ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การเมืองกำลังถูกกระทำให้ระอุเดือดเลือดพล่านอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ก็ได้สร้างความรู้สึกรุ่มร้อนให้กับผู้คนไปทั่วทั้งประเทศ เช่นเดียวกันไฟใต้กำลังถูกกระทำให้คุโชนอยู่บนแผ่นดินด้ามขวาน แต่เปลวไฟก็ได้เผาผลาญผู้คนหัวใจผู้คนไปทั้งชาติได้อย่างสาหัสสากรรจ์ไม่แพ้กัน
ทั้งหมดทั้งปวง แม้จะเป็นฝีมือของบรรดาสมุนบริวารว่านเครือของระบอบทักษิณ แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ว่า ในเบื้องหลังนั้นมันมีเงาทะมึนทึนทึกของสัมภเวสีหนีคุกโหยหาแผ่นดินเกิดไว้ฝั่งกาย ซึ่งเวลานี้ควรจะต้องเรียกขานกันให้เต็มปากเต็มคำและอย่างเต็มยศเสียว่า “นักโทษชาย (นช.) ทักษิณ ชินวัตร”
แม้ห้วงเวลาเดือนรอมฎอน หรือเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้นับถือศาสนาอิสลาม จะเพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ จากการประกาศของจุฬาราชมนตรีให้วันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมาเป็นวันอีฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1434 แต่ยังมีมุสลิมอีกจำนวนมากปฏิบัติศาสนกิจถือศีลอดต่อเนื่องไปราวอีกสัปดาห์หรือสิบวัน จึงนับว่ายังไม่พ้นช่วงเดือนอันศักดิ์สิทธิ์เสียทีเดียว เป็นที่คาดการณ์กันว่าปฏิบัติการสร้างความรุนแรงเพื่อโหมไฟใต้ให้ปะทุคุโชน จึงยังน่าจะดำเนินต่อเนื่องไป
สำหรับเดือนรอมฏอนสำหรับแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปีนี้ กลับมากมายไปด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่งของประชาชนในพื้นที่ และควรต้องรวมถึงคนไทยทั่วทั้งประเทศด้วยว่า รอมฎอนปีนี้จะกลายเป็น “เดือนแห่งสันติภาพ” เนื่องจากรัฐบาลไทยโดย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหัวน้านำคณะไปเปิดเวทีพูดคุยสันติภาพไว้กับกลุ่มที่อ้างว่าเป็นตัวแทนขบวนการแบ่งแยกดินแดในภาคใต้ที่มี นายฮัสซัน ตอยิบ แกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น โคออดิเนต เป็นหัวหน้าทีมไว้แล้ว ซึ่งมีตัวแทนของประเทศมาเลเซียรับเป็นตัวกลาง
ทั้งนี้ เป็นข่าวใหญ่มาตั้งแต่ก่อนเข้าสู่เดือนถือศีลอดของมุสลิมมาแล้วว่า ทั้งฝ่ายรัฐไทยและบีอาร์เอ็นฯ ต่างได้ร่วมกันแสดงเจตนาไว้แล้วว่า จะร่วมมือกันทำให้เดือนรอมฎอนปี 2556 เป็นเดือนที่ปราศจากความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้เป็นเวลา 40 วัน นับจากวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา ไปจนถึงวันที่ 18 ส.ค.ที่จะถึงนี้ โดยทั้งสองฝ่ายจะพยายามลดปฏิบัติการเชิงรุกต่อกัน เพื่อแสดงให้เห็นความจริงใจ พันธะผูกพัน และความจริงจังของทั้งสองฝ่ายในการแสวงหาทางออกต่อปัญหาร่วมกันใน “เวทีการพูดคุยสันติภาพ” ที่ดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา และมีการตั้งโต๊ะเจรจากันอย่างเป็นทางการไปแล้วหลายหน
แต่ปรากฏว่า เมื่อย่างเข้าสู่เดือนรอมฎอน เพียงช่วง 3-4 วันในระยะแรกๆ เท่านั้นที่ปรากฏสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ต่างๆ ดูจะมีความหวัง แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมากลับกลายเป็นเกิดเหตุร้ายขึ้นต่อเนื่อง แถมดำเนินไปในลักษณะที่โน้มเอียงไปในทางที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการยิงรายวัน ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง มอเตอร์ไซค์บอมบ์และคาร์บอมบ์ รวมถึงการวางเพลิงเผาย่านธุรกิจการค้า โรงงาน โรงเรียนและสถานที่ราชการต่างๆ แถมยังมีการเหยียดหยามเยาะเย้ยทั้งติดป้ายผ้าหรือเขียนหนังสือด่าทอรับไทยตามถนนหนทางและสถานที่ต่างๆ
ล่าสุดในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เกิดเหตุอันสุดสะเทือนขวัญคนไทยทั้งประเทศอีกครั้งคือ เหตุการณ์ยิงนายยะโก๊บ หร่ายมณี โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดกลางปัตตานี โดยกลุ่มโจรใต้กระทำการอย่างอุกอาจ ใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะ มือสังหารชายฉกรรจ์ที่ซ้อนท้ายถือปืนแบบโชว์หราไปในตลาดนัดกลางเมืองปัตตานี ก่อนที่จะยิงเข้าใส่เหยื่ออย่างไม่ปราณี แถมไม่หนำใจลงไปจ่อยิงซ้ำจนเสียชีวิตคาที่ เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่เขาและภรรยากำลังเดินจับจ่ายซื้อของเพื่อไปเตรียมอาหารสำหรับออกบวชช่วงค่ำในวันนั้น
สำหรับนายยะโก๊บ หร่ายมณี ไม่ใช่เป็นที่ยอมรับในแวดวงราชการและมุสลิมเท่านั้น แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนาเป็นผู้ที่มีผลงานดีเด่นและมีรางวัลต่างๆ การันตีมากมาย เป็นครูบาอาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา ที่สำคัญเป็นตัวแทนประเทศไทยในการสร้างวามเข้าใจกับสถานการณ์ความไม่สงบแก่คณะองค์กรมุสลิมโลก (OIC) องค์กรสันนิบาตโลกมุสลิม (รอบิเฏาะห์) รวมถึงองค์กรมุสลิมประเทศออสเตรเลีย, ตุรกี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสภาคองเกรซสหรัฐอเมริกา เป็นต้น จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นข่าวครึกโครม และนักข่าวต่างประเทศสำนักใหญ่ๆ ของโลกต่างหยิบเรื่องนี้นำเสนอเรื่องนี้กันถ้วนหน้า
นอกจากนี้ในรอบสัปดาห์ก่อนเช่นกัน มีอีกประเด็นข่าวใหญ่ที่กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันขรมไปทั้งบ้านทั้งเมือง อันเป็นผลสืบเนื่องจากกรณีความหวังของผู้คนที่จะได้เห็นสันติภาพในเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหวังดังกล่าวกลับถูกทำให้ริบหรี่ลงไปแล้ว แถมสิ่งที่วาดหวังกันไว้ในอนาคตว่า ในเร็ววันนี้น่าจะได้สัมผัสสันติสุขบนแผ่นดินปลายด้ามขวาน อันเกิดจากรัฐไทยไปขอให้มาเลเซียช่วยตั้งโต๊ะพูดคุยสันติภาพกับบีอาร์เอ็นฯ เป็นเวลากว่าครึ่งปีมาแล้วนั้น กลับกลายเป็นว่าแทบจะตลอดช่วงเดือนรอมฏอนปีนี้ แทบไม่มีแสงสันติภาพส่องสว่างให้เห็นแม้ที่ปลายอุโมงค์ เพราะโต๊ะเจรจาสันติภาพดังกล่าวกลับมีแต่ข่าวสะพัดว่ากำลังถูกทำให้ล้มครืนลง
มีข่าวสะพัดอยู่หลายวันว่า จะด้วยการถูกบีบหรือตัดสินใจเองก็ตาม นายฮัสซัน ตอยิบ ได้ทำหนังสือถึงตัวแทนฝ่ายมาเลเซียในฐานะผู้ประสานงานการเจรจาสันติภาพ เพื่อขอยุติบทบาทหัวหน้าทีมเจรจาของบีอาร์เอ็นฯ กับฝ่ายไทย โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากไม่สามารถทำตามข้อตกลงเรื่องการยุติการก่อเหตุในพื้นที่ชายแดนใต้ของไทยช่วงเดือนรอมฎอนได้ ซึ่งเมื่อว่าที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมาก็ได้ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าสื่อต่างๆ ของไทย
พร้อมกันนั้นข่าวยังระบุด้วยว่า พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ทราบเรื่องแล้ว แต่ตามขั้นตอนต้องรอให้ฝ่ายมาเลเซียทำหนังสือแจ้งเรื่องมาให้ฝ่ายไทยก่อน ส่วนที่ทีมเจรจาฝ่ายไทย รวมถึงคนในรัฐบาลที่ยังไม่ออกมาเปิดเผยในเรื่องนี้โดยทันที เป็นเพราะเกรงว่าจะกระทบต่อกระบวนการเจรจาสันติภาพที่กำลังเดินการอยู่ โดยเฉพาะกลัวจะกระทบภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นของรัฐบาล
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการตอกลิ่มจากคลิปวิดีโอที่ถูกโพสต์ในยูทิวบ์ชื่อ Pengistiharan keputusan Majlis Thura BRN แปลได้ว่า ประกาศประกาศมติสภาชูรอ (ที่ปรึกษา) BRN โดยระบุชื่อผู้โพสต์ว่า Angkatan Bersenjata-BRN แปลว่า ฝ่ายทหาร-บีอาร์เอ็น โดยคลิปมีความยาว 1 นาที 40 วินาที เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ภาพในวิดีโอเป็นบรรยากาศมืดทะมึน ประกอบด้วยชายฉกรรจ์ 3 คน คนหนึ่งนั่งโต๊ะอ่านแถลงการณ์เป็นภาษามลายู อีก 2 คนยืนถืออาวุธปืนยาวขนาบซ้าย-ขาว ทั้งหมดสวมหมวกไหมพรมปิดคลุมใบหน้า แต่งชุดลายพรางทหาร และใช้ผ้าใบลายพรางทำเป็นฉากหลัง
เนื้อหาในสรุปได้ว่า BRN คือขบวนการหนึ่งที่ต้องการปลดปล่อยชาวปาตานีจากการกดขี่ของนักล่าอาณานิคมสยาม มีเป้าหมายที่จะสถาปนาความยุติธรรม สันติภาพ และความสงบสุขแก่ชาวปาตานีในความหมายที่ว่า แผ่นดินที่ดีและได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า
“เมื่อพิจารณาข้อเสนอ 5 ข้อแรกและเงื่อนไข 7 ข้อหลัง เพื่อบรรลุข้อตกลง 30 วันเดือนรอมฎอน และ 10 วันเดือนเซาวาล พบว่า นักล่าอาณานิคมสยามมิได้ปฏิบัติตามเลยแม้แต่ข้อเดียว ในทางกลับกันนักล่าอาณานิคมสยามทำการบ่อนทำลาย โกหกและยังคงเผยแผ่การใส่ร้ายกับชาวปาตานี” ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ในคลิปก่อนจะตามด้วย
“ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามมติสภาชูรอ (ที่ปรึกษา) BRN ตราบใดที่นักล่าอาณานิคมสยามยังมีจุดยืนดังกล่าว ดังนั้นนักล่าอาณานินิคมสยามไม่มีสิทธิ์ที่สานต่อการสานเสวนาสันติภาพ และไม่มีสิทธิ์อยู่ในพื้นแผ่นดินปาตานี และจะไม่มีตัวแทน BRN ในการสานเสวนาสันติภาพกับตัวแทนนักล่าอาณานิคมสยามตลอดไป”
ในช่วงท้ายผู้อ่านแถลงการณ์ได้กล่าวว่า “สุขสันต์วันตรุษอีดิ้ลฟิฏรฺ” ก่อนที่จะเปล่งเสียคำว่า “เอกราช เอกราช เอกราช”
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นายฮัสซัน ตอยิบ ก็ได้ให้สัมภาษณ์จากมาเลเซียเป็นภาษามลายู แล้วสื่อในชายแดนใต้หยิบมานำเสนอต่อ โดยแปลความได้ใน 3 ประเด็นคือ ประเด็นแรก นายฮัสซัน ตอยิบ ยืนยันว่ายังสนับสนุนการพูดคุยสันติภาพและพร้อมจะเดินหน้าต่อไป เนื่องจากขบวนการบีอาร์เอ็นฯ มีความเชื่อมั่นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในชายแดนใต้ต้องจบลงบนโต๊ะเจรจา นอกจากนี้รัฐบาลไทยและมาเลเซียจะต้องมีความจริงใจต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพในครั้งนี้ด้วย
ประเด็นที่สอง นายฮัสซัน ตอยิบ ยืนยันว่าขบวนการบีอาร์เอ็นฯ จะปฏิบัติการต่อบุคคลที่ถืออาวุธเท่านั้น หรือเป้าเข้มแข็ง เช่น ตำรวจ ทหาร อาสาสมัครรักษาดินแดน เป็นต้น ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ จะไม่ปฏิบัติการต่อเป้าอ่อนแอ เช่น โต๊ะอิหม่าม ครู ครูตาดีกา และสถานที่ทางเศรษฐกิจในพื้นที่ เป็นต้น ทั้งนี้ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ คิดว่าจะต้องมีการสืบสวนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเป้าหมายอ่อนแอด้วย
“นอกจากนี้ทางขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ขอแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของนายยะโก๊บ หร่ายมณี อิหม่ามประจำมัสยิดกลางปัตตานี ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 ส.ค.2556” นายฮัสซัน ตอยิบ ให้สัมภาษณ์ไว้
ประเด็นที่สาม ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ มีเชื่อมั่นในความหลากหลาย การปกครองที่ยุติธรรม และยอมรับการเคารพผู้ที่นับถือศาสนาอื่น และอัตลักษณ์ในพื้นที่ ดังนั้นหากขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ได้อำนาจการปกครองจากรัฐบาลไทย ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ จะปกครองในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ด้วยความยุติธรรม ความเคารพในความหลากหลาย
“เราจะปกครองเหมือนกับครอบครัวของเรา เพราะฉะนั้นคนไทยพุทธและคนจีนในพื้นที่ อย่าได้กังวลขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ดังตัวอย่างประเทศมาเลเซียที่สามารถปกครองประชาชนของเขาที่มีความหลากหลาย ได้อย่างลงตัว” นี่คือคำยืนยันของแกนนำและหัวหน้าทีมเจรจาของบีอาร์เอ็นฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลอดช่วงสัปดาห์มานี้ หรือห้วงเวลาก่อนจะสิ้นสุดเดือนรอมฎอน ไฟใต้ยังคงโชนเปลว เสียงกัมปนาทของระเบิดและเสียงก้องของกระสุนปืนยังมีขึ้นต่อเนื่อง และนั่นก็เป็นสิ่งยืนยันได้ชัดเจนว่า แท้จริงแล้วบีอาร์เอ็นฯ ไม่สามารถสั่งการกลุ่มเคลื่อนไหวในชายแดนใต้ให้หยุดปฏิบัติการช่วงเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ได้ ขณะเดียวกันก็มีสิ่งพิสูจน์ชัดแล้วว่า กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ก็หาได้มีเอกภาพไม่ แต่กลับมากมายไปด้วยความเห็นต่างและความขัดแย้ง
ดังนี้แล้ว “กลุ่มนักรบปาตานี” ที่เคลื่อนไหวปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้ในเวลานี้ ซึ่งแสดงตัวมาไม่ได้ขึ้นตรง แถมยังเห็นแย้งกับขบวนการบีรอาร์เอ็นฯ มาตลอดนั้น คลิปล่าสุดที่ออกมาในนามสภาซูรอ หรือที่ปรึกษาบีอาร์เอ็นฯ กลุ่มคนเหล่านี้ได้แสดงภาพชัดแจ้งแล้วว่า พวกเขาต้องการหักขาโต๊ะพูดคุยเจรจาสันติภาพกับรัฐไทยให้ล้มครืนไปแล้วนั่นเอง
เช่นเดียวกัน ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ แม้จะพยายามรักษาภาพการเป็น “พี่เบิ้ม” ของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ของไทยที่มีแตกออกไปหลากหลายกลุ่มให้คงอยู่ และมุ่มมั่นที่จะเดินหน้าเป็นตัวแทนพุดคุยเจรจาสันติภาพกับรัฐไทย แต่เมื่อสบโอกาสพวกเขาก็ไม่ลืมหรือลดละที่จะแสดงอาการตบหัวรัฐไทย ด้วยข้อเสนอหรือเงื่อนไขที่ได้เปรียบอยู่ตลอดเวลา
แต่นั่นยังไม่น่าขบคิดเท่าผู้แทนทีมเจรจาฝ่ายไทย โดยเฉพาะหัวหน้าคณะอย่าง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่มักจะให้การปกป้องหรือแก้ต่างให้กับฝ่ายบีอาร์เอ็นฯ ได้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมๆ กับทำทุกอย่างไม่ว่าจะอะไรก็ได้เพื่อรักษาไว้ซึ่ง “โต๊ะเจรจาสันติภาพ” ที่ถูกจัดตั้งขึ้นจากฝีมือของ นช.ทักษิณ ชินวัตร
ล่าสุดที่ตอกย้ำได้เป็นอย่างดีคือ คำสัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งเอ่ยถึงกรณีข่าวการถอนตัวของหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายบีอาร์เอ็นฯ ที่ว่า ตนขอยืนยันว่านายฮัสซัน ตอยิบ ยังเป็นตัวแทนในการพูดคุย ส่วนจะมีการเปลี่ยนกลุ่มในการเจรจาหรือไม่นั้น ยังไม่มีการพูดคุยกัน ขณะที่ผู้อำนวยความสะดวกก็ยังคงเป็นตัวแทนของประเทศมาเลเซียเช่นเดิม
ซึ่งเท่ากับเป็นการตอกย้ำจากฟากฝ่ายรัฐบาลไทยว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โต๊ะพูดคุยเจรจาสันติภาพยังต้องดำเนินต่อไป