ภาคธุรกิจแนะรัฐบาลให้เจียดงบประมาณจากโครงการประชานิยมมาช่วยดูแลภาคธุรกิจในการรับมือวิกฤต ศก.ครึ่งปีหลังบ้างไม่ใช่มุ่งแต่ประชานิยม เหตุเพราะภาคการผลิตและการค้าเป็นตัวขับเคลื่อน ศก.และสร้างรายได้ให้รัฐ เผยประชานิยมทำคนไทยใช้เงินเกินตัวจนเริ่มหมด จับตาธุรกิจเร่งรัดเข็มขัดรับมือประคองกิจการให้อยู่รอด
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เอกชนจะต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจครึ่งปีหลังอย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่าการส่งออกจะโตประมาณ 3% และจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพีโตในระดับ 4.3% เท่านั้นจากตลาดทั้งใน และต่างประเทศที่หดตัว
ทั้งนี้ รัฐบาลควรจะเข้ามาดูแลเศรษฐกิจที่แท้จริงคือภาคการผลิต การค้าและบริการให้มีความเข้มแข็งทั้งการดูแลเชิงลึกและเชิงปฏิบัติการที่ร่วมกันอย่างจริงจัง เพราะผู้ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะนำมาซึ่งกำไรและรายได้เข้าเป็นงบประมาณแผ่นดินอยู่ที่ส่วนนี้ ไม่ใช่มุ่งเน้นการดำเนินงานในเรื่องประชานิยมเพียงด้านเดียวเพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้งบประมาณสูญเปล่าไปจำนวนมาก
“การค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านปีที่แล้วอยู่ที่ 9 แสนกว่าล้านบาทซึ่งอยู่ตามตะเข็บชายแดน เรามองกันว่าอีก 2-3 ปีจะเป็น 2 ล้านล้านบาทได้แน่ ขอเพียงแค่รัฐผลักดันและเข้าไปหาตลาดในเมืองหลวงของเพื่อนบ้านต่างๆ ผมว่าเอาเงินที่สูญไปเปล่าๆ ในหลายๆ โครงการที่รัฐทำเจียดมาไม่มากสำหรับทำให้ธุรกิจปรับตัวและอยู่รอดจะดีกว่าโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี)” นายวัลลภกล่าว
ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดทั้งในประเทศแรงซื้อจะยังคงต่ำจากนโยบายประชานิยมก่อนหน้าเช่น บ้านหลังแรก รถคันแรกที่ก่อให้เกิดการใช้เงินในอนาคตจนเกินตัว โดยจะเห็นว่าหนี้ภาคครัวเรือนสูงขึ้นมาก ประกอบกับตลาดต่างประเทศ ทั้งจีน อาเซียน ยุโรป ญี่ปุ่นยังชะลอตัว แม้ว่าสหรัฐฯ จะเริ่มสัญญาณฟื้นก็ตาม ซึ่งขณะนี้สถาบันการเงินเริ่มส่งสัญญาณการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นแล้ว
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการ ส.อ.ท.กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจปรับตัวด้วยการลดต้นทุนทุกด้านเพราะตลาดค่อนข้างซบเซา โดยภาพรวมยอดขายสินค้าในประเทศลดลงเฉลี่ย 10-12% จะเห็นว่าเอสเอ็มอีเริ่มมีปัญหาสภาพคล่องหนักขึ้น ธุรกิจส่วนใหญ่ไม่รับพนักงานเพิ่มหลังขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวัน และทุกคนจะต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆ มาทดแทนเพื่อประคองธุรกิจที่คาดว่าครึ่งปีหลังจะหดตัวค่อนข้างมาก
“ทั้งปีมองว่าการบริโภคดีสุด โตแค่ 4-4.5% จากปีที่แล้วโต 6.5% ซึ่งครึ่งปีแรกส่วนหนึ่งตลาดน่าจะได้อานิสงส์จากนโยบายประชานิยมรถคันแรกพอสมควร แต่จากนี้เชื่อว่าจะเป็นของจริงที่จะต้องติดตามดูเพราะมีการส่งมอบรถไปมากพอสมควรแล้ว” นายธนิตกล่าว