xs
xsm
sm
md
lg

คลิปเสียงสนทนาจากแดนไกล : สะท้อนตัวตนเจ้าของเสียง

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ในระยะสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงสัปดาห์นี้มีข่าวใหญ่ซึ่งเป็นที่สนใจของผู้คนในสังคมไทย และยังเผยแพร่ไปสู่สังคมโลก 2 ข่าว คือ

1. ข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม และมีความเลวร้ายถึงขั้นผิดวินัยของสงฆ์ และผิดกฎหมายบ้านเมืองของนายวิรพล สุขผล หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ เจ้าสำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ

2. ข่าวเกี่ยวกับคลิปเสียงสนทนาของชายสองคน โดยเสียงคนที่หนึ่งคล้าย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม และเสียงคนที่สองคล้ายอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งปัจจุบันเป็นนักโทษหนีการจำคุก 2 ปีคดีที่ดินรัชดาฯ แต่ยังมีบทบาททางการเมืองครอบงำรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเรื่องสำคัญแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการปรับ ครม. และโยกย้าย แต่งตั้งข้าราชการระดับสูงซึ่งมีประโยชน์ได้เสียทางการเมือง

ข่าวแรก ถึงแม้ในความเป็นจริงไม่ควรที่จะเป็นข่าวใหญ่ เพราะการที่พระสงฆ์รูปหนึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม และมีความชั่วร้ายถึงขั้นต้องอาบัติปาราชิก และทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ ก็จะจบลงได้โดยง่ายเพียงแต่คณะสงฆ์ที่พระภิกษุรูปนั้นดำเนินการแก้ปัญหาตามแนวทางพระวินัย หรือที่เรียกว่า การระงับอธิกรณ์ โดยการตั้งคณะพระวินัยสงฆ์ขึ้นมาดำเนินการทุกอย่างก็จะจบลงด้วยความเรียบร้อยในส่วนของสงฆ์ และตามข่าวที่ปรากฏล่าสุดทางคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ ก็ได้ร่วมกันตัดสินให้หลวงปู่เณรคำพ้นจากเพศภาวะแห่งนักบวชในพระพุทธศาสนาเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปก็เป็นเรื่องของฝ่ายอาณาจักรจะดำเนินการในด้านกฎหมายบ้านเมืองตามกระบวนการยุติธรรม

แต่ข่าวที่ 2 ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงได้ง่าย และในทางตรงกันข้ามมีแนวโน้มว่าจะลุกลามบานปลายขยายผลออกไปทั้งในทางการเมือง และในทางสังคม ทั้งนี้อนุมานได้จากเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังนี้

1. เมื่อพิจารณาจากเนื้อหาในบทสนทนาแล้ว ถึงแม้จะเป็นการพูดของคนเพียงสองคน และเนื้อหาส่วนใหญ่ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นประเด็นหลังเกี่ยวกับความต้องการของคนหนึ่ง และการเสนอวิธีการที่จะสนองความต้องการของอีกคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกฎหมายนิรโทษกรรมจากการออกในรูปของ พ.ร.บ.มาเป็นในรูปของ พ.ร.ก.เพื่อความรวดเร็ว และหลบหลีกการคัดค้านจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย โดยการขอความเห็นจากสภากลาโหม และสภาความมั่นคงฯ เพื่อช่วยให้คนเดียวพ้นผิดนั้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องของคนคนเดียวโดยมีคนหนึ่งทำหน้าที่ประสานงานให้อีกหลายคนเห็นด้วย แต่ผลที่เกิดขึ้นตามมาทั้งในทางการเมือง และในทางสังคมไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่มี หรือมีก็เพียงเล็กน้อย

ดังนั้น การที่บอกว่าฝ่ายค้านหรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมีเพียงนิดเดียว และแสดงความเชื่อมั่นว่าถ้ากองทัพเห็นด้วยทุกอย่างจบนั้น เป็นการมองที่ตื้นจนเกินไป และถ้าจะพูดให้ตรงประเด็นก็คือ พูดแบบเอาใจหรือปลอบใจจนเกินไป ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่คนหน้ากากขาวออกมาชุมนุม และคนที่มาฟังรายการผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์แล้วไม่อาจพูดได้ว่านิดเดียว เมื่อวันที่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสภา และทางรัฐบาลใช้กลยุทธ์แบบพวกมากลากไปอันเป็นรูปแบบของประชาธิปไตยเพียงภาพภายนอกแต่โดยเนื้อหาคือเผด็จการรัฐสภา ถ้าเป็นเช่นนี้จริงเชื่อได้ว่าวันนั้นคงได้เห็นการออกมาคัดค้านของประชาชนล้นหลาม และรัฐบาลคงจะจบลงด้วยการหนีการถูกกองทัพขับไล่ หรือศาลตัดสินอนาคตทางการเมืองผู้นำเพื่อยุติปัญหาวุ่นวายทางการเมืองเหมือนในปี พ.ศ. 2551 อีกครั้ง

2. จากบทสนทนาในคลิปแม้จะเป็นเรื่องของคนสองคน แต่เนื้อหาก็พาดพิงถึงบุคคลภายนอกหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำเหล่าทัพ และในจำนวนผู้ที่ถูกพาดพิงถึงในแง่บวกว่าเป็นผู้ไว้วางใจได้ และเมื่อก่อนเคยมีปัญหาบ้างแต่หลังจากได้พูดกับนายกฯ แล้วทุกอย่างก็เรียบร้อย ทั้ง 2 ท่านที่ถูกพาดพิงจะเป็นอย่างที่คลิปบอกไม่มีใครทราบได้นอกจากเจ้าตัวที่ถูกพาดพิง แต่ถ้าไม่มีการออกมาชี้แจงใดๆ ไม่ว่าจะด้วยมีข้อจำกัดด้วยวินัยหรือจรรยาบรรณในการเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งสองท่านก็จะถูกประชาชนคลางแคลงใจ และเลิกฝากความหวังไว้กับการเป็นผู้นำกองทัพแล้วหันไปพึ่งมวลชนต่อสู้นอกระบบ จะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายยิ่งขึ้นได้

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คลิปออกมาทาง ผบ.สส.ได้ออกมาแสดงจุดยืนว่า จะทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด จึงเท่ากับยืนยันค่อนข้างชัดเจนว่าในระดับหนึ่งทหารก็คือทหาร วันใดที่ส่วนรวมเดือดร้อน กองทัพก็จะปกป้องตามที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบ

จริงอยู่ถึงแม้ว่าคำชี้แจงนี้จะไม่ถึงกับออกมาปฏิเสธว่าจะไม่ทำการใดๆ ที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลที่สวนทางกับผลประโยชน์ส่วนรวม แต่ก็พออุ่นใจและเชื่อได้ในระดับหนึ่งว่ากองทัพยืนข้างประโยชน์ของส่วนรวม

ดังนั้น ข่าวเกี่ยวกับคลิปที่ว่าก็ควรจะยุติได้ในตอนนี้ แต่ไม่ควรจะลืมไปเลย ควรจะรอดูว่าเหตุการณ์เกี่ยวกับการออกกฎหมายนิโทรษกรรม และการแต่งตั้งผู้นำเหล่าทัพจะเป็นไปตามที่คลิปพูดถึงหรือไม่ ถ้าเป็นไปตามนั้นก็เป็นอันพิสูจน์ได้ว่าสองชายที่พูดกันทำได้จริง และเมื่อถึงวันนั้นประชาชนค่อยกำหนดท่าทีกันใหม่อีกครั้งก็ยังไม่สาย ดังนั้นในขั้นนี้ไม่มีอะไรดีกว่ารอ
กำลังโหลดความคิดเห็น