xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“รัฐบาลกังฉิน” สั่งเชือด “สุภา” ขรก.ตงฉินปูดทุจริตจำนำข้าว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-พฤติกรรมลุแก่อำนาจของรัฐมนตรี “แก๊งไอติม” ยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นชัดเจน ล่าสุดคือกรณีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.กระทรวงการคลัง สายตรงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่นางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ไปให้ข้อมูลโครงการรับจำนำข้าวในคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ (กมธ.) วุฒิสภา ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดการทุจริตทุกขั้นตอน จนทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่พอใจอย่างยิ่ง

นายกิตติรัตน์ ให้เหตุผลข้างๆ คูๆ ในการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบฯ ครั้งนี้ว่า เพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่นางสาวสุภา ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ กับการรายงานข่าวของสื่อมวลชนว่าตรงกันหรือไม่ หากผลสอบเป็นไปตามที่นางสาวสุภา อ้างว่าไม่ได้พูดตามที่สื่อรายงานก็จะทำให้นางสาวสุภาพ้นข้อกังวล

อันที่จริงหากเจตนาของนายกิตติรัตน์ เป็นอย่างที่ว่านั้น การตรวจสอบเรื่องนี้ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ขอบันทึกรายงานการประชุมของคณะกรรมาธิการฯ มาดูโดยไม่จำเป็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขั้นตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นมาสอบ เว้นเสียว่านายกิตติรัตน์ ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู ด้วยการใช้อำนาจข่มขู่ คุกคาม ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทำงานตรงไปตรงมาว่าอย่าได้เอาเรื่องการทุจริตของรัฐบาลออกมาเปิดเผยให้สาธารณะได้รับรู้

ในเวลาต่อมา เมื่อถูกสังคมกดดันหนักเข้า นายกิตติรัตน์ ก็เล่นลิ้นว่า ยืนยันจะไม่มีการย้ายข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง แต่การหมุนเปลี่ยนโยกย้ายข้าราชการซึ่งกำลังเกิดขึ้นที่กระทรวงมีกระบวนการพิจารณาอยู่ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงคงมีเหตุผลที่ดีและอธิบายได้ ดังนั้น ไม่ว่านายกิตติรัตน์จะยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาแก้ตัวอย่างไร หากนางสาวสุภาถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่ง สังคมคงเข้าใจเป็นอื่นไม่ได้นอกเสียจากว่านี่เป็นการใช้อำนาจโยกย้ายคนที่ขวางทางทำมาหากินให้ออกนอกวงโคจร

แต่ยี่ห้อ “สุภา ปิยะจิตติ” หาได้สะทกสะท้านไม่ เมื่อคณะกรรมาธิการฯ ถามมา เธอก็ตอบไปตามหน้าที่ และไม่ได้กังวลที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบฯ เพราะมีข้อมูลและหลักฐานชัดเจนว่ามีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจริง พร้อมกับยืนยันว่าตอนนี้มีใบเสร็จรับเงินของคนที่ทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเป็นหลักฐานสำคัญว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นจริง แถมย้ำว่า แรงกดดัน ทางการเมืองไม่มีผลต่อการทำงาน และถ้าหากยังได้รับความไว้วางใจให้ทำงานในตำแหน่งประธานอนุกรรมการปิดบัญชีรับจำนำข้าวต่อไป ก็พร้อมที่จะทำงานโดยจะตรวจสอบให้ลึกกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน

นี่ขนาดยังไม่ลึกมาก เอารวมๆ แค่ว่า รับจำนำข้าว 3 ฤดูกาล รัฐบาลขาดทุนไปประมาณ 2.2 แสนล้าน มีข้าวลงบัญชียังไม่ได้ประมาณ 2.5 - 3 ล้านตัน ซึ่งกำลังถกเถียงกันอยู่ว่าข้าวจำนวนนี้ไปอยู่ที่ไหน และแพลมข้อมูลมีการทุจริตกันตั้งแต่ลงทะเบียน เวียนเทียน งุบงิบระบายข้าว ก็ยังทำเอารัฐบาลเต้นเป็นเจ้าเข้า ถ้าลงลึกสุดใจจะขนาดไหน ลองนึกภาพดู

การประกาศจุดยืนชัดเจนมั่นคงจะเดินหน้าตรวจสอบต่อไปนั้น ถ้าหากนางสาวสุภายังสามารถทำหน้าที่นี้ได้ต่อไป สังคมอาจจะได้เห็นเส้นสายโยงใยสาวไปถึงตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการทุจริตจำนำข้าวว่าใช่ “เจ๊ ด.” อย่างที่ตกเป็นเป้าโจมตีหรือไม่ เมื่อคาดหวังกันเช่นนี้ หลายฝ่ายจึงออกมาให้กำลังใจอย่างล้นหลาม

ทางคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม วุฒิสภา ถึงกับออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยที่นายกิตติรัตน์ ตั้งคณะกรรมการสอบนางสาวสุภา เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายข่มขู่คุกคามข้าราชการประจำ และละเมิดสิทธิเสรีภาพต่อผู้ชี้แจงในกรรมาธิการ อีกทั้งยังเป็นการก้าวล่วงการทำหน้าที่ของกรรมาธิการ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 135 ซึ่งจะส่งผลเสียต่อขวัญข้าราชการจนไม่กล้าให้ข้อมูลข้อเท็จจริง ความจริงแล้วรัฐบาลควรใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นต่างมากกว่าจะฟาดงวงฟาดงาเล่นงานข้าราชการ แต่ควรพิจารณาด้วยเหตุผล ขณะเดียวกันทางกรรมาธิการก็ขอเป็นกำลังใจให้นางสาวสุภายืนหยัดบนความถูกต้องต่อไป

แม้แต่ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์สันติ ก็ออกมาให้กำลังใจนางสาวสุภา ในฐานะลูกศิษย์ที่นิด้า ในการทำหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมาธิการฯ พร้อมกับเรียกร้องให้สังคมไทยออกมาปกป้องข้าราชการที่ดี

ส่วนอีกคนที่เชียร์นางสาวสุภา เต็มที่ ก็คือ นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณจากทีดีอาร์ไอ ที่เชื่อฝีมือคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวว่าจะติดตามเรื่องนี้อย่างละเอียด จะได้รู้กำไร ขาดทุน อย่างชัดเจน จากที่ทำๆ กันแบบมั่วๆ แยกไปอยู่คนละหน่วยงานต่างคนต่างทำ บวกลบไปมาไม่รู้ว่ากำไรหรือขาดทุน ทำมาตั้งสองปีไม่รู้ว่าเงินหายไปไหน ซึ่งเป็นเรื่องน่าสมเพชที่รัฐบาลคิดการใหญ่ครอบงำธุรกิจค้าข้าวทั้งประเทศ แต่ไม่มีการทำบัญชี ไม่รู้ว่าปีหนึ่งกำไรหรือขาดทุนมากน้อยเท่าไหร่ ใครเตือนก็ไม่ฟัง เคยบอกแล้วว่าจะขาดทุนหลายแสนล้านก็ไม่ฟัง จนต้องมาตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ เพื่อสรุปตัวเลขทั้งหมด

“อย่าเร่งโค่นรัฐบาลนี้ ปล่อยให้ปัญหาข้าวทั้งหมดหล่นทับศีรษะเขาแล้วให้เขาแก้ เวลานี้กำลังค่อยๆ หล่น คนเริ่มรู้ ชาวนารู้แล้วว่ายั่งยืนไม่ได้ ตอนแรกจะลดเหลือ 12,000 บาท ชาวนาก็รู้แล้วว่า 15,000 บาทไปไม่ได้ จะมีมาตรการโซนนิ่งมาจำกัด หลังจากโม้มานานว่าจะจำนำ 15,000 บาททุกเมล็ด จึงอยากให้รักษารัฐบาลนี้ไว้จนสถานการณ์สุกงอม ...” นายอัมมาร บอกในทำนองขอให้รอดูจนถึงที่สุด

ด้วยแรงกระเพื่อมจากกรณีนางสาวสุภา ทำให้หน่วยงานอิสระ อย่างเช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รีบเร่งมือในการตรวจสอบเรื่องนี้โดยไม่ให้เกิดความล่าช้า โดยล่าสุด นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและ โฆษก ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล แถลงว่า ป.ป.ช.กำลังเร่งมือตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ โดยไต่สวนคดีใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1.การดำเนินโครงการรับจำนำข้าว และ 2.การระบายข้าว

ในส่วนของการดำเนินโครงการ ป.ป.ช.ได้เรียกเอกสารไปยังส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และได้รับเอกสารแล้วจากหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เกี่ยวกับมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทุกครั้ง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้มอบข้อมูลทางวิชาการของโครงการ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ส่งรายงานความคิดเห็นในเชิงวิชาการ

นอกจากนั้น ป.ป.ช.ยังได้ขอข้อมูลจากกระทรวงการคลัง ในส่วนที่เป็นความคิดเห็นและข้อมูลการปิดบัญชีโครงการจับนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในส่วนของรายงานข้อมูลหนี้สาธารณะของประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องข้อมูลทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเปลือกประจำปี 2554/2555 และข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้สอบพยานบุคคลไปแล้วทั้งหมด 11 ปาก เช่น ฝ่ายผู้ร้อง ตำรวจ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และนางสาวสุภา รวมทั้งนักวิชาการบางส่วนด้วย

ขณะที่ประเด็นการระบายข้าว ป.ป.ช.นั้น ได้ขอและได้รับเอกสารข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว จาก สลค.ในส่วนมติ ครม.เกี่ยวกับการระบายข้าวทุกครั้ง ข้อมูลการส่งมอบข้อมูลการระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาลที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรจาก อคส. ทางด้านกระทรวงพาณิชย์ ได้ทำเอกสารชี้แจงการระบายข้าว รวมไปถึงข้อมูลการส่งออกข้าวจำนวน 3 ครั้งจาก กรมศุลกากร และกรมการค้าต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ส่งข้อมูลมาให้ ป.ป.ช.เกี่ยวกับแคชเชียร์เช็คตามที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้องที่ได้ส่งมาให้ ป.ป.ช.ก่อนหน้านี้ด้วย

สำหรับการสอบปากคำพยานในประเด็นการระบายข้าว ป.ป.ช.ได้ดำเนินการไปแล้วหลายราย อาทิ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ ที่สำคัญจากการไต่สวนทั้งหมด ป.ป.ช. พบว่า มีข้อมูลความเคลื่อนไหวของทางธนาคาร ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ส่งแคชเชียร์เช็คที่เกี่ยวกับการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี มาให้ ป.ป.ช.ทั้งหมด 1,460 ฉบับ โดย ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบย้อนหลังกลับไปพบว่าออกมาจากธนาคาร 6 แห่ง ซึ่ง ป.ป.ช.กำลังสอบสวนกลับไปอีกว่าบุคคลที่ซื้อเช็คในแต่ละฉบับนี้มีใครบ้าง ซื้อจากบัญชีใดบ้าง และจะต้องสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อแคชเชียร์เช็คด้วยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวอย่างไร ขณะเดียวกันก็กำลังขอเอกสารในการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มเติมด้วย

แกะรอยจากเช็คกว่าพันฉบับที่ส่งมาให้ป.ป.ช.นั้น นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. ชี้ให้เห็นพิรุธว่า เช็คต้องสงสัยที่มีจำนวนมากถึง 1,460 ฉบับนั้น บางฉบับมีวงเงินไม่กี่หมื่นก็เซ็นกันออกมาแล้ว มีที่ไหนที่ทำการค้าแบบรัฐต่อรัฐ แต่จ่ายเช็คแค่ 8 หมื่นกว่าบาทเท่านั้น ไปคิดกันเองว่าแบบนี้เป็นรัฐต่อรัฐหรือไม่ โดยป.ป.ช. จะเร่งคดีให้เสร็จทันก่อนที่นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป.ป.ช.จะหมดวาระในเดือนกันยายนนี้

นอกจากนี้ป.ป.ช.ยังได้ข้อมูลเด็ดจากการมาให้การของนางสาวสุภา โดยได้ข้อมูลครบถ้วนถึงการทำรายการต่างๆ รวมทั้งยืนยันตัวเลขขาดทุนในโครงการจำนำข้าวตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้คือ 3 ฤดูกาลขาดทุนไปแล้ว 2.2 แสนล้านบาท และมีข้าวอีกส่วนหนึ่งประมาณ 2 - 3 ล้านตัน ที่ยังลงบัญชีไม่ได้

การยืนยันถึงตัวเลขขาดทุน การรั่วไหล ถ้าหากนางสาวสุภา ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนจากการมาให้ข้อมูลเรื่องโครงการจำนำข้าว ป.ป.ช.ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองพยานพร้อมที่จะอ้าแขนปกป้องคุ้มครองหากถูกข่มขู่ คุกคาม โดย ป.ป.ช.สามารถแจ้งไปยังนายกรัฐมนตรีว่าห้ามย้ายจากตำแหน่งเดิม หรือห้ามกลั่นแกล้ง

ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องยืนหยัดเคียงข้างข้าราชการตงฉินที่กำลังสู้กับนักการเมืองกังฉิน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและแผ่นดินไม่ให้วิบัติฉิบหายไปมากกว่านี้


นางสาวสุภา ปิยะจิตติ
กำลังโหลดความคิดเห็น