ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผู้บริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และสาธารณูปการ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ตั้งโต๊ะแถลงแนวทางกำจัดคราบน้ำมันกว่า 50 ตัน ไม่ให้ถูกซัดเข้าชายหาดแม่รำพึง จ.ระยอง เลือกใช้สารเคมีขจัดคราบให้แตกตัวเป็นหยดขนาดเล็กก่อนถูกซัดเข้าฝั่ง
เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (27 ก.ค.) ที่ห้องประชุมบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง นายพรเทพ บุตรนิพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและสาธารณูปการ พร้อมด้วยนายปกรณ์ ประเสริฐวงษ์ หัวหน้ากลุ่มสิ่งแวดล้อม กรมเจ้าท่า ได้ชี้แจงถึงการขจัดคราบน้ำมันหลังเกิดอุบัติเหตุท่อรับน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้วรั่ว ที่บริเวณทุ่นรับน้ำมัน ห่างจากฝั่งประมาณ 20 กิโลเมตร ทำให้มีน้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเลประมาณ 50 ตัน หรือ 50,000 ลิตร เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.50 น.วันนี้
โดยหลังเกิดเหตุ ผู้ดูแลระบบได้สั่งการให้ปิดวาล์วเพื่อหยุดการส่งน้ำมันในทันที พร้อมสั่งการให้ใช้เรือฉีดพ่นยาขจัดคราบน้ำมัน 4 ลำ บรรทุกน้ำยาขจัดคราบน้ำมัน 35,000 ลิตร ออกวิ่งวนให้น้ำมันทำปฏิกิริยากับน้ำยาขจัดคราบน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้บูมกั้นยาว 200 เมตร จำกัดวงการแพร่กระจายของคราบน้ำมัน
โดยได้รับการสนับสนุนจากทัพเรือภาคที่ 1 นำเครื่องบินของกองทัพเรือ บินลาดตระเวนเพื่อดูทิศทางคราบน้ำมัน ซึ่งคาดว่าคราบน้ำมันอาจไปขึ้นฝั่งบริเวณชายหาดแม่รำพึง ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง บริษัทจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจบริเวณชายหาดดังกล่าว ส่วนมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วซ้ำนั้น บริษัทได้สั่งให้มีการตรวจสอบอุปกรณ์ที่เข้มงวดมากกว่าเดิม และอาจต้องเปลี่ยนท่อใช้งานให้เร็วขึ้นจาก 2 ปี เป็น 1 ปี
ด้าน นายปกรณ์ กล่าวว่า วิธีการขจัดคราบน้ำมันมี 2 แนวทาง คือ 1.ใช้สารเคมี ซึ่งจะทำให้น้ำมันแตกตัวเป็นหยดขนาดเล็กกระจายลงไปในน้ำ ผ่านกระบวนการย่อยสลายของแบคทีเรียในทะเล ก่อนจะเป็นอาหารของสัตว์ทะเล วิธีที่ 2 คือ การเก็บน้ำมันขึ้นฝั่ง ซึ่งการจะเลือกใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับสภาพคลื่นลม ทั้งนี้ ช่วงที่เกิดเหตุน้ำมันรั่วเป็นช่วงคลื่นลมแรง โดยมีความเร็วลม 18 นอต ทำให้การวางทุ่นเพื่อเก็บคราบน้ำมันเป็นไปได้ยาก ส่วนการใช้สารเคมีกระตุ้นให้น้ำมันแตกตัวถือเป็นวิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ที่สำคัญยังป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“เราได้ดูความลึกของระดับน้ำแล้ว พบว่าอยู่ระหว่าง 22-25 เมตร และจุดเกิดเหตุยังอยู่ห่างจากฝั่งถึง 10 ไมล์ทะเล จึงตัดสินใจเร่งใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน ซึ่งจะกำจัดได้รวดเร็ว แต่สิ่งที่ห่วงคือ หากคราบน้ำมันถูกลมซัดเข้าชายฝั่ง ก็จะเกิดความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม แต่หากเราสามารถสกัดคราบน้ำมันไม่ให้ถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งได้ ก็จะไม่เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด พบว่า น้ำทะเลจะขึ้นถึงเวลาประมาณ 21.00 น. ซึ่งจะทำให้คราบน้ำมันขยับเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น จึงไม่กล้ารับรองว่าจะสามารถป้องกันไม่คราบน้ำมันลอยเข้าฝั่งได้ 100%”
ล่าสุด เมื่อเวลา 22.30น. บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน)ออกแถลงการณ์ ว่า เครื่องบินกองทัพเรือได้บินลาดตระเวน จุดที่เกิดเหตุท่อรับน้ำมันดิบรั่วไหล มีเรือฉีดน้ำยาสลายคราบน้ำมันจำนวน 7 ลำ สามารถขจัดคราบน้ำมันไปได้ร้อยละ 70 ของจำนวนน้ำมันที่รั่วไหลลงทะเลประมาณ 50 ตันหรือ 50,000 ลิตร คาดว่าจะเหลืออีกประมาณไม่เกิน 20,000 ลิตร
อย่างไรก็ตามเพื่อให้การขจัดคราบน้ำมันที่เหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถขจัดคราบน้ำมันได้อย่างรวดเร็ว บริษัทฯได้ให้เครื่องบินขจัดคราบน้ำมันของบริษัท ออยส์ สปิลเรสปอนส์ จำกัด เดินทางมาจากประเทศสิงคโปร์
โดยจะทำการบินพ่นน้ำยาขจัดคราบน้ำมันในเช้าวันที่ 28 กรกฎาคม ควบคู่ไปกับการใช้เรือฉีดน้ำยา นอกจากนี้บริษัทฯได้จัดทีมเจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อม ติดตามตรวจสอบและวิเคราะห์น้ำทะเลบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อให้มั่นใจว่าจะขจัดคราบน้ำมันได้หมดโดยจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางทะเล.