สะเก็ดไฟ
“ดิฉันขอยืนยันว่าถึงแม้รัฐบาลชุดนี้จะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ดิฉันเชื่อเสมอว่าในระบอบประชาธิปไตย ต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ และต้องให้เกียรติและรับฟังเสียงส่วนน้อยควบคู่กันไป เพราะประชาธิปไตยเป็นของทุกคน ไม่ใช่เป็นของเฉพาะผู้ประสบชัยชนะทางการเมืองจากการเลือกตั้ง โดยการคงกติกาการรักษาความเสมอภาคและเท่าเทียมกันแก่ทุกคน”
ข้อความข้างต้นคำแถลงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เรื่องข้อเสนอทางออกประเทศไทยผ่านทีวีพูลเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา
เป็นการแถลงแสวงหาความ “ปรองดอง” หลังจากที่ ครม.เพิ่งจะประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ไปหมาดๆ เพื่อสกัดประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับกลางซอยของ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และตำรวจโชว์อาวุธปราบประชาชนในเชิงข่มขู่ผ่านสื่อหลัก
นี่คือวิธีการปรองดองแบบ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่จะใช้วูแมนทัช แก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศเลยไปจนถึงเสนอหน้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้
ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่ารับฟังเสียงข้างน้อย สภาที่พิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งเธอไม่ได้เข้าร่วมประชุมสภาด้วย ใช้เสียงข้างมากลากให้ปิดอภิปรายในขณะที่ฝ่ายค้านได้อภิปรายเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น
ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์บอกว่า ให้สิทธิเสรีภาพกับสื่อสารมวลชนอย่างเต็มที่ เธอสกัดนักข่าวช่อง 7 ไม่ให้ร่วมคณะไปทำข่าวทีวีพูลที่กัมพูชา มีการคัดกรองสื่อมวลชนที่จะเดินทางไปต่างประเทศกับคณะรัฐมนตรี โดย “แก๊งไอติม” ตัวพ่อที่คอยแทรกแซงออกใบสั่งไปยังสื่อทีวี
ในขณะที่ยิ่งลักษณ์บอกว่า เปิดกว้างให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี เธอไล่ฟ้องดะทุกคนที่วิพากษ์ วิจารณ์การกระทำอันไม่เหมาะสมของเธอ ตั้งแต่กรณี ว.5 โฟร์ซีซั่น ไปจนถึงการไล่ล่ามือแฮกเกอร์เว็บสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความประจานพฤติกรรมผู้นำหญิงไทยเป็นภาษาอังกฤษแปลความได้ว่า “ฉันเป็นหญิงบ้าที่สำส่อน” และ “ฉันรู้ว่าฉันคือนายกรัฐมนตรีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย
ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ต้องให้เด็กไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อจะได้มีความรู้กว้างไกลเหมือนย่อโลกมาอยู่ในมือ ด้วยการแจกแท็บเล็ตให้กับเด็ก ป.1 ไปจนถึงการแจกแท็บเล็ตให้ ส.ว.และ ส.ส.
แต่รัฐบาลของเธอกลับปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นผ่านโลกอินเทอร์เน็ต ราวกับประเทศไทยเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่บริหารแบบเผด็จการ ไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตยที่รัฐบาลภาคภูมิใจว่าได้ฉันทานุมัติจากประชาชนถึง 15 ล้านเสียง มาสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองว่า ทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การจำกัดสิทธิประชาชน และการละเมิดกฎหมาย
ไอซีทีมีผลงานดีเด่นในการปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรีให้กับยิ่งลักษณ์ ด้วยการแบน Simsimi หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “เจ้าลูกเจี๊ยบ” เพียงเพราะว่ามันดันฉลาดตอบโต้กับคนขี้เหงาได้เป็นเรื่องเป็นราวและเสียดแทงใจผู้นำหญิงเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเป็นความจริงก็ตาม
เพราะเมื่อพิมพ์คำว่า “ยิ่งลักษณ์” มันก็จะตอบกลับมาตรงประเด็นทันทีว่า “โง่” ถ้าพิมพ์คำว่า “ทักษิณ”เจ้าเจี๊ยบก็จะตอบมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขายชาติ” และยังมีอื่นๆ อีกมากมาย ก็เลยทำให้ไอซีที่ต้องรีบแบนแอปพลิเคชันดังกล่าว ภายใต้ความคิดว่าแตะตระกูลพ่อพวกมึงไม่ได้ แต่ปล่อยให้เปิดเว็บพ่อของแผ่นดินกันโจ๋งครึ่ม
เมื่อโลกโซเชียลมีเดียกลายเป็นแหล่งอันตรายสำหรับความมั่นคงของ ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ และรัฐบาล เพราะแทบจะเป็นสื่อเดียวในขณะนี้ที่รัฐควบคุมไม่ได้ จนทำให้ ยิ่งลักษณ์ เกิดอาการ “แน่นอก” ต้อง “ยกออก”
ความจริงที่ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจคือ ยิ่งลักษณ์ ได้ตั้ง “คณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ” มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่วางกรอบนโยบายเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์!
อาการตื่นตูมที่รัฐบาลประชาธิปไตยคิดเข้ามาควบคุมโลกออนไลน์เริ่มจากโพสต์ของชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ชื่อดังจากค่ายหัวเขียวที่ใช้ข้อความกระชับ แทงใจดำยิ่งลักษณ์อย่างแรงด้วยข้อความว่า “โปรดเข้าใจ กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” หลังไป “อูลานบาร์ตอแหล” ด่าประเทศตัวเอง
แน่นอนว่า มีการฟ้องร้องตามมาเป็นคดีความอยู่จนถึงทุกวันนี้และยังมีกุ๊ยแดงตามไปราวีถึงสำนักพิมพ์ คุกคามกันถึงบ้าน กระทั่งเจ้าตัวต้องประกาศปิดเฟซบุ๊คเป็นการชั่วคราว
ต่อมาก็เป็นคิวของพิธีกรคนค้นคนเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในข้าวถุงผ่านเฟซบุ๊ค จนมีการฟ้องหมิ่นประมาทกันใหญ่โตสุดท้ายก็จบที่ไกล่เกลี่ยและจับพิธีกรคนดังกล่าวไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ข้าวถุงปลอดภัยซะงั้น ถ้าไม่ยอมก็จะโดนหนักทั้งหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
กระทั่งมีการใช้เพจการเมืองจำนวนมากเป็นพื้นที่วิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และนัดแนะชุมนุมเพื่อต่อต้านพฤติกรรมทรามของรัฐบาลเผด็จการในคราบประชาธิปไตย
ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ ปอท.ดำเนินคดีกับผู้โพสต์ข้อความข่าวลือการปฏิวัติ 4 ราย รวม นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคงของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทั่งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 4 สถาบัน ต้องร่อนจดหมายเปิดผนึกคัดค้านความเป็น “เผด็จการของรัฐบาลปูนิ่ม”
ขณะที่ ไอซีที ซึ่งถนัดแจกแท็บเล็ตให้กับโรงเรียนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ออกมาขู่ชาวเฟซบุ๊ค จนกลัวกันขี้หดตดหายว่า หากมีการโพสต์ข้อความปลุกระดมทางการเมืองจะมีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง พ.ร.บ.ความมั่นคงและจะขออำนาจศาลปิดเว็บเพจของผู้โพสต์เลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นยังขยายใหญ่โตไปถึงคนกดไลก์ กดแชร์ว่า มีสิทธิติดคุกไม่ต่างกัน
จนเกิดกระแสต่อต้านในโลกออนไลน์อย่างรุนแรงว่า “กดไลก์ไม่ใช่อาชญากรรม” และคำขู่ดังกล่าวก็มิได้ทำให้ชาวเน็ตกดไลก์หรือแชร์ข้อความเกี่ยวกับ “การเมือง” น้อยลงตามที่รัฐบาลสร้างอาณาจักรความกลัวครอบไว้
ล่าสุดเกิดเรื่องฮือฮาไปทั่วประเทศจากการที่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ที่ประกาศจะเจาะข้อมูลส่วนตัวของผู้ที่ใช้ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ วอตซ์แอป และไลน์
โดยเฉพาะ “ไลน์” ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยใช้ถึง 15 ล้านคน โดยอ้างว่าส่งทีมงานเดินทางไปที่ญี่ปุ่น ซึ่งดูแลเซิฟเวอร์ให้กับบริษัท ไลน์ คอร์เปอร์เรชั่น เพื่อขอข้อมูล แลยังโชว์พาวต่อว่า ปอท. มีเครื่องซอฟต์แวร์ที่เป็นตัวเช็คค่าสุ่มเสี่ยง และก่อให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายในเบื้องต้นอยู่แล้ว โดยขู่คำรามต่อว่าจะเน้นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และประเทศชาติ กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และ กระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
จนทำให้ นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ออกมาท้วงติงว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลคล้ายกับการดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งขัดต่อหลักสากล แต่ดูเหมือน พล.ต.ต.พิสิษฐ์ จะมีแบ๊คดีเพราะทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ท้าทายเสียอีกว่า “จะทำแบบประเทศจีน” ซึ่งมีการบล็อกเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิล และยูทิวบ์
ขนาดยิ่งลักษณ์ยังออกมาไฟเขียวกลายๆ ว่า แอปพลิเคชันดังกล่าวคงไม่ไปเกี่ยวข้องหรือเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่หากจะติดตามตรวจสอบก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากกว่า
นั่นก็หมายความว่า “ให้ ปอท.ดำเนินการได้โดยสะดวก” นั่นแหละ
สิทธิขั้นพื้นฐานในการสื่อสารกำลังถูกลิดรอนที่ผูกขาดความเป็นเจ้าของ “ประชาธิปไตย” เป็นการกระตุกเตือนครั้งสำคัญที่ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเห็นหน้าที่แท้จริงของ ยิ่งลักษณ์ ภายใต้การแต่งสีทาปากให้ดูดีว่า มีความเผด็จการเพียงใด
มีหลายประเทศที่เคยทำเหมือนกับที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังดำเนินการอยู่ในวันนี้ สุดท้ายสถานภาพของผู้นำก็สั่นคลอนอย่างหนักหรือถึงขั้นถูกถีบลงจากอำนาจไป ด้วยพลังแห่งมวลมหาประชาชน อาทิ รัฐบาลตูนิเซีย รัฐบาลซีเรีย รัฐบาลอียิปต์ รัฐบาลอิหร่าน ฯลฯ
จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีการจำกัดสิทธิในโลกออนไลน์ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “อาหรับสปริง” อันเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในตะวันออกกลาง
ด้วยการบริหารแบบพี่มาก่อนประชาชนไว้ทีหลัง กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ทุจริตบนความทุกข์ยากของชาวบ้าน ฯลฯ ก็กำลังจะสร้าง “ไทยสปริง” ที่มีสามผู้ประสานงานคือ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร แก้วสรร-ขวัญสรวง อติโพธิ เป็นหัวเชื้ออยู่แล้ว
อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย และจุดจบชนิดอวสานของระบอบทักษิณอย่างสิ้นซาก ชนิดที่จะไม่มีภาคอวตารมาสืบทอดทายาทอีก