จับตาเช็คเด้งส่งสัญญาณ SMEs ระส่ำหลังเจอต้นทุนพุ่งจากค่าแรง ซ้ำต่อด้วยบาทแข็ง แถมแรงซื้อในประเทศยังดิ่ง ทำสภาพคล่องฝืดหนัก หลังบาทอ่อนแล้วยังไม่ฟื้นคาดพับกิจการ ขณะที่เตือนรับมือครึ่งปีหลังแรงซื้อยังไม่ฟื้นจากผลพวงรถคันแรก รัฐหั่นราคาจำนำข้าวลงส่อแววฉุดแรงซื้อชาวบ้านลดได้
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาพบปริมาณเช็คเด้งสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่มาจากกิจการขนาดกลางและย่อม (SMEs) ซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการได้รับผลกระทบต่อเนื่องทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ค่าแรง 300 บาทต่อวัน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ SMEs ขาดสภาพคล่องเพราะไม่สามารถรับออเดอร์การผลิตได้ ขณะที่อีกส่วนที่ไม่ได้ส่งออกก็ได้รับผลกระทบจากแรงซื้อของคนไทยที่ชะลอตัวช่วงต้นปี เนื่องจากราคาสินค้าที่แพงขึ้นและอีกส่วนประชาชนประหยัดเพราะได้นำเงินไปซื้อรถตามโครงการนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล
“ที่ผ่านมาพบเช็คเด้งเพิ่มขึ้น 25% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากธุรกิจ SMEs คงจะต้องติดตามว่าช่วงจากนี้ไปปริมาณจะสูงขึ้นหรือไม่เพราะแนวโน้มค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอาจทำให้ SMEs กลับมามีสภาพคล่องที่ดีขึ้นได้ แต่ถ้ายังไม่ดีนั่นหมายถึงโอกาสที่จะต้องปิดกิจการก็จะสูงขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าไม่สามารถปรับตัวให้รอดได้” นายวัลลภกล่าว
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs จะต้องกลับมาทบทวนธุรกิจตนเองให้มากไม่ควรจะไปหวังพึ่งนโยบายจากภาครัฐ เนื่องจากสัญญาณครึ่งปีหลังตลาดในประเทศยังไม่มีปัจจัยใดที่จะทำให้แรงซื้อคนไทยฟื้นตัวเนื่องจากประชาชนส่วนหนึ่งได้ใช้จ่ายล่วงหน้าโดยเฉพาะรถคันแรก บ้านหลังแรก ทำให้ยังมีภาระผ่อนต่อ ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าที่ขึ้นไปแล้วก็คงไม่มีโอกาสปรับลดลง และราคาน้ำมันกลับจะสูงขึ้นหากค่าเงินบาทอ่อนค่า ส่วนกรณีการจำนำข้าวแม้ว่ารัฐบาลจะลดราคาจำนำลงมาเหลือตันละ 1.2 หมื่นบาท มองอีกแง่อาจจะไม่กระทบต่อแรงซื้อหากข้าวสารมีการปรับราคาลงมา แต่นั่นหมายถึงรัฐจะต้องควบคุมได้ด้วยเพราะช่วงสินค้าเมื่อขึ้นไปแล้วยากที่จะปรับลง
นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า การลดราคาจำนำข้าวของรัฐบาลลงมาเหลือตันละ 1.2 หมื่นบาทจากเดิมตันละ 1.5 หมื่นบาทนั้น หากมองในแง่เศรษฐกิจเท่ากับเงินในกระเป๋าชาวนาจะหายไปอีก เพราะแม้ว่าเดิมจะจำนำให้ตันละ 1.5 หมื่นบาทแต่ชาวนาก็ได้รับจริงเพียง 8,000 บาท ซึ่งหากลดจำนำลงก็เชื่อว่าจะทำให้เงินถึงมือชาวนาลดไปอีก ซึ่งแน่นอนว่าแรงซื้อกลุ่มนี้ก็จะหายไปเช่นกัน
“แรงซื้อที่ผ่านมาไม่ดีนัก โดยดูจากยอดค้าปลีก 5 เดือนแรกลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 2% ซึ่งคาดว่าแรงซื้อปีนี้โตได้ 4.5% ก็เก่งแล้ว ซึ่งปีที่แล้วแรงซื้อขยายตัวสูงถึง 10% เพราะคนไทยเจอสินค้าราคาแพงช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับมีการรัดเข็มขัดจากคนที่ซื้อรถคันแรกผสมกันไป ขณะที่เศรษฐกิจโลกภาพรวมก็ยังไม่สู้ดีนัก ทั้งจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป ทำให้ภาพครึ่งปีหลังจึงไม่มีเหตุผลที่แรงซื้อของคนไทยจะขยายตัวขึ้นได้เลย เว้นแต่รัฐจะเร่งการใช้งบประมาณให้มากขึ้น แต่กระนั้นดูแล้วโครงการต่างๆ ก็ยังไม่คืบ” นายธนิตกล่าว