ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-“หลังจากรู้ว่าท่อน้ำมันดิบ ของ ปตท.รั่วลงสู่ทะเล คิดในใจว่าคงจะไม่ลามขึ้นเกาะเสม็ด แต่ไม่ทันข้ามคืน ก็ขึ้นเกาะมาแล้ว รู้สึกใจหาย รีบไปดูให้เห็นกับตา ไม่รู้ว่าน้ำตาไหลออกมาจาก ความรู้สึกใด บอกได้อย่างเดียวในขณะนั้นคือเสียใจ”
นี่คือ ความรู้สึกของ โกวิท โชติพันธ์ ชาวบ้านบนเกาะเสม็ด ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดการรั่วไหลของท่อรับน้ำมันดิบกลางทะเล ของบริษัท พีทีที โกลบอล เค มิคอล จำกัด (มหาชน) ทำให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเลก่อนที่จะถูกกระแสคลื่นลม แรงซัดเข้าอ่าวพร้าว บนเกาะเสม็ด จังหวัดระยอง
โกวิทบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความสลดหดหู่กับประชาชนชาวเกาะเสม็ดเป็นอย่างมาก และเมื่อเห็นคราบน้ำมันขึ้นมาบนอ่าวพร้าว ก็ยิ่งสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เพราะทุกอย่างต้องเสียหายไปกับคราบน้ำมันในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ ธรรมชาติแห่งนี้ เป็นสาธารณประโยชน์ที่ทุกคนสามารถใช้รวมกัน เป็นที่เคยหากิน และทำกินกันอย่างมีความสุข แต่ต้องมาประสบกับปัญหาที่คนอื่นกระทำขึ้นมา
ที่สำคัญคือ ในความเป็นจริงแล้วมาตรฐานของทางบริษัท ปตท. ซึ่งถือว่าเป็น บริษัทน้ำมันที่ ยิ่งใหญ่ควรต้องมีมาตรการที่ดีกว่านี้ ในการป้องกันการขนถ่ายน้ำมัน และถ้าหากเกิดปัญหาต้องสามารถกำจัดได้ทันท่วงที
“เมื่อเกิดการรั่วไหลและมาขึ้นที่อ่าวพร้าวนั้น มีเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คนที่เข้ามากำจัดในเบื้องต้น ส่วนอุปกรณ์ในการขจัดคราบน้ำมันก็มีเพียง 1-2 ชิ้นเท่านั้น และจะเพียงพอได้อย่างไรซึ่งผมยืนมองแบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่านี้คือวิธีการจัดการของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท. และในระหว่างที่เดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นปูเดินหนีคราบน้ำมันมา เพื่อหาอากาศ หายใจ พอ เดินพ้นจากคราบน้ำมัน ปรากฏว่าทั้งตัว ปูมีแต่คราบน้ำมันเต็มทั้งตัว จึงได้ ถ่ายรูปเก็บไว้ พร้อมกับความหดหูใจ และได้คิดต่อไว้ดูคือสัญชาตญาณของสัตว์ ที่บ้านถูกทำลายก็ต้องตะเกียกตะกายออกมาเพื่อความอยู่รอด” โกวิทบอกเล่าความรู้สึก
ด้านนายจตุรัส เอี่ยมวรนิรันดร์ นายกสมาคมประมงพื้นบ้าน เรือเล็ก จ.ระยองให้ความเห็นว่า การรั่วไหลของน้ำมันในขณะนี้ยิ่งใหญ่มาก เริ่มปรากฏถึงผลกระทบ ที่ชัดเจนขึ้น และขยายพื้นที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยครั้งแรก ปตท.ชี้แจงว่าจะไม่ขึ้นเกาะหรือฝั่งอย่างเด็ดขาด แต่สุดท้ายก็ไหลเข้าอ่าวพร้าวที่เกาะเสม็ด และล่าสุดก็ไปโผล่ในพื้นที่อื่นๆ ด้วยเช่น ปากน้ำระยอง ,แหลมแม่พิมพ์
“บริษัท ปตท.ไม่ได้บอกความจริงต่อปัญหาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเมื่อฉีดสารเคมีแล้ว น้ำมันจะย่อยสลายไปเอง แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเลย โดยขึ้นทั้งอ่าวพร้าวและฝั่ง ที่แหลมแม่พิมพ์แล้ว ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประชาชนไม่ไว้ใจการทำงานหรือบริหารงานของ ปตท.แล้ว”
นายจตุรัสบอกด้วยว่านอกจากส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและธรรมชาติ สัตว์ทะเลก็เริ่มได้รับผลกระทบแล้ว โดยปูที่ชาวบ้านจับได้หรือเลี้ยงไว้ เริ่มได้รับผลกระทบ ซึ่งหากแกะกระดองปูออกมา เนื้อปูเริ่มมีสีดำ และบริเวณนมปูจะมีสีเหลือง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปูเหล่านั้น เริ่มดูดซับอะไรบางสิ่งบางอย่างเข้าไปในเนื้อปูแล้ว และบางตัวก็ตาย ซึ่งแสดงให้เป็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน เพราะถ้าปูอยู่ในน้ำหรือตามธรรมชาติ โดยเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะตายเองได้
นอกจากชาวประมงที่ได้รับผลกระทบ กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ก็เริ่มได้รับผลกระทบแล้ว เพราะสัตว์ทะเล หรือ ปู ไม่มีประชาชนหรือนักท่องเที่ยวมาซื้อ แม้ราคาจะถูกหรือขายขาดทุนก็ยังไม่มีใครซื้อแล้วในขณะนี้
นายจตุรัส กล่าวต่อไปว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเริ่มส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และไม่ทราบว่าจะกระทบอีกนานเท่าไร เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ทางบริษัท ปตท.ได้นำสารเคมีมาฉีดพ่น เพื่อให้เกิดการย่อยสลายและจมใต้ท้องทะเล แต่สิ่งที่กระทำนั้นจะมีปัญหาหรือส่งผลกระทบอย่างไรต่อไปนั้น ทางบริษัท ปตท.ไม่ได้พูดความจริงและไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรกับประชาชนเลย ดังนั้นภาคประชาชนจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
ปัญหาที่เกิดขึ้น ยังไม่มีใครสามารถจะตอบได้ว่าจะฟื้นตัวได้เมื่อไรและเวลาใด ซึ่งไม่มีใครตอบได้ถูก โดยอาจจะเป็นเดือนเป็นปี หรืออีกหลายปีก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัท ปตท.จะต้องวางแนวทางในการป้องกันหรือศูนย์เฝ้าระวัง โดยประชาชนจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังในครั้งนี้ด้วย
“ ทะเลคือหัวใจของชาวประมง เป็นแหล่งทำมาหากินของพวกเราชาวประมง มันคือออาชีพ เมื่อทะเลถูกทำลายก็เท่ากับทำลายอาชีพ แล้วพวกเราจะอยู่กันได้อย่างไร ที่ผ่าน ปตท. ได้แต่พูดว่าพร้อมที่จะรับผิดชอบความเสียหาย แต่ไม่เคยได้ยินสักคำว่า อย่างไรให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนว่าจะฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางทะเลให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างไร พวกเรามองดูว่า ปตท. ไม่มีความจริงใจ ในการแก้ไขปัญหา และรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างเต็มที่นัก”
เช่นเดียวกับ “นายลาภศิลป์ พุดซ้อน” ชาวบ้านบนเกาะเสม็ด จ.ระยอง ที่บอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีกับบริษัท ปตท.เป็นอย่างมาก เพราะไม่นึกเลยว่าปัญหาดังกล่าวจะมาเกิดขึ้นกับชาวเกาะเสม็ด จนสร้างผลกระทบและความเสียหายต่อแหล่งท่องเที่ยวและสภาพแวดล้อมสิ่งแวดล้อมทั้งบนบกและในทะเลเป็นอย่างมาก
ปัญหาที่เกิดขึ้น ถือว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้มาตรฐาน สร้างความไม่มั่นใจต่อประชาชนเป็นอย่างมากในขณะนี้ โดยเฉพาะชาวเกาะเสม็ด โดยถือว่าการบริหารล้มเหลว ที่สำคัญบริษัท ปตท.ไม่พูดความจริง ถึงเหตุการณ์และปริมาณน้ำมันที่เกิดการ รั่วไหลในครั้งนี้ โดยหากบอกตรงๆและเตือนประชาชนในทุกส่วนและทุกพื้นที่ว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ควรช่วยกันเฝ้าระวังหรือร่วมตรวจสอบ แต่ในครั้งนี้ บอกไม่รุนแรงและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว แต่หลังจากนั้นอีกไม่นานก็เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นนี้
นายลาภศิลป์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ส่งกระทบในภาพรวมอย่างมาก เนื่องจากคราบน้ำมันนั้นลอยไปตามกระแสน้ำ และขณะนี้ปรากฏว่า ส่งผลกระทบบริเวณอ่าวพร้าว ล่าสุดส่งผลกระทบที่แหลมแม่พิมพ์แล้ว และจะยิ่งขยายความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอีก เนื่องจากปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลลงสู่ทะเลนั้น ไม่ใช่แค่เพียง 50,000-70,000 ลิตร อย่างแน่นอน ต้องเป็นหลายแสนลิตร เพราะถ้าเป็นหมื่นลิตร ปัญหาไม่ใหญ่นานนี้
หลังจากนี้ ทุกๆฝ่ายที่อยู่บนเกาะหรือริมชายฝั่งทะเล จะต้องร่วมมือกันเอาผิดกับบริษัท ปตท. เพราะถือว่าทุกคนได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบทุกๆ คน เช่น เรือโดยสาร , รถเช่า ,พ่อค้า-แม่ค้าหาบเร่ , อาชีพหมอนวด , ผู้ประกอบการรีสอร์ท ซึ่งถือว่าได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวไม่มาเที่ยว แล้วบริการหรือขายให้ใคร
นายลาภศิลป์กล่าวต่อไปว่า ปัญหาในครั้งนี้จะต้องใช้ระยะเวลานานหลายปีอย่างแน่นอน กว่าที่จะฟืนฟูธรรมชาติให้กลับมาสมบูรณ์ตามปกติ ดังนั้น ทางบริษัท ปตท.จะต้องมีการบริหารจัดการในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาหรือผลกระทบอย่างแน่นอน นอกจากนั้นจะต้องมีการทำประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพ เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเดินทางมาท่องเที่ยวเหมือนเดิม
และปิดท้ายกับ นางดุจหทัย ผู้ประกอบการบนเกาะเสม็ด ที่เผยว่าเหตุการณที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มาก รู้สึกเสียใจกับการกระทำของ ปตท. ในเรื่องของมาตรฐานในการป้องกัน และการแก้ไข อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เราไม่ได้ว่า และ เข้าใจ แต่ให้อภัยไม่ได้คือความรับมาตรฐาน เนื่องจาก ปตท. เป็นบริษัทน้ำมัน ทีมีชื่อเสียงมาก และเป็นสากล แต่มาตรฐานในการป้องการเหตุฉุกเฉิน และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่ำ มาก
ในเมื่อรู้ว่าจะมีการขนถ่ายน้ำมันกลางทะเล โดยผ่านท่อ ในทะเล ซึ่งล่อแหลมอยู่ แล้ว ดังนั้น ก่อนที่จะขนถ่ายจะต้องมีการตรวจสอบ ให้ทุกส่วนที่เกี่ยวอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติก็จะต้องทราบว่า อายุการใช้งานของแต่ละชิ้นนั้นเป็นอย่างไรและยิ่งอยู่ในทะเลที่อยากจะมองเห็นได้ง่าย ๆ ยิ่งต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเหตุการณ์ดังกล่าวจะต้องไม่เกิดขึ้น แต่หลังเกิดขึ้นแล้วก็จะต้องมีมาตรการในการแก้ไขที่รวดเร็วและชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้เหตุการณ์ลุกลาม ส่งผลกระทบไปทั้ง ทั้งสิ่งแวดล้อม ในทะเล บนบก และเกี่ยวเนื่องไปถึงความเป็นอยู่ และวิธีชีวิตของประชาชนคนบนเกาะเสม็ด ทั้งหมด ทุกอาชีพกระทบหมด นับว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มาก