได้น้อย ไม่บอกวิธีตัดสิน นอกจากนี้ยังเกิดความสับสนก่อนผลการประมูลจะออกมาสองสัปดาห์ โดยนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า อิตาเลียนไทยจะได้งาน ฟลัดเวย์ แต่ผลกลับออกมาว่าเป็นเควอเตอร์ ทั้งที่เกาหลีมีความชำนาญเรื่องสร้างเขื่อน แต่เควอเตอร์มีผลงานสร้างฟลัดเวย์แค่ 10 กว่าไมล์ และมีปัญหาด้วย แต่กลับได้งานที่ชำนาญน้อย

“ผมติดตามความเปลี่ยนแปลงของ พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่ามีปัญหาเรื่องสมอง อาจจะมีปัญหากินเหล้ามาก อดนอน ใช้ถั่งเช่า ไวอะกร้า มาก จนทำให้สิ่งที่คิดว่าฉลาดเฉลียวกลับผิดหมด แล้วไปด่าคนอื่นว่าโง่ด้วย เช่น การจำนำข้าวบอกคิดคนเดียวได้ผล ด่าเวียดนามด้วย ทั้งที่ไม่มีหลักคิด จึงคิดว่าเขาหมดสภาพแล้ว แต่เราก็แย่เพราะต้องไปรองรับอารมณ์มัน ผมคิดว่าเขาป่วย” นายต่อตระกูล กล่าว

ด้าน นายขวัญสรวง อติโพธิ ผู้ประสานงานไทยสปริง หยิบยกจุดกำเนิดรถไฟตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมเมืองเข้าเป็นประเทศ ทำให้เกิดการพัฒนา กู้เท่าที่จำเป็น แตกต่างจากรถไฟความเร็วสูงของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งความจริงหากจะสร้างรถไฟความเร็วสูงจะต้องเชื่อมภูมิภาคให้มีความสัมพันธ์กัน ไม่ได้ยุ่งกับสองข้างทาง โดยประเทศจีนกำลังทำอยู่ ถ้าเราจะร่วมก็ต้องเชื่อมกับจีน ไปสิงคโปร์

“แต่ที่ตลกคือรัฐบาลนี้ กู้มาแค่โคราช มาแค่เชียงใหม่ มาแค่หัวหิน ทำหาพ่อมึงเหรอ ผมเชื่อว่าเขาไม่โง่ แต่ตอนนี้กำลังเกทับจีน ญี่ปุ่น เอาเงินไว้สร้างน้ำหนัก ในขณะที่รัฐบาลร้อยกว่าปีที่แล้วเป้าหมายเพื่อประเทศชาติ แต่ ครม.ชุดนี้ทำอะไร ผมเห็นด้วยกับนายต่อตระกูล ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังป่วยทางจิต ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 ชนิด คือ จิตเสื่อม คลั่งยิ่งใหญ่ บ้าหนัก ซึมเศร้า ปัญญาอ่อน ประสาทหลอน บ้ากาม อัมพาตไม่มีเรี่ยวมีแรง โดยมีนายแพทย์คนหนึ่งชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ป่วยประเภท “คลั่งยิ่งใหญ่” นายขวัญสรวง กล่าว

พล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร ผู้ประสานงานไทยสปริง กล่าวถึงปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามีรากฐานมาจากโมหะ หลงผิด สิ่งที่ควรเห็นถูกเป็นผิด จึงมีอย่างอื่นตามมา โมหะจึงเป็นตัวการทำให้เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเห็นผิดเป็นถูกเห็นผิดเป็นชอบ
กำลังโหลดความคิดเห็น