ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-คงไม่ต้องถามหาความรับผิดใดๆ จากรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรต่อกรณีคลิปฉาวอันเป็นบทสนทนาระหว่างบุคคลที่มีเสียงเหมือน “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” และ “บิ๊กอ๊อด-พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะมิได้มีประโยชน์อะไรแก่ชาติบ้านเมือง
เพราะสังคมรับรู้แล้วว่า รัฐบาลชุดนี้มีภารกิจสำคัญเพียงประการเดียวคือการนำนักโทษชายหนีคดีกลับบ้านโดยไม่ต้องรับผิดต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำไว้ต่อชาติบ้านเมือง และหากถามหาความรับผิดชอบ สิ่งที่จะได้ยินจากปากนางสาวยิ่งลักษณ์ก็มีเพียงแค่ “ตัวคลิปยังไม่มีใครยืนยันในรายละเอียด รอให้มีการตรวจสอบก่อนแล้วค่อยว่าไปตามขั้นตอน คงต้องให้เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน”
แต่สิ่งที่สังคมต้องการได้ยินและได้เห็นปฏิกิริยาในทันทีก็คือ จุดยืนและท่าทีของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ไล่เรื่อยไปตั้งแต่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกรผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเรืองรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ
เพราะต้องไม่ลืมว่า เรื่องนี้กระทบต่อศักดิ์ศรีของกองทัพอย่างรุนแรง ทั้งจากภาคประชาชนที่เป็นผู้เสียภาษีและจากทหารซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาในทุกระดับที่มีโอกาสได้รับรู้ถึงสิ่งที่ “นาย” กำลังดำเนินการรับใช้การเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตาและฝันอร่อยอยู่ในขณะนี้
แน่นอน ปฐมบทหรือคำถามแรกที่ทุกคนอยากรู้ก็คือ คลิปบทสนทนาดังกล่าวเป็นเสียงของ นช.ทักษิณ ชินวัตรและ พล.อ.ยุทธศักดิ์จริงหรือไม่ ตามต่อด้วยคำถามถัดมาว่า คลิปนี้หลุดออกมาได้อย่างได้ และมีวัตถุประสงค์เช่นไร
สำหรับข้อสงสัยว่าเป็นเสียงของ นช.ทักษิณและพล.อ.ยุทธศักดิ์จริงหรือไม่ ไม่ว่าคนเสื้อแดงหรือลิ่วล้อข้ารับใช้จะดาหน้าออกมาแก้ตัวอย่างไร แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความจริงก็ย่อมเป็นความจริงว่า เสียงของบุคคล 2 คนที่สนทนากันในคลิปนั้นเป็นเสียงของนักโทษชายทักษิณและพล.อ.ยุทธศักดิ์จริง โดยเป็นบทสนทนาที่เกิดขึ้นในช่วงประมาณปลายเดือนมิถุนายนขณะที่นายใหญ่แวะเวียนมาที่เกาะฮ่องกงและได้พบกับบิ๊กอ๊อดที่ห้องวีไอพีในสนามบิน ซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างการปรับ ครม.ปู 5
แต่บรรดาขี้ข้าของเขาก็ยังคงยืนกระต่ายขาเดียวว่า ไม่ใช่ และเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง กระทั่งนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ยอมรับความจริงโดยเขียนเอาไว้บนเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra ว่า “คลิปเสียงเหรอ??? ผมเกิดมาเป็นลูกพ่อ 30 กว่าปี ผมมั่นใจว่าใช่เสียงคุณพ่อผมแน่นอนครับ” แต่พยายามแถไถไปว่ามีการตัดต่อเสียง
“ผมได้ลองแย้บๆ ถามแล้ว พ่อบอกว่าบางเรื่องก็มีการพูดกันจริง แต่บางเรื่องท่านก็ไม่ยืนยัน และบางตอนท่านก็บอกว่ามีคำพูดมากกว่านั้น แต่ผมลองเปิดคลิปฟังซ้ำดู น่าจะถูกตัดออกไปก่อนที่จะนำมาเผยแพร่”
จากคำพูดของลูกชายสุดที่รักคือบทสรุปที่ชัดเจนของเรื่องนี้
แถมงานนี้ ไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อจะกลุ้มใจเรื่องคลิปฉาวหรือกลุ้มใจเรื่องรอยหยักในสมองของผู้เป็นลูกชายมากกว่ากัน
ส่วนเรื่องคลิปหลุดออกมาได้อย่างไรก็มีการคาดการณ์ไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ทำปืนลั่นใส่ตัวเอง เพราะต้องการอัดเทปบทสนทนาไปโชว์ว่าได้คุยกับนายใหญ่ บ้างก็ว่ามีนักข่าวสายทหารโทร.ไปสัมภาษณ์ พล.อ.ยุทธศักดิ์ขณะที่กำลังนั่งสนทนากับนักโทษชายทักษิณพอดี แต่ พล.อ.ยุทธศักดิ์นึกว่าตัดสายแล้ว จึงทำให้นักข่าวที่โทรศัพท์มาสามารถบันทึกเสียงเอาไว้ได้ ซึ่งประเด็นนี้มีคำยืนยันจากนักข่าวสายทหารแล้วว่า ไม่ใช่
แต่นั่นมิใช่สาระสำคัญมากไปกว่าสิ่งที่สังคมได้รับรู้จากสิ่งที่ชายทั้งสองคนกำลังคิดและกำลังจะทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรมความผิดให้กับตัวเองผ่านสภากลาโหมและสภาความมั่นคงแห่งชาติในรูปของพระราชกำหนด ความสัมพันธ์กับผู้นำเหล่าทัพและการวางแผนแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารในทุกเหล่าทัพ การวางแผนไปแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการทวายในประเทศเมียนมาร์ การแสดงความปรารถนาที่จะไปนั่งตำแหน่งที่ปรึกษาในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ที่สำคัญคือ ตัวละครเอกที่ปรากฏระหว่างการสนทนาล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำเหล่าทัพที่ยังคงมีอำนาจวาสนาอยู่ในปัจจุบันทั้งสิ้น และเนื้อหาของการสนทนาครั้งนี้เป็นที่ชัดเจนว่าทั้งสองคนมีเจตนาที่จะเข้าไปควบคุมกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อส่งคนเข้าไปมีอำนาจสั่งการในกองทัพ มีเจตนาที่จะดึงขั้วอำนาจในกองทัพมาเป็นของรัฐบาลตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป
หรือหมายความว่า สิ่งที่พูดกันมาตลอดว่าฝ่ายการเมืองจะไม่แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายใดๆ นั้นเป็นการลวงโลก เพราะความจริงที่ปรากฏมิได้เป็นเช่นนั้น
แม้ในบทสนทาดังกล่าวจะมีชื่อตัวละครปรากฏอยู่ไม่น้อย แต่ตัวละครที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นตัวละครเอกที่มีชื่อว่า “ไอ้ตู่” โดยชายคนที่ 2 (เสียงคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณ) บอกว่า “ไว้ใจ ไว้ใจไอ้ตู่มาก” ขณะที่ชายคนที่ 1 (เสียงคล้าย พล.อ.ยุทธศักดิ์) เสริมว่า “ไอ้ตู่ เขาให้ความจริงใจนะครับ จริงใจมากเลย ตอนแรกกับผมมันก็ระวังมากเลย แต่หลังจาก XXXX เรียกมันไป แล้วเรียกผมไปให้รักกันนะครับ ให้ทำงานด้วยกัน ทุกอย่างมันก็เลยเรียบร้อยหมด ...”
แม้จะเป็นการเรียกชื่อโดยใช้ชื่อเล่น แต่สังคมก็คงคาดเดาไม่ยากว่า ไอ้ตู่ผู้นี้คือใคร
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้อดย้อนไปนึกถึงคำพูดและพฤติกรรมในอดีตของผู้นำเหล่าทัพท่านนี้ไม่ได้
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่าทำไมการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ที่ขับเคี่ยวกันระหว่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรแห่งพรรคประชาธิปัตย์และพล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญแห่งพรรคเพื่อไทย คะแนนเสียงในพื้นที่เขตดุสิตซึ่งเป็นพื้นที่ทหารจึงเทคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างท่วมท้น
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่าทำไมนอกจากคดีความของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมและทหารที่เสียชีวิตจากน้ำมือกองกำลังติดอาวุธของคนเสื้อแดงจะไม่คืบหน้าไปไหน กระทั่งภรรยาและญาติพี่น้องของทหารหาญเหล่านั้นต้องออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากกองทัพ
และจงอย่าแปลกใจว่า ทำไมรายการ “ฮาร์ดคอข่าว” ที่เผยแพร่ทางช่อง 5 ซึ่งเป็นช่องของทหารเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 256 จึงได้ “ตัดฉับ” รายงานข่าวขณะที่กำลังนำเสนอความไม่ชอบมาพากลของโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านในประเด็นที่มีข้อสงสัยต่อ “บริษัท เควอเตอร์” จากเกาหลีใต้ ที่คว้างานประมูลสร้างฟลัดเวย์และแก้มลิงในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์มูลค่า 1.63 แสนล้าน หลังจากเครือข่ายสิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้และเอ็นจีโอด้านทรัพยากรน้ำของไทยตั้งข้อกังขาว่า บริษัทนี้มีหนี้สินจำนวนมาก และมีผลงานด้านการสร้างเขื่อนที่ล้มเหลวและสร้างปัญหาให้ประชาชนเกาหลีใต้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงท่าทีต่อเรื่องดังกล่าวเป็นครั้งแรกว่า ที่ประชุมสภากลาโหมไม่ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องของผู้ที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการต่อไป ซึ่ง ผบ.เหล่าทัพยังมีความมั่นคงต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไม่หวั่นไหวต่ออะไรทั้งสิ้น
และที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศถึงความรู้สึกที่มีต่อ พล.อ.ยุทธศักดิ์ว่า “วันนี้ผมยังมองท่าน และท่านยังมองผมดีอยู่ ทั้งนี้คนเราต้องให้โอกาสทำงาน และแสดงความรู้สึกร่วมกัน” หรือหมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์พร้อมจะให้โอกาสและทำงานร่วมกับ พล.อ.ยุทธศักดิ์อย่างสนิทใจต่อไปโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ขู่สำทับด้วยว่า “ถ้าเราไม่ทำกองทัพให้เข้มแข็ง มองกองทัพในทางที่ไม่ไว้วางใจ กองทัพและประเทศชาติจะอยู่ไม่ได้ ถ้าดิสเครดิตไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งจะไม่เหลืออะไรอีกเลย และท่านจะไม่มีประเทศอยู่ แล้วที่ท่านบอกว่า อยากให้ทหารออกมาดูแล ถามว่า แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เพราะท่านคงนึกไม่ถึง หากเกิดขึ้นครั้งหน้า ความรุนแรงเกิดขึ้นแน่นอน แล้วท่านจะร่วมรับผิดชอบกับผมหรือไม่ และไม่เกิดประโยชน์ที่เราจะล้มทุกอย่างในขณะนี้ เพราะทุกอย่างขณะนี้ยังมีทางแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด ยังไม่ถึงจุดสุดท้ายที่จะตายกันทั้งประเทศ”
คงไม่ต้องอธิบายขยายความ เพราะคำพูดที่ออกจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ มีความหมายและชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว
นอกเหนือจากเรื่องกองทัพแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือกรณีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมโดยใช้เหล่าทัพเป็นเครื่องมือในการเร่งรัดกระบวนการทางกฎหมายจากพระราชบัญญัติเป็นพระราชกำหนด รวมถึงความกระสันอย่างไปนั่งตำแหน่งที่ปรึกษาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการอำพรางข้อกังขาในเรื่องของความจงรักภักดี
ประเด็นเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมนั้น ชัดเจนยิ่งว่า นักโทษชายหนีคดีต้องการเดินทางกลับประเทศไทยทุกลมหายใจเข้าออก และประกาศชัดเจนว่า จะใช้กฎหมายนิรโทษกรรมเป็นเครื่องมือ เพราะไม่ต้องการรับความผิดที่ตนเองก่อเอาไว้ให้กับชาติบ้านเมือง
บทสนทนาในคลิปดังกล่าวแสดงว่า จะมีการลักไก่เสนอกฎหมายนิรโทษกรรมโดยอาศัยทหารและกองทัพเป็นเครื่องมือและตรายางให้ โดยแผนดังกล่าวจะถูกนำเนอเข้าสู่การพิจารณาจากสภากลาโหมในรูปของพระราชบัญญัติก่อนที่จะแปลงร่างเป็นพระราชกำหนดเพื่อหลีกหนีการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ จากนั้นก็นำเข้าสู่การพิจารณาของสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นรอบที่สอง ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะถ้าเป็นไปตามคลิป ก็ย่อมหมายความว่า ระบอบทักษิณได้ควบคุมผู้นำเหล่าทัพเอาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว ส่วนสภาความมั่นคงแห่งชาติก็ล้วนแล้วแต่เป็นเด็กในคาถาอยู่แล้ว
คำถามมีอยู่ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าทัพและสภากลาโหมจะยินยอมเป็นเครื่องมือหรือไม่ และเมื่อแผนการถูกเปิดเผยออกมา เหล่าทัพและสภากลาโหมยังคงเห็นดีเห็นงามกับกฎหมายนิรโทษกรรมอีกหรือไม่
ส่วนประเด็นเรื่องสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ก็ชัดเจนว่า ต้องการอาศัยสถาบันพระมหากษัตริย์ในการรับรองความจงรักภักดีของตนเองอย่างน่ารังเกียจ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วพฤติกรรมและคำพูดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็มิได้เป็นตามนั้น แถมยังอาศัยประเด็นดังกล่าวไปล้างสมองคนเสื้อแดงให้เชื่อโดยหยิบยกวาทกรรมเรื่องอำมาตย์-ไพร่มาใช้
แต่สิ่งที่สังคมสงสัยก็คือ ลึกๆ นักโทษชายต้องการเพียงแค่นั้นจริงหรือไม่ เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องการเข้าไปมีบทบาทเพื่อแสวงหาประโยชน์จากที่ดิน สินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดและมีมูลค่ามหาศาลจำนวนหลายหมื่นไร่ทั่วราชอาณาจักร โดยเฉพาะทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน เปลือยธาตุแท้นักโทษชาย จ้องเขมือบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หน้า 8)
ขณะที่ตัว พล.อ.ยุทธศักดิ์นั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ในท้ายที่สุดแล้ว บทสรุปของเรื่องนี้เป็นเช่นไร จะนิ่งเฉยเลยผ่านหรือตัดสินใจให้พ้นจากตำแหน่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์จะอยู่หรือจะไปก็ไม่มีความแตกต่างกัน เพราะวันนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็ยังเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ยืนทะมึนอยู่เบื้องหลัง และเชื่อว่า กระบวนทัศน์ทางความคิดและเป้าหมายของพวกเขาก็จะยังเป็นเหมือนบทสนทนาที่อยู่ในคลิป