ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หากหลับตาไตร่ตรองและเพ่งพินิจอากัปกิริยาของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นับเนื่องตั้งแต่นั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันแล้ว ต้องบอกว่า “เปลี่ยนไป” จากเดิมอย่างน่าตกใจ
ยิ่งเมื่อมี “คลิปลับ” บทสนทนาระหว่าง “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” และนายพลถั่งเช่า-พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมหลุดออกมาด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้สังคมได้รับรู้และเข้าใกล้ตัวตนที่แท้จริงของ พล.อ.ประยุทธ์ได้ชัดเจนมากเป็นลำดับ แม้เจ้าของบทสนทนาจะไม่ได้ออกมายอมรับว่า “ไอ้ตู่” ที่ไว้ใจมากคือใคร เป็นคนเดียวกับ “บิ๊กตู่” หรือไม่ก็ตาม
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ทั้งนี้ หลังจากคลิปลับหลุดออกมา ประเด็นใหญ่ที่สังคมพุ่งเป้าจับตาและตรวจสอบข้อมูลก็คือ กฎหมายนิรโทษกรมที่จะลบล้างความผิดให้นักโทษชายทักษิณ เนื่องจากในคลิปลับได้เปิดเผยถึงเส้นทางของกฎหมายฉบับนี้เอาไว้อย่างชัดเจนว่าจะลักไก่เข้ามาโดยใช้ “สภากลาโหม” และ “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” เป็นเครื่องมือ
15 กรกฎาคม 2556...
บทสรุปของคำตอบทั้งหลายทั้งปวงก็ถูกเฉลยผ่านปากของ “พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน” ปลัดกระทรวงกลาโหม ขณะเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ว่า การที่สภากลาโหมจะพิจารณากฎหมายใดนั้นต้องเป็นการเสนอของหน่วยขึ้นตรงเข้ามาบรรจุเป็นระเบียบวาระหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการโดยตรงให้นำเรื่องไปพิจารณา
“สามารถนำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสู่การพิจารณาของสภากลาโหมได้ หากเข้าข่ายที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ซึ่งหากจะมีการเสนอก็เป็นไปตามข้อ 6 ของมาตรา 43 ของ พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ที่เขียนไว้ว่า เรื่องที่จะเสนอว่าด้วยกฎหมายหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนดให้เสนอสภากลาโหม แต่การนำเข้ามาพิจารณาไม่ใช่ให้อำนาจสภากลาโหมออกเป็นพระราชกำหนด เป็นเรื่องของขั้นตอนเท่านั้น”
คำตอบของ พล.อ.ทนงศักดิ์ทำให้สิ่งที่สังคมสงสัยคลี่คลายลงทันทีในทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องว่าทำไมผู้เป็นพี่ชายถึงถีบหัวส่ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต โอ๋เพื่อนรัก ตท.10 อย่างไม่ใยดี แล้วให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมานั่งถ่างขาควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งๆ ที่ลำพังแค่การเดินเฉิดฉายไปมาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ทั้งเรื่องข้อสงสัยว่า คำสั่งของของนักโทษชายหนีคดีที่มีต่อนายพลถั่งเช่าจะสามารถเป็นไปในทางปฏิบัติได้หรือไม่
นี่เป็น “ภารกิจลับ ว.5 กลาหอย” ที่มีหลักฐานยืนยันอย่างชนิดไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ
แต่สิ่งที่สังคมอดแปลกใจไม่ได้ก็คือ ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ถึงมีความเห็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับปลัดกระทรวงกลาโหม
“เรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไม่สามารถยื่นเข้าพิจารณาในสภากลาโหมได้ และคงไม่มีใครนำเข้ามาเพราะกติกายังมีอีกเยอะ”
ความเห็นของ พล.อ.ประยุทธ์เสมือนหนึ่งเป็นการ “อุ้ม” หรือ “ออกตัว” แทน นางสาวยิ่งลักษณ์ให้พ้นจากข้อครหาจากสังคมอย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วสามารถทำได้ตามความเห็นของ พล.อ.ทนงศักดิ์ที่ยืนยันเอาไว้ชัดเจน
ที่สำคัญคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ปกป้องนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก พล.อ.ประยุทธ์ก็ให้สัมภาษณ์ถึงการนั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของนายกรัฐมนตรีเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่สดใสพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“รมว.กลาโหม ไม่ว่าใครจะเป็นก็ต้องจัดพิธีให้สมเกียรติ เพราะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวงกลาโหม ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และนายกฯ ขอบคุณที่ให้เกียรติท่าน ทั้งนี้ไม่ว่า จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายการทำงานก็ไม่แตกต่างกันมากนัก วันนี้เราต้องหันหน้าเข้าหากันช่วยกันทำงาน ซึ่งนายกฯ ได้บอกกับ ผบ.เหล่าทัพว่า ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยความรักความสามัคคี และขอบคุณเหล่าทัพที่ให้ความร่วมมือทำงานมาตลอด 2 ปี”
ไม่มีใครโต้แย้งกับ พล.อ.ประยุทธ์เพราะเข้าใจดีว่า เหล่าทัพไม่มีสิทธิเลือกนาย เพียงแต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตามธรรมเนียมปฏิบัติ กองทัพมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องคนที่จะมาเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงได้ มิใช่หรือ แต่จากการตรวจสอบข้อมูลไม่เคยมีสักแอะที่จะมีคำพูดเล็ดลอดออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ในเรื่องดังกล่าว
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ประโยค 2 ประโยคที่ว่า “วันนี้เราต้องหันหน้าเข้าหากันช่วยกันทำงาน” และการที่พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า“นายกฯ ได้บอกกับ ผบ.เหล่าทัพว่า ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยความรักความสามัคคี และขอบคุณเหล่าทัพที่ให้ความร่วมมือทำงานมาตลอด 2 ปี”
ประโยคแรก คำว่า วันนี้เราต้องหันหน้าเข้าหากันช่วยกันทำงาน พล.อ.ประยุทธ์หมายความว่า กองทัพ โดยเฉพาะกองทัพบกภายใต้การนำของตนเองพร้อมจะซ้ายหันและขวาหันทำตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในทุกๆ เรื่อง ใช่หรือไม่ แล้วคำว่าวันนี้เราต้องหันหน้าเข้าหากันช่วยกันทำงานมีบริบทครอบคลุมหรือต้องการสื่อให้สังคมเข้าใจและเป็นไปอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ชี้ทางเอาไว้ว่าเวลานี้กองทัพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐบาลของคนเสื้อแดง ใช่หรือไม่
ประโยคที่สองคำว่า ขอบคุณเหล่าทัพที่ให้ความร่วมมือทำงานมาตลอด 2 ปี พล.อ.ประยุทธ์หมายความว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 2 ปี กองทัพ โดยเฉพาะกองทัพบกภายใต้การนำของตนเองได้ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีในทุกๆ เรื่อง ใช่หรือไม่ และให้ความร่วมมือทั้งในรูปแบบปกติและรูปแบบพิเศษในเรื่องไหนบ้าง
แต่ที่แน่ๆ คือ กองทัพบกในยุค พล.อ.ประยุทธ์มีโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรีบ่อยครั้งในต่างกรรมต่างวาระ และในการปฏิบัติราชการแผ่นดินก็มักจะปรากฏภาพของคนทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเสมอ เช่น การตรวดน้ำท่วมเมื่อคราวมหาอุทกภัยที่จังหวัดอุทัยธานี ยิ่งภาพที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันในรถถังหรือรถหุ้มเกราะด้วยกันแล้ว ก็ยิ่งต้องร้องออกมาดังๆ ว่า “แหม.....ทำไปได้”
แถมภาพบางภาพก็มีลักษณะเดียวกับที่ประชาชนชาวไทยและคนทั้งโลกได้เห็นเมื่อคราวนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเดินทางมาเยือนประเทศไทยอีกต่างหาก
ส่วนจะหวานเกินงามหรือไม่นั้น วิญญูชนที่ไม่จอมปลอมคงเข้าใจเองได้
และด้วยเหตุดังกล่าวใช่หรือไม่ที่ทำให้งบประมาณของกองทัพนอกจากจะไม่ถูกตัดแล้วยังมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นทุกปี แถมเก้าอี้ยังแน่นปึ้กแข็งปั๋งยิ่งเสียกว่าคอนกรีตเสริมเหล็ก
นี่เป็นอีกหนึ่ง ว.5 กลาหอยที่ผู้เป็นพี่ชายภูมิใจหนักหนาใช่หรือไม่ที่สามารถใช้ความเป็นผู้หญิงสยบผู้นำเหล่าทัพได้
ขณะเดียวกันเมื่อนึกประหวัดไปถึงคลิปฉาวของนักโทษชายหนีคดีและนายพลถั่งเช่า ก็ยิ่งทำให้เห็นภาพซึ่งสะท้อนระดับความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาที่เกิดขึ้นระหว่างไอ้ตู่ คนที่นักโทษชายไว้ใจมากกับน้องสาวของเขา
ท่อนหนึ่งของบทสนทนามีใจความว่า “ตอนนายกฯ ไปมาเลเซียเอาไอ้ ผบ.ทบ.ไปด้วย มันก็ Happy มันบอกพี่ คอยกระซิบนายกฯ ตลอด อะไรควรอะไรไม่ควรเรื่องความมั่นคง ผมก็เดินกระซิบนายกฯ ตลอด ผมว่ามันดี แต่นายกฯ นี่ ได้ทั้งใจ ได้ทั้งความจริงใจ ได้ทั้งความเชื่อถือของ ผบ.เหล่าทัพ ตอนนี้มากเลย”
เฉกเช่นเดียวกับบทสนทนาที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ของไอ้ตู่และนายใหญ่คนเสื้อแดงที่เป็นไปในทิศทางที่ดีมาก
ชายคนที่ 2- “ไว้ใจ ไว้ใจไอ้ตู่มาก”
ชายคนที่ 1 - “ไอ้ตู่ เขาให้ความจริงใจนะครับ จริงใจมากเลย ตอนแรกกับผมมันก็ระวังมากเลย แต่หลังจาก XXXX เรียกมันไป แล้วเรียกผมไปให้รักกันนะครับ ให้ทำงานด้วยกัน ทุกอย่างมันก็เลยเรียบร้อยหมด ... วันที่ 16 นี้ ผบ.สูงสุดจะเลี้ยงนายกฯ ครับ ที่ บก.กองทัพไทย และก็จะเชิญ ผบ. รอง เสธ.ทุกเหล่าทัพมาร่วมรับประทานข้าว คุยกันเป็นส่วนตัวกับนายกฯ ด้วย”
คำถามมีอยู่ว่า ไอ้ตู่คนนี้ใช่เป็นคนเดียวกับบิ๊กตู่หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ ข้อความในคลิปลับได้เฉลยคำตอบทั้งหลายทั้งปวงเอาไว้อย่างหมดเปลือกชนิดไม่ต้องมีข้อสงสัยให้วุ่นวายหัวใจอีกต่อไป
เป็นบทสนทนาที่ทำให้เห็นภาพว่า พล.อ.ประยุทธ์พอใจและภูมิใจที่ได้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมา “สุขใจ” และ “อิ่มเอิบใจ” ที่ได้เดินตามหลังคนสวยต้อยๆ เหมือนที่นายพลถั่งเช่าที่เวลานี้ได้ข่าวว่ามีปัญหากับบิ๊กเจี๊ยบ-พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอย่างหนักบอกเอาไว้ว่า “นายกฯ นี่ได้ทั้งใจ ได้ทั้งความจริงใจ ได้ทั้งความเชื่อถือของ ผบ.เหล่าทัพตอนนี้มากเลย”
ดังนั้น จงอย่าได้โมโหโกรธาแล้วตวาดแวดๆ ด้วยน้ำเสียงดุดันอีกเลย เพราะคนที่เขาเห็นทั้งภาพทั้งเสียงเยี่ยงนี้แล้วอดคิดถึงเนื้อเพลง “นอนฟังเครื่องไฟ” หรือเพลง “ใจจะขาด” ไม่ได้
ที่สำคัญคือเมื่อตรวจสอบปฏิกิริยาจากทาง พล.อ.ประยุทธ์แล้ว ก็ยิ่งชวนให้สงสัยหนักเข้าไปอีก เพราะทั้งๆ ที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างเปิดเผยแล้วว่า ชายคนที่ 2 ในคลิปถั่งเช่าคือ นช.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีคำยืนยันถึง 2 ครั้ง 2 ครา จาก “เสี่ยโอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” ลูกชายสุดที่รัก
โดยในครั้งแรกได้โชว์รอยหยักในสมองด้วยความหน้าชื่นตาบานว่าเป็นเสียงจริงจนผู้เป็นพ่อต้องปวดตับ แต่ออกตัวว่ามีการตัดต่อ
แต่ในครั้งที่สองเสี่ยโอ๊คก็ตัดสินใจควักเศษเงินตีตั๋วเครื่องบินเดินทางไปพบพ่อที่ประเทศจีน และโพสต์เฟซบุ๊กถึงบทสนทนาระหว่างตัวเองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลังเดินทางไปเข้าพบที่ปักกิ่ง ซึ่งเนื้อหาของการโพสต์ครั้งนี้ไม่มีแม้แต่ท่อนเดียวที่ระบุเสียงแข็งว่าเป็นการตัดต่อเหมือนครั้งแรก
โดยเนื้อหาและใจความที่เสี่ยโอ๊คต้องการสื่อให้เห็นก็คือ ผู้เป็นพ่อไม่ยี่หระกับคลิปดังกล่าว เพราะเชื่อว่าคนที่ลุ่มหลงและศรัทธาในตัวเองอย่างโงหัวไม่ขึ้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า มีความจงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการระบุว่า “ตอนเป็นนายกฯทุกงานราชพิธีฯก็ทำถวายอย่างสมพระเกียรติ ยิ่งใหญ่ทุกงาน ไอ้พวกปฏิวัติมันทำได้แบบพ่อหรือเปล่า พ่อเชื่อว่าพ่อรักในหลวงมากกว่าไอ้พวกที่ชอบชูป้ายรักในหลวงมาโจมตีผู้อื่นอีก”
ขณะที่เรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรมนั้น เสี่ยโอ๊คยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบ้านว่า “พ่ออยากกลับบ้านครับ คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว คิดถึงพี่น้องคนไทย พรบ. พรก. ก็เป็นในส่วนรูปแบบของการออกกฏหมาย ยากง่ายแตกต่างกัน ก็ให้คู่สนทนาไปพิจารณาดูว่าทำได้หรือไม่อย่างไร ลองไปซาวด์เสียงกันดู เห็นด้วยก็ทำ ไม่เห็นด้วยก็ไม่ทำ” ซึ่งแปลไทยเป็นไทยได้ว่า มีความคิดเช่นนั้นจริงๆ
แถมในเฟซบุ๊กยังอดแก้ตัวแบบ “ง่าวๆ” เกี่ยวกับเรื่องถั่งเช่าว่า เป็นยาบำรุงสุขภาพ ไม่ได้เน้นเรื่องเซ็กซ์ ทั้งๆ ที่บริบทของบทสนทนาของผู้เป็นพ่อกับนายพลถั่งเช่าสื่อความหมายไปในเรื่องเซ็กซ์ทั้งนั้น
แน่นอน เมื่อนำคลิปลับของลูกชายเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมมาเชื่อมต่อกับเหตุการณ์จริงก็จะพบว่า เรื่องนี้นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรไม่ได้พูดเพ้อเจ้อไร้สาระเพราะผ่านการไตร่ตรองและตรวจสอบข้อมูลมาก่อนว่าสามารถนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสภากลาโหมได้ ดังเช่นที่ พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ปลัดกระทรวงกลาโหมยืนยันอย่างหนักแน่น
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ เฟซบุ๊กของนายพานทองแท้ไม่มีตอนไหนที่ปฏิเสธเรื่องผู้นำเหล่าทัพให้เห็นแม้แต่คำเดียว
จะมีก็เพียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเท่านั้นที่ตั้งหน้าตั้งตาจะออกรับแทนนางสาวยิ่งลักษณ์โดยไม่ได้เคยศึกษาข้อกฎหมายให้ถ่องแท้เสียก่อนว่าทำได้หรือไม่ได้ จนสังคมอดจินตนาการไปต่างๆ นานาว่า ด้วยเหตุอันใดหนอถึงได้ทำให้ชาติชายทหารอกสามศอกต้องลงทุนปกป้องจนเกินความพอดีถึงขนาดนี้
ซ้ำร้ายแทนที่จะประกาศเสียงดังฟังชัดเหมือนที่ชอบตวาดผู้สื่อข่าว เพราะ คลิปดังกล่าวได้เปลือยตัวตนที่แท้จริงของนักโทษชายทักษิณว่ามุ่งมาดปรารถนาที่จะใช้กองทัพเป็นเครื่องมือในการนิรโทษกรรมให้กับตนเอง ต้องการแต่งตั้งคนของตนเองเข้ามาคุมกองทัพ และแสวงหาผลประโยชน์จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่กลับไม่มีดอกพิกุลร่วงออกมาจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของกองทัพไทย
ขณะเดียวกันเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรกับการที่ “นักโทษชายทักษิณ” ชมว่าไว้ใจ ผู้บัญชาการทหารบก พ.ศ.นี้กลับตอบแบบน้ำขุ่นๆ ว่า “ แสดงว่ากองทัพทำหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรี เป็นที่พอใจของประชาชนทั่วไป แต่ถ้าจะกลับบ้านก็บอกว่าเคลียร์กับผมได้ยังไง ไม่ใช่ศาล ทุกอย่างต้องเป็นกฎหมาย กติกา กองทัพมีวินัย ไม่สามารถทำตามใจชอบได้ ทำตามอารมณ์หรือความอยากไม่ได้ ผมไม่ใช่พระเอก ขอแค่ไม่เป็นผู้ร้ายก็พอ”
ทว่า กรณีที่มีผู้นำ MV “สองเรา ปูกะตู่” มาเสนอผ่านสื่อและมีการเผยแพร่ในโลกออนไลน์ พล.อ.ประยุทธ์กลับเป็นเดือดเป็นแค้น ด้วยการสั่งการให้ “ผู้พันต๊อด” พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ออกมาข่มขู่สารพัดสารพันว่าจะดำเนินการฟ้องร้องผู้ที่จัดทำและเผยแพร่เอ็ม.วี. โดยอ้างว่าไม่เหมาะสม ทำประชาชนเข้าใจผิดภาพของ“นายกฯ ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กับผู้บัญชาการทหารบก “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วจัดทำคลิปล้อเลียนบุคคลสาธารณะเป็นเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย และเมืองนอกก็มีคลิปล้อเลียนผู้นำประเทศมากกว่าไทยเสียด้วยซ้ำไป ที่สำคัญคือเมื่อมองไปถึงเนื้อหาคลิปก็ไม่ได้มีอะไรเกินเลย นอกจากเพลง “เราสองคน” ของภูสมิง-บุปผา ผสมกับภาพถ่ายเหตุการณ์ที่ “ปู-บิ๊กตู่” ลงพื้นที่จริงไม่มีตัดต่อใดๆ ทั้งสิ้น
หรือ พล.อ.ประยุทธ์จะปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งการ เพราะอยู่ดีๆ มีหรือที่ พ.อ.วินธัยจะกล้าออกมาพูดอย่างนั้น
“สิ่งที่เกิดขึ้นมีการนำภาพผู้นำประเทศกับผู้นำสูงสุดขององค์กรมาผูกโยงกัน สังคมภายนอกจะมองประเทศไทยอย่างไร ขอให้กลุ่มคนที่ดำเนินการหยุดการกระทำดังกล่าว เพราะภาพที่ปรากฏเป็นกิจกรรมและความตั้งใจในการเข้าไปช่วยเหลือดูแลประชาชน แต่มีการแปลความหมายเปลี่ยนไป ขอให้เห็นใจและขอความเป็นธรรมให้กับบุคคลที่ 2 ด้วย ซึ่งกองทัพยกถือว่าเป็นผู้ที่เสียหายอาจจะมีการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่จัดทำและเผยแพร่ภาพดังกล่าวด้วย” พ.อ.วินธัยกล่าว
ปฏิกิริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ที่สั่งการผ่านรองโฆษกกองทัพบกทำให้เห็นชัดเจนว่า หมกหมุ่นครุ่นคิดอยู่กับเรื่องของตนเองมากกว่าเรื่องของประเทศชาติ แถมยังลากโยงกองทัพเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทั้งๆ ที่เอ็มวีล้อเลียนดังกล่าวเป็นเรื่องราวของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่กองทัพบก
และนี่คือความสำเร็จที่งดงามของภารกิจลับ “ว.5กลาหอย”