ASTVผู้จัดการรายวัน-ภาคธุรกิจส่งสัญญาณรัดเข็มขัดรอบด้านประคองธุรกิจรับมือเศรษฐกิจครึ่งหลังทรุด ตลาดทั้งในและต่างประเทศวูบ คาดฉุดรายได้กำไรลดต่ำ เอสเอ็มอีเริ่มขาดสภาพคล่อง แนะรัฐเจียดงบประมาณจากโครงการประชานิยมมาดูแลภาคธุรกิจบ้างเหตุเป็นตัวหลักขับเคลื่อนศก.และสร้างรายได้เข้ารัฐ เผยประชานิยมทำคนไทยใช้เงินเกินตัวจนเริ่มหมด
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เอกชนจะต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจครึ่งปีหลังอย่างใกล้ชิดและลดต้นทุนต่างๆเพื่อประคองกิจการให้อยู่รอดจากผลประกอบการที่คาดว่าจะลดลง เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังที่คาดว่าการส่งออกจะโตประมาณ 3% และจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีจะโตในระดับ 4.3% เท่านั้น
ทั้งนี้เนื่องจากตลาดทั้งในประเทศแรงซื้อจะยังคงต่ำจากนโยบายประชาชนนิยมก่อนหน้าเช่น บ้านหลังแรก รถคันที่ก่อให้เกิดการใช้เงินในอนาคตจนเกินตัวโดยจะเห็นว่าหนี้ภาคครัวเรือนสูงขึ้นมาก ประกอบกับตลาดต่างประเทศทั้งจีน อาเซียน ยุโรป ญี่ปุ่นยังชะลอตัวแม้ว่าสหรัฐจะเริ่มสัญญาณฟื้นก็ตาม ซึ่งขณะนี้สถาบันการเงินเริ่มส่งสัญญาณการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นแล้ว
นายวัลลภกล่าวว่า รัฐบาลควรจะเข้ามาดูแลเศรษฐกิจที่แท้จริงคือภาคการผลิตและการค้าบริการให้มีความเข้มแข็งทั้งการดูแลเชิงลึกและเชิงปฏิบัติการที่ร่วมกันอย่างจริงจังเพราะผู้ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะนำมาซึ่งกำไรและรายได้เข้าเป็นงบประมาณแผ่นดินอยู่ที่ส่วนนี้ไม่ใช่มุ่งเน้นการดำเนินงานในเรื่องประชาชนนิยมเพียงด้านเดียวเพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้งบประมาณสูญเปล่าไปจำนวนมาก
“การค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านปีที่แล้วอยู่ที่ 9 แสนกว่าล้านบาทซึ่งอยู่ตามตะเข็บชายแดนเรามองกันว่าอีก 2-3 ปีจะเป็น 2 ล้านล้านบาทได้แน่ขอเพียงแค่รัฐผลักดันและเข้าไปหาตลาดในเมืองหลวงของเพื่อนบ้านต่างๆ ผมว่าเอาเงินที่สูญไปเปล่าๆ ในหลายๆที่รัฐทำเจียดมาไม่มากสำหรับทำให้ธุรกิจปรับตัวและอยู่รอดจะดีกว่าโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)”นายวัลลภกล่าว
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานส.อ.ท.กล่าวว่า จะขอรอดูผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน วันที่ 17 กรกฎาคมนี้ก่อน หากดัชนีความเชื่อมั่นในช่วง 3 เดือนข้างหน้าลดลง ก็จะปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ลงจากที่วางไว้ 4-5% อย่างไรก็ตามปัจจัยในประเทศมีความสำคัญเฉพาะการเมืองที่จะต้องนิ่งเพราะไทยกำลังเผชิญความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกมาก
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการส.อ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจปรับตัวด้วยการลดต้นทุนทุกด้านเพราะตลาดค่อนข้างซบเซาโดยภาพรวมยอดขายสินค้าในประเทศลดลงเฉลี่ย 10-12% จะเห็นว่าเอสเอ็มอีเริ่มมีปัญหาสภาพคล่องหนักขึ้น ธุรกิจส่วนใหญ่ไม่รับพนักงานเพิ่มหลังบขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันและทุกคนจะต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆ มาทดแทนเพื่อประคองธุรกิจที่คาดว่าครึ่งปีหลังจะหดตัวค่อนข้างมาก
“ทั้งปีมองว่าการบริโภคดีสุดโตแค่ 4-4.5% จากปีที่แล้วโต 6.5% ซึ่งครึ่งปีแรกส่วนหนึ่งตลาดน่าจะได้อานิสงค์จากนโยบายประชานิยมรถคันแรกพอสมควรแต่จากนี้เชื่อว่าจะเป็นของจิรงที่จะต้องติดตามดูเพราะมีการส่งมอบรถไปมากพอสมควรแล้ว”นายธนิตกล่าว
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เอกชนจะต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจครึ่งปีหลังอย่างใกล้ชิดและลดต้นทุนต่างๆเพื่อประคองกิจการให้อยู่รอดจากผลประกอบการที่คาดว่าจะลดลง เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังที่คาดว่าการส่งออกจะโตประมาณ 3% และจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีจะโตในระดับ 4.3% เท่านั้น
ทั้งนี้เนื่องจากตลาดทั้งในประเทศแรงซื้อจะยังคงต่ำจากนโยบายประชาชนนิยมก่อนหน้าเช่น บ้านหลังแรก รถคันที่ก่อให้เกิดการใช้เงินในอนาคตจนเกินตัวโดยจะเห็นว่าหนี้ภาคครัวเรือนสูงขึ้นมาก ประกอบกับตลาดต่างประเทศทั้งจีน อาเซียน ยุโรป ญี่ปุ่นยังชะลอตัวแม้ว่าสหรัฐจะเริ่มสัญญาณฟื้นก็ตาม ซึ่งขณะนี้สถาบันการเงินเริ่มส่งสัญญาณการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นแล้ว
นายวัลลภกล่าวว่า รัฐบาลควรจะเข้ามาดูแลเศรษฐกิจที่แท้จริงคือภาคการผลิตและการค้าบริการให้มีความเข้มแข็งทั้งการดูแลเชิงลึกและเชิงปฏิบัติการที่ร่วมกันอย่างจริงจังเพราะผู้ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะนำมาซึ่งกำไรและรายได้เข้าเป็นงบประมาณแผ่นดินอยู่ที่ส่วนนี้ไม่ใช่มุ่งเน้นการดำเนินงานในเรื่องประชาชนนิยมเพียงด้านเดียวเพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้งบประมาณสูญเปล่าไปจำนวนมาก
“การค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านปีที่แล้วอยู่ที่ 9 แสนกว่าล้านบาทซึ่งอยู่ตามตะเข็บชายแดนเรามองกันว่าอีก 2-3 ปีจะเป็น 2 ล้านล้านบาทได้แน่ขอเพียงแค่รัฐผลักดันและเข้าไปหาตลาดในเมืองหลวงของเพื่อนบ้านต่างๆ ผมว่าเอาเงินที่สูญไปเปล่าๆ ในหลายๆที่รัฐทำเจียดมาไม่มากสำหรับทำให้ธุรกิจปรับตัวและอยู่รอดจะดีกว่าโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)”นายวัลลภกล่าว
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานส.อ.ท.กล่าวว่า จะขอรอดูผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน วันที่ 17 กรกฎาคมนี้ก่อน หากดัชนีความเชื่อมั่นในช่วง 3 เดือนข้างหน้าลดลง ก็จะปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ลงจากที่วางไว้ 4-5% อย่างไรก็ตามปัจจัยในประเทศมีความสำคัญเฉพาะการเมืองที่จะต้องนิ่งเพราะไทยกำลังเผชิญความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกมาก
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการส.อ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจปรับตัวด้วยการลดต้นทุนทุกด้านเพราะตลาดค่อนข้างซบเซาโดยภาพรวมยอดขายสินค้าในประเทศลดลงเฉลี่ย 10-12% จะเห็นว่าเอสเอ็มอีเริ่มมีปัญหาสภาพคล่องหนักขึ้น ธุรกิจส่วนใหญ่ไม่รับพนักงานเพิ่มหลังบขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันและทุกคนจะต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆ มาทดแทนเพื่อประคองธุรกิจที่คาดว่าครึ่งปีหลังจะหดตัวค่อนข้างมาก
“ทั้งปีมองว่าการบริโภคดีสุดโตแค่ 4-4.5% จากปีที่แล้วโต 6.5% ซึ่งครึ่งปีแรกส่วนหนึ่งตลาดน่าจะได้อานิสงค์จากนโยบายประชานิยมรถคันแรกพอสมควรแต่จากนี้เชื่อว่าจะเป็นของจิรงที่จะต้องติดตามดูเพราะมีการส่งมอบรถไปมากพอสมควรแล้ว”นายธนิตกล่าว