ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-นอกจากจะยังไม่จบแล้ว กรณีของ “นายมิตซูโอะ ชิบาฮาชิ” หรือ “อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก” เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ที่ลาสิกขาออกไปครองคู่กับ “ภรรยา-นางสุทธิรัตน์ มุตตามระ” ยังดูเหมือนว่าลุกลามบานปลายออกไปหนักกว่าเก่าเสียอีก
เพราะหลังจากที่ศรีภรรยาโพสต์รูปคู่กับสามีในอิริยาบถต่างๆ ระหว่างเดินทางไปที่ญี่ปุ่นพร้อมกับจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมายไทยและญี่ปุ่นจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบไปต่างๆ นานาแล้ว เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมาทั้งสองคนได้ซุ่มเงียบเดินทางกลับประเทศไทยอีกต่างหาก
แน่นอน การกลับประเทศไทยไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือเสียหายอะไร ถ้าหากกลับมาอย่างเงียบๆ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า นางสุทธิรัตน์ได้ขยายประเด็นให้ครึกโครมออกไปอีก ด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า เกรงจะเกิดอันตรายจากภัยมืดอันเป็นผลมาจากกลุ่มลูกศิษย์ของอดีตพระมิตซูโอะที่เคียดแค้นไม่เลิก รวมถึงปล่อยภาพของสามีในขณะเดินจงกรมในคอนโดมิเนียมหรูของตนเองย่านถนนเจริญกรุงออกมาสู่สาธารณชนอีกต่างหาก
“การเดินทางมาครั้งนี้ตอนแรกตั้งใจมากันแบบเงียบๆ แต่เมื่อคนรู้กันไปทั่วจึงต้องระมัดระวังตัวเพราะมีอดีตลูกศิษย์บางรายที่เคยโพสต์ข้อความด่าทอและแฉข้อมูลต่างๆ เคยป่าวประกาศในโลกออนไลน์ว่า ถ้าดิฉันและอาจารย์มิตซูโอะกลับมาจะเล่นงานให้หนัก”
คำถามที่สังคมไม่เข้าใจก็คือ
หนึ่ง-ทำไมนางสุทธิรัตน์ถึงต้องโพนทะนาเรื่องนี้ ให้เอิกเกริกและโดยข้อเท็จจริงแล้วลูกศิษย์ของอดีตพระมิตซูโอะจะแค้นถึงขนาดต้องเล่นงานให้หนักเลยหรือ เพราะผู้ที่ปฏิบัติธรรมไม่น่าจะมีพฤติกรรมเช่นนั้น ดังเช่นตัวพระอาจารย์มิตซูโอะเองที่แม้จะมีผู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างไร แต่ก็ยังคงรักษาความเป็นอดีตพระสุปฏิปันโนเอาไว้ได้อย่างครบครัน
สอง-ทำไมนางสุทธิรัตน์ถึงต้องปล่อยภาพอดีตพระมิตซูโอะขณะเดินจงกรมออกมาให้เป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับสามี ซึ่งนางสุทธิรัตน์ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าไม่ใช่ตัวนางสุทธิรัตน์ก็ต้องเป็นคนใกล้ชิดถึงจะสามารถบันทึกภาพเหล่านั้นออกมาได้
ที่สำคัญคือ วิธีการที่นางสุทธิรัตน์ใช้ก็มิได้แตกต่างจากครั้งแรกที่ออกมาโพนทะนาหลังจากปรากฏข่าวอดีตพระมิตซูโอะลาสิกขาท่ามกลางข่าวลือเรื่องต้นเหตุว่าอาจเป็นเพราะถูกวางยา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ยิ่งนางสุทธิรัตน์พูดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะบอบช้ำมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากสามีของตนเองเคยครองสมณเพศและเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก การที่ปรากฏภาพเคียงคู่กันในลักษณะคู่ผัวตัวเมียข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งแต่งงานและไปฮันนีมูน แทนที่จะอยู่อย่างเงียบๆ ทั้งๆ ที่อายุอานามก็ล่วงเลยไปมากแล้ว รังแต่จะเกิดภาพลบต่ออดีตพระมิตซูโอะมากกว่าผลดี ขณะที่ตัวนางสุทธิรัตน์เองก็มีแต่ภาพลักษณ์ในทางลบไม่แพ้กัน เพราะการที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถสึกพระที่ได้ชื่อว่าเป็นพระสุปฏิปันโนมาอย่างยาวนานย่อมเป็นเรื่องที่ถูกติฉินนินทาอยู่แล้วในแง่ที่ว่า ผู้ชายในโลกมีมากมาย ทำไมถึงต้องเจาะจงลงตรงที่พระด้วย แม้ว่าทั้งสองคนจะรักกันจริงก็ตาม
ทั้งนี้ หลังจากที่นางสุทธิรัตน์และสามีเดินทางกลับมายังประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2556 โดยนางสุทธิรัตน์ยอมรับกับสื่อเองว่า อดีตพระมิตซูโอพักอยู่ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านถนนเจริญกรุงเพื่อพักผ่อนอย่างเงียบๆ ไม่อยากออกไปไหน โดยจะใช้เวลาระหว่างนี้ปฏิบัติธรรม อ่านหนังสือธรรมะและเขียนหนังสือ ส่วนตนเองคงต้องใช้เวลาเพื่อสะสางธุรกิจที่คั่งค้างให้เสร็จ
การที่นางสุทธิรัตน์อ้างว่า เมื่อการเดินทางกลับมาไม่เป็นความลับแล้ว จึงต้องออกมายอมรับเรื่องสถานที่พำนักพักอาศัยในเมืองไทยและเปิดเผยถึงเหตุผลที่ต้องเปิดปากพูดว่าสืบเนื่องมาจากปัจจัยในเรื่องของความปลอดภัย ไม่ใช่ข้ออ้างที่สมเหตุสมผล เพราะนางสุทธิรัตน์ต้องไม่ลืมว่า สามีของตนเองเป็นบุคคลสาธารณะซึ่งเป็นที่จับตาของสังคม ดังนั้น จึงไม่มีทางที่เดินทางกลับมาเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรับรู้ได้
ส่วนกรณีที่ลูกศิษย์ของอดีตพระมิตซูโอะข่มขู่จะเล่นงานนั้น สิ่งที่สังคมได้รับรู้ก็คือ ลูกศิษย์ของอดีตพระมิตซูโอะมิได้ติดใจในการที่พระอาจารย์ตัดสินใจลาสิกขาบท แถมยังเดินทางมาปฏิบัติธรรมเนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาที่วัดสุนันทวนารามซึ่งอดีตพระมิตซูโอะเคยเป็นเจ้าอาวาสเหมือนเช่นที่ผ่านมา ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า กลุ่มลูกศิษย์ยึดมั่นถือมั่นในคำสอนมากกว่าตัวตนของพระอาจารย์
“สำหรับแนวคิดส่วนตัวที่มีต่อท่านอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ ยอมรับว่ายังคิดถึงคำสอนของท่านในเรื่องของการให้โอกาส โดยเฉพาะตัวผมเองท่านให้โอกาสด้วยการสั่งสอนด้านธรรมะจนสามารถผ่านวิกฤติมาได้ ซึ่งก็ยังนับในตัวท่านเหมือนเดิมและคำสอนต่างๆ ที่ท่านเขียนไว้ในหนังสือก็ยังระลึกขึ้นมาเพื่อนำไปปฏิบัติได้ ทั้งเรื่องของความพอใจและเรื่องของความไม่พอใจ ซึ่งท่านบอกว่าอย่ายินดียินร้าย อย่าไปยึดติดกับอารมณ์เหล่านี้ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับตัวเราอีกมากมาย ซึ่งผมคิดถึงคำสอนเหล่านี้ของท่านอยู่เสมอ โดยทั่วไปคณะปฏิบัติธรรมที่เดินทางมาที่วัดก็ไม่มีใครสอบถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของอดีตพระอาจารย์ คาดว่าผู้ที่มาปฏิบัติธรรมคงเข้าใจแล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้น จึงเชื่อได้ว่าทุกคนที่มานั้นต่างตั้งใจมาปฏิบัติธรรมจริง”ยุทธพิชัย ชาญเลขา หรือโดโด้ อีกหนึ่งลูกศิษย์ใกล้ชิดอดีตพระมิตซูโอะแสดงความรู้สึกต่อพระอาจารย์ขณะเดินทางไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดสุนันทวนาราม
และในที่สุดนางสุทธิรัตน์ก็พูดเองเออเองว่า หลังจากเป็นข่าวลูกศิษย์รายนั้นก็คงไม่กล้าทำอะไร แถมยังเอ่ยปากขอบคุณลูกศิษย์ส่วนใหญ่ที่เข้าใจว่าชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องทางโลกและเรื่องของนเองกับสามีถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล
ด้วยประการฉะนี้ การที่นางสุทธิรัตน์ทำเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า ต้องการให้สามีและตนเองตกเป็นข่าว เพราะถ้าไม่มีทั้งภาพทั้งเสียงของนางสุทธิรัตน์และอดีตพระมิตซูโอะออกมา เรื่องก็คงจะจบไปแล้ว เหมือนเช่นที่ “วิทเยนทร์ มุตตามระ” น้องชายของนางสุทธิรัตน์บอกว่า “ขณะนี้สังคมรู้เรื่องราวของพี่สาวกับอาจารย์มิตซูโอะมากพอแล้ว คงไม่มีมุมไหนที่คนไม่รู้อีกแล้ว ดังนั้นขอปล่อยให้เรื่องเงียบไปดีกว่า อย่าไปติดตามความเคลื่อนไหวของคนทั้งคู่อีกเลย ส่วนเรื่องที่พี่สาวกับอาจารย์มิตซูโอะใช้ชีวิตร่วมกัน ทางครอบครัวของตนเองเคารพการตัดสินใจของพี่สาวทุกอย่าง”
และที่ชัดเจนที่สุดก็คือคำสอนของอดีตพระมิตซูโอะที่ผู้เป็นภรรยานำมาเผยแพร่เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา โดยเป็นลายมือของอาจารย์มิตซูโอะเขียนลงในกระดาษโน้ตเอาไว้ว่า “หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เตือนตนด้วยตัวเองว่า ทำหน้าที่ในปัจจุบัน ทำดีที่สุดด้วยใจดีและความสุข อดีตที่ผ่านไปแล้วมันเป็นของเก่า ของเน่าทั้งนั้น ปล่อยวางเสีย”
นี่คือธรรมะจากอดีตพระมิตซูโอะที่ถ้าจะว่าไปแล้ว นางสุทธิรัตน์ผู้เป็นภรรยาน่าจะเข้าใจธรรมะที่สามีจงใจบอกในฐานะคนใกล้ชิดบ้างไม่มากก็น้อย และถ้าเข้าใจความสงบก็จะเกิดแก่ชีวิตของนางสุทธิรัตน์เองโดยที่ไม่ต้องร้องขอหรือดิ้นทุรนทุรายให้สิ้นเปลืองพลังงานแต่ประการใด
สำหรับสาเหตุที่พระมิตซูโอะเดินทางกลับประเทศไทยนั้น ขณะนี้เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า เป็นเพราะได้รับเชิญจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในไปบรรยายธรรมะในช่วงเดือนกันยายนตามที่รับปากไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งสถาบันการศึกษาแห่งนั้นได้รับการเปิดเผยในเวลาต่อมาว่าคือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากนั้นเมื่อปฏิบัติภารกิจแล้วจะเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นในทันที
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากข่าวคราวการเดินทางกลับประเทศไทยของทั้งคู่แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สังคมมีความชัดเจนมากขึ้นก็คือเรื่องอดีตสามีของนางสุทธิรัตน์ เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวไปในทางลบค่อนข้างมาก เช่น เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระวัดธรรมกายกระทั่งถูกนำมาเชื่อมโยงกับสาเหตุที่ทำให้อดีตพระมิตซูโอะต้องลาสิกขาจากสมณเพศ โดยนางสุทธิรัตน์เป็นผู้เปิดเผยเองว่า พระรูปที่ตกเป็นข่าวคือดีตสามีที่เคยแต่งงานกัน แต่ตัดสินใจไปบวชเป็นพระที่วัดธรรมกายในช่วงที่เกิดปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ ทำให้ขณะนั้นตนเองต้องเดินทางเข้าออกวัดพระธรรมกายบ่อยๆ เพื่อถวายข้าวของและปัจจัยต่างๆ ให้พระ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้มีคนเข้าใจผิดคิดว่าไปยุ่งกับพระ เพราะต่อมาเมื่ออดีตสามีสึกก็ยังกลับมาใช้ชีวิตคู่เหมือนเดิมระยะหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจหย่าร้างกันไปในที่สุด
และอดีตสามีของนางสุทธิรัตน์ที่เคยบวชอยู่ที่วัดธรรมกายก็คือ สามีคนแรกที่มีชื่อว่า “นายเอกภพ เสตะพันธุ์”
ภาพ...จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ